นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ (นายภิญโญ พงศ์เจริญ) ได้ทำนายทายทักดวงเมืองประเทศไทยไว้เมื่อต้นปี 2556 ไว้ว่า “ปี 2556 นี้ มีดาวพระเคราะห์ใหญ่สองดวง คือ ดาวเสาร์กับดาวราหูโคจรร่วมกันอยู่ตรงราศีตุลย์ เมื่อดาวสองดวงโคจรมาตรงตำแหน่งนี้ ตำราโหรชี้ว่า ทำให้ดวงเมืองแตกร้าว ราศีตุลย์รูปตราชั่ง หมายถึงกฎหมาย ซึ่งรัฐบาลกับรัฐสภาจะทำอะไรเกี่ยวกับกฎหมายหรือกติกาปกครองชาติบ้านเมืองก็ ต้องพึงระวัง เพราะอาจนำมาซึ่งความแตกแยก จะมีกลุ่มประชาชนหรือกลุ่มที่มีความคิดเห็นขัดแย้งพากันออกมาต่อต้าน ทำให้เกิดปัญหาทางการเมือง ซึ่งในปี 2556 นี้ จะเกิดขึ้นหลายครั้ง”
โดยปกติผมเองเป็นคนที่ไม่เชื่อหมอดูและไม่นิยมที่จะให้หมอดูทำนายทายทักดวงชะตา แม้จะเข้าใจอยู่ว่า โหราศาสตร์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่ใช้หลักสถิติในการจดแจ้งคำนวณเป็นคำพยากรณ์ แต่จากการติดตามเรื่องดวงเมืองตามที่โหรภิญโญ และอีกหลายโหรพยากรณ์เรื่องดวงเมืองประเทศไทยในปีนี้ สอดคล้องตรงกัน ประกอบกับสถานการณ์บ้านเมือง ก็มีอาการแตกร้าวอย่างที่เห็น ทำให้ต้องหันมาสนใจติดตามเรื่องโหราพยากรณ์ ที่ทายทักเรื่องการเมืองได้อย่างมีเหตุมีผลชวนติดตาม
การทำนายว่า ดวงเมืองจะแตกร้าวอันสืบเนื่องมาจากเรื่องกฎหมาย ก็สอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบันที่รัฐบาลร่วมกับรัฐสภาที่มีเสียงข้างมาก ดึงดันผลักดันการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ กำหนดที่มาของสมาชิกวุฒิสภา โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะครอบงำสมาชิกวุฒิสภาจากการเลือกตั้ง เพื่อจะโยงไปสู่การแต่งตั้งองค์กรอิสระต่างๆ ให้อยู่ในอาณัติ ไม่ว่าจะ กกต. ป.ป.ช.หรือแม้แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และในอนาคตอาจมีการลุกลามไปถึงขั้นแก้กฎหมาย ให้ตำแหน่งประธานศาลฎีกา ต้องผ่านการคัดสรรเห็นชอบจากรัฐสภาด้วยซ้ำไป ซึ่งหากทำได้เช่นนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการรวบอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการไว้ในอำนาจคนคนเดียวที่เป็นเจ้าของพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา ซึ่งก็จะกลายเป็นเผด็จการพลเรือนสมบูรณ์แบบ ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมเช่นนั้นเอง
ซึ่งก็ก่อให้เกิดกระแสการต่อต้านจากกลุ่มคนที่รักความเป็นธรรม ในรูปแบบกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณที่สวนลุมพินี หรือเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ที่แยกอุรุพงษ์ รวมทั้งเวทีผ่าความจริงทุกสัปดาห์ของพรรคฝ่ายค้านประชาธิปัตย์ด้วย
และยิ่งกรรมาธิการเสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทย ลุแก่อำนาจปรับในการแปรญัติแก้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนายวรชัย เหมะ ที่ผ่านการรับหลักการในวาระที่ 1 ซึ่งหลักการเดิมคือการนิรโทษเฉพาะผู้มาชุมนุมทางการเมืองที่ถูกจับดำเนินคดี โดยไม่รวมถึงแกนนำผู้สั่งการ และไม่นิรโทษความผิดทางคดีอาญา โทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 แต่การแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการ กลับเสนอแก้ไขร่างของนายวรชัย เหมะ เป็นฉบับใหม่ของนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ซึ่งยอมรับอย่างน่าชื่นตาบานว่า ผ่านความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ในพรรค และ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สนับสนุนด้วยการโทรศัพท์มาให้กำลังใจ ร่างใหม่กลายเป็นร่าง พ.ร.บ.ฉบับทะลุซอยที่นิรโทษทุกความผิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 ซึ่งเป้าประสงค์ใหญ่คือล้างผิดให้ทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะคดีความหลังการรัฐประหารปี 2549 เท่านั้น หากแต่ทะลุย้อนหลังไปถึงคดีตากใบ เมื่อปี 2547 ด้วยซ้ำไป
ซึ่งกรณีนี้ ก็ยิ่งเหมือนสาดน้ำมันใส่กองเพลิง ทำให้ทุกกลุ่มมวลชนที่แยกย้ายกระจัดกระจายกันอยู่ เกิดปฏิกิริยาต่อต้านร่วมเป็นแนวเดียวกัน รวมทั้งมวลชนคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ก็ประกาศคัดค้านอย่างขึงขังด้วย เพราะไม่ยอมให้มีการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง ซึ่งรวมเอาอภิสิทธิ์และสุเทพหลุดรอดไปจากคดี 91 ศพคนเสื้อแดงด้วย
ยังมีเรื่องเกี่ยวกับราศีตุลย์คือเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือกรณีพิพาทเรื่องอาณาบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร และเขตแดนชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งศาลโลกนัดอ่านคำพิพากษา ในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้
เป็นอีกหนึ่งจุดวิกฤตที่อาจทำให้มวลชนหลายๆ กลุ่มมาหลอมรวมกัน เพื่อพิทักษ์ปกป้องมิให้ประเทศไทยสูญเสียดินแดนจากคำพิพากษาของศาลโลก ที่อาจพิพากษาเป็นคุณแก่กัมพูชาและเป็นโทษแก่ประเทศไทย
ในทางโหราศาสตร์ ล่าสุด ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ได้ร่วมกับ ฟองสนาน จามรจันทร์ อดีตนักข่าวฝีปากกล้าที่ผันตัวเองมาเป็นโหราจารย์ ทั้งสองร่วมกันเขียนหนังสือ พิมพ์เป็นพ็อกเกตบุ๊ค ชื่อ “รับมือ...เทวสุรสงคราม สยามประเทศ” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับดวงเมืองแตก การรับมือดวงเมืองแตก และช่วงเวลาที่จะผ่านพ้นดวงเมืองแตก นับว่าเป็นหนังสือที่น่าสนใจ เพราะเป็นการอ่านการเมืองไทยจากดวงดาวพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ในเชิงลึกที่น่าติดตาม
ขณะที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยรับคำสั่งบงการจากทางไกล ยังคงเดินหน้าผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับทะลุซอยอย่างย่ามใจ โดยนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ แจ้งกำหนดนัดหมายประชุมสภฯ เป็นกรณีพิเศษเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระ 2 ในวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน เวลา 10.00 - 22.00 น. และจะโหวตวาระ 3 ต่อเนื่องทันทีในวันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายนนี้ และพรรคเพื่อไทยได้ประชุม และมีมติพรรคกำหนดให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ร่วมกันลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตามกรรมาธิการเสียงข้างมาก ให้เป็นเอกฉันท์ โดยนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ กล่าวต่อสื่อมวลชนอย่างแข็งขันและท้าทายว่า รับรองไม่มีเกียร์ถอยหลัง มีแต่เกียร์เดินหน้าอย่างเดียว และเชื่อมั่นว่าจะสามารถควบคุมแรงต่อต้านจากภายนอกได้
ในซีกส่วนของมวลชนภาคประชาชน ก็มีการขับเคลื่อนในแต่ละกลุ่มอย่างสอดรับประสานกำลังกัน รวมทั้งแกนนำเสื้อแดงบางส่วนที่ประกาศจะไปชุมนุมหน้ารัฐสภาร่วมกับกลุ่มเสื้อหลากสีด้วย
วันที่ 27 ตุลาคม ที่ผ่านมา สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ที่ก่อตั้งขึ้นในเดือนกันยายน 2556 ก็ได้จัดประชุมเครือข่าย 77 จังหวัด ที่หอประชุมศรีบูรพามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กำหนดท่าทีและซักซ้อมวิธีการโค่นล้มระบอบทักษิณ และโค่นล้มรัฐบาล โดยจะนัดเป่านกหวีดเคลื่อนไหวทันทีที่ พ.ร.บ นิรโทษกรรมผ่านสภาในวาระ 3 รวมทั้งจะมีการเคลื่อนขบวนต่อต้านไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลโลก หากพิพากษาไม่เป็นคุณแก่ประเทศไทย ที่อาจก่อให้เกิดการเสียดินแดนแก่กัมพูชาด้วย
และในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เริ่มเป่านกหวีดแล้ว เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม สองวันที่ผ่านมานี้ โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ยื่นใบลาออกจากกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยรองหัวหน้าพรรคภาคกลาง (นายกรณ์ จาติกวณิช) รองหัวหน้าพรรคภาคอีสาน (นายอิสระ สมชัย) ภาคเหนือ (นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู) และภาคใต้ (นายถาวร เสนเนียม) พร้อมทั้งประกาศนัดหมายมวลชนชุมนุมที่บริเวณสถานีรถไฟสามเสน ในวันที่ 31 ตุลาคม ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป โดยประกาศกร้าวว่าจะต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับทะลุซอยอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยที่กำลังร้อนระอุ รอการระเบิดได้ทุกขณะอยู่ในขณะนี้ ช่างดูสอดคล้องกับเรื่อง “ดวงเมืองแตก” ตามตำราโหราศาสตร์อย่างน่าระทึกใจ
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้ว เมื่อชาติบ้านเมืองมันถึงขั้นกลียุคถึงเพียงนี้