“ให้นับถอยหลังการนองเลือดในเร็ววันนี้!!” เกจิชื่อดังแดนเหนือ “ครูบาบุญชุ่ม” ออกมาทำนายทายทักอนาคตการเมืองไทยจนเป็นเหตุให้เกิดการแชร์กันสนั่นไลน์
โหรชื่อดัง “ภิญโญ พงษ์เจริญ” ช่วยเสริมอีกแรง บอกมีความเป็นไปได้สูงเพราะดวงดาวโคจรบอกเหตุ “ดวงเมืองร้าว” ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ฝั่งนักวิชาการวิเคราะห์ด้วยเหตุและผลแล้วเตือนว่า นี่อาจเป็นแค่การปล่อยข่าวหยั่งเสียงสะท้อน อย่าเพิ่งตระหนกไป หมากเกมนี้ยังต้องดูกันอีกยาว...
ดวงเมืองร้าว! เตรียมนองเลือด?
“ให้เริ่มนับถอยหลังการนองเลือดในเร็ววันนี้ กรรมของคนไทยทั้งชาติได้มาถึงแล้ว ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงหรือหลบลี้ได้ ส่วนคนในขบวนที่เพิ่งจากไป มีกรรมหนักไม่มีทางแก้ไขได้” นี่คือใจความสำคัญของคำทำนายที่แชร์กันในไลน์ (Line โปรแกรมแชตบนมือถือ) อย่างครึกโครม โดยอ้างว่ามาจากปากของเกจิอาจารย์ชื่อดังเมืองเหนือ “ครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสังวะโร” พระอาจารย์ซึ่งลือกันว่ามีญาณทิพย์สามารถล่วงรู้อนาคตได้
ยังตรวจสอบต้นตอไม่เจอว่าผู้ส่งข้อความนี้คือใคร แต่รายละเอียดที่ส่งต่อๆ กันไป บอกเอาไว้ว่าไปเจอตัวแทนของคนตระกูลชินวัตร นายพลตำรวจซึ่งเป็นหลานเขยของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าโดยบังเอิญ ขณะที่เดินทางไปกราบนมัสการพระครูซึ่งนั่งกรรมฐานอยู่ในถ้ำลึก อ.งาว จ.ลำปาง มาถึงก็แซงคิวผู้มีจิตศรัทธาอื่นๆ ที่มารอตั้งแต่เช้าประมาณ 5-6 ชั่วโมง เข้ามาขอพรให้ช่วยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ หลังจากขบวนทั้งหมดกลับไป พระครูบุญชุ่มจึงหันมาบอกคำทำนายสำคัญให้ฟังว่า ให้เริ่มนับถอยหลังการนองเลือดในชาติไทยได้แล้ว กรรมร่วมของคนทั้งชาติเดินทางมาถึงแล้ว!!
ไม่ใช่แค่คำทำนายจากพระครูบาบุญชุ่มเท่านั้นที่ชวนขนลุก แม้แต่ ภิญโญ พงษ์เจริญ โหรชื่อดัง นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ก็มีหลักฐานจากท้องฟ้ามาช่วยยืนยัน
“ที่ท่านพูดถึงเรื่องกรรมเอาไว้น่าจะถูกครับ คนเราทำกรรมอะไรไว้ กรรมมันมีวิบาก ต้องมีการสนองเจตนาของกรรม แต่ในส่วนของทางโหราศาสตร์ ดูจากดวงเมืองเอง ก็บอกได้เหมือนกันว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเร็ววันนี้” ซึ่งน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ เพราะนี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ดาวเสาร์และราหู โคจรมารวมอยู่จุดเดียวกันที่ราศีตุลย์ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ดวงเมืองแตก-ดวงเมืองร้าว!!”
เพราะดาวเสาร์เป็นเจ้าเรือนที่ 10 ของดวงเมือง ซึ่งเรียกว่า “กัมมะ” หมายถึงผู้บริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งก็คือคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือผู้ที่ดูแลปกครองบ้านเมือง ส่วนราหูเป็นเจ้าเรือนที่ 11 ซึ่งเรียกว่า “ลาภะ” หมายถึงรายได้ ผลประโยชน์ นโยบายของชาติ การจัดเก็บภาษีอากร ถ้าเป็นคณะบุคคลจะหมายถึงรัฐสภา ซึ่งเน้นไปที่สภาสามัญ (ส.ส.) เมื่อดาว 2 ดวงโคจรมาเจอกัน กลายมาเป็น “คู่มิตร” กัน จึงส่งให้ดวงบ้านดวงเมืองแตกยากที่จะประสาน
“ถามว่าครั้งนี้จะเกิดการเผชิญหน้าและมีการนองเลือดมั้ย ถ้าศึกษาตามดวงเมืองที่เคยเกิดขึ้น มันมีเค้านะ เพียงแต่คราวนี้น่าจะแรงกว่าคราวที่ผ่านๆ มา เพราะเหตุการณ์ความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต คือเหตุการณ์ที่เกิดจากผลของการโคจรของดาวราหูมาพบราศีตุลย์เพียงดวงเดียว แต่ครั้งนี้มีดาวเสาร์มาโคจรประกบคู่ รัฐบาลและรัฐสภาสุมหัวกันออกกฎหมายจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายนิรโทษกรรม, พ.ร.บ.เงินกู้ หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ มาสุมหัวกันที่ราศีตุลย์ ราศีคนถือคันชั่ง เลยทำให้ดวงเมืองแตก”
เฝ้าระวัง! ช่วงเวลาอันตราย
ลองให้ระบุช่วงเวลาที่ถือว่าเป็นจุด peak และควรเฝ้าระวังมากที่สุด เมื่อพิจารณาจากการเดินทางของดวงดาวแล้ว อาจารย์ภิญโญบอกว่าน่าจะอยู่ในช่วง “วันที่ 10-14 ธ.ค.” เพราะเป็นช่วงที่ราหูซึ่งคุมดวงเมือง โคจรไปในราศีตุลย์ เล็งกลางพระอาทิตย์ได้สนิท แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าช่วงเวลาก่อนหรือหลังจากที่เตือนเอาไว้จะนิ่งนอนใจได้ เพราะความรุนแรงอาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ตามอิทธิพลของดาวราหูที่มาโคจรเจอกับดาวเสาร์ที่ดวงเมืองพอดี และหลักฐานที่ช่วยย้ำเตือนได้ดีที่สุดก็คือช่วงเวลาที่เคยจารึกไว้ในประวัติศาสตร์นั่นเอง
ในอดีต เคยมีปรากฏการณ์ราหูโคจรมาเจอกับดาวเสาร์ที่ราศีตุลย์เหมือนกัน แต่เกิดขึ้นนานมากแล้ว เคยเกิดเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้นตั้งแต่สร้างกรุงเทพฯ มาคือ เมื่อปี 2351 ในครั้งนี้รัฐปัตตานีแข็งเมือง ต้องส่งกองทัพจากทางใต้เข้าไปปราบปราม กบฏก็หนีไปทางรัฐมลายู จนเกิดปัญหาเรื่องดินแดนทางใต้ แต่กบฏทำการไม่สำเร็จ สามารถปราบปรามได้ นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงหัวเมืองปัตตานี และในปีถัดมา 2532 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสวรรคต เปลี่ยนแผ่นดินจากรัชกาลที่ 1 เป็นรัชกาลที่ 2
อีกรอบหนึ่งคือปี 2408 ที่ราหูกับเสาร์โคจรมาเจอกัน เป็นปีที่เสียพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 และมีเรื่องการเสียดินแดนให้ประเทศมหาอำนาจอย่าง อังกฤษและฝรั่งเศส
“เพราะฉะนั้น ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ดาวราหูและดาวเสาร์โคจรมาเจอกันที่ราศีตุลย์เป็นครั้งที่ 3 น่าจะนำมาซึ่งเหตุการณ์สำคัญประมาณ 4 เรื่อง คือ 1.การสูญเสียบุคคลสำคัญซึ่งเกิดไปแล้ว และอาจจะเกิดขึ้นอีก 2.เรื่องการสูญเสียดินแดน อันนี้น่าจะเป็นเรื่องคดีเขาพระวิหาร แต่ยังไงก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องความวุ่นวายทางภาคใต้ด้วย 3.เรื่องอุบัติภัย ทั้งน้ำ ไฟไหม้ และพายุ และ 4.เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งจากการศึกษาจะเห็นว่ามีทั้งการเปลี่ยนแปลงโดยเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย เช่น ยุบสภา และบางรอบก็มีการชุมนุมและเกิดการจลาจลเกิดขึ้น เกิดความวุ่นวายจนคนไทยต้องฆ่ากันเอง นำมาซึ่งการยึดอำนาจ”
จากการศึกษาวัฏฏะของดวงดาวทั้ง 2 ดวงนี้ พบว่าพระราหูมีวัฏฏะ 18 ปี เพราะฉะนั้น ถ้าจะศึกษาอิทธิพลของราหูในอดีตว่าส่งผลยังไงต่อบ้านเมืองบ้าง ตามสูตรเขาให้เอา พ.ศ. ณ ขณะนี้ ลบด้วย 18.6 ปี แล้วย้อนถอยย้อนหลังไปดูเหตุการณ์ 2-3 รอบ จะเห็นอดีตที่สามารถนำมาคาดคะเนได้
“ลองย้อนกลับไปครั้งแรก (ลบด้วย 18.6 ปี) จะอยู่ในช่วง พ.ศ.2538 ซึ่งจบเห็นว่าเกิดเหตุการณ์ที่ดำเนินไปคล้ายๆ กับขณะนี้คือ เกิดการสูญเสียผู้ใหญ่ของบ้านเมืองไปหลายท่าน มีทั้งสมเด็จย่า, หม่อมคึกฤทธิ์ และพระองค์เจ้าอีกหลายพระองค์ พอมาปีนี้ (พ.ศ.2556) เราก็เสียรองนายกฯ ไปถึง 2 คน, อดีตรองนายกฯ และเราก็เพิ่งเสียสมเด็จพระสังฆราช ลองเปรียบเทียบเหตุการณ์ดูแล้วจะเห็นว่ามีความคล้ายคลึงกันมาก”
อีกด้านหนึ่งคือเรื่องอุบัติภัย ปี 2538 เกิดน้ำท่วมใหญ่ จากภาคกลางตอนล่างถึงภาคใต้ตอนบน ท่วมนาน 6 เดือนกว่า ซึ่งถือว่ารุนแรง และปีนี้ก็เกิดน้ำท่วมเหมือนกัน ระดับน้ำก็หนักอยู่เหมือนกัน แต่เผอิญว่าคนไทยมีประสบการณ์เรื่องการรับมือกับน้ำแล้ว ผลที่ออกมาก็เลยทุเลาลงไป
เรื่องสุดท้ายที่เหมือนกันอย่างชัดเจนคือ เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เมื่อปี พ.ศ.2538 มีการยุบสภาครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อเดือน พ.ค. ในรัฐบาล “ชวน หลีกภัย” และเลือกตั้งใหม่ พรรคชาติไทยได้เสียงข้างมากทำให้อำนาจเปลี่ยนมือครั้งใหญ่
“โหราศาสตร์ใช้เป็นเครื่องเตือนภัยให้เห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นและอาจจะเกิดขึ้นอีก พิจารณาจากเหตุการณ์ขณะนี้ที่เริ่มเขม็งเกลียวเข้ามา ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดการนองเลือด เพราะการที่ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล-รัฐสภา ออกมาจำนวนมาก แล้วทางฝ่ายรัฐเองก็ปลุกม็อบอีกด้านหนึ่งขึ้นมาต้าน มันก็เสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้าขึ้น
คือถ้าไม่มีการปลุกม็อบอีกฝั่งขึ้นมา ก็จะเป็นการเผชิญหน้าระหว่างม็อบประชาชนที่คัดค้านรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่นี่มีผู้ชุมนุมอีกกลุ่มหนึ่งด้วย ยิ่งทำให้สถานการณ์ล่อแหลมยิ่งขึ้น ก็อยากจะฝากว่ายังไงก็คนไทยด้วยกันนะครับ เกิดปะทะกัน มีจลาจลเกิดขึ้น คนที่เสียหายก็คนไทยด้วยกันทั้งนั้นครับ”
ลือคำทำนาย แค่เกมการเมือง?
ถึงเกจิและโหรจะฟันธงการนองเลือดกันขนาดไหน แต่ในมุมมองของนักวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองอย่าง ผศ.ตระกูล มีชัย อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ แล้ว กลับไม่เชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างที่คาดคะเนกันเอาไว้ แต่น่าจะเป็นการปล่อยข่าวเพื่อหยั่งสถานการณ์มากกว่า
“ความกลัวจากเหตุการณ์เมื่อปี 53 ยังอยู่ในใจทุกคนอยู่ เพราะฉะนั้น เรื่องนองเลือดน่าจะเป็นไปได้ยากครับ และถ้ามีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น ผมว่าคงไม่มีใครยอมปล่อยให้เกิด สุดท้ายก็จะมีอำนาจอะไรบางอย่างของรัฐที่จะคานอำนาจเอาไว้ ผมว่าข่าวลือคำทำนายว่าจะนองเลือดครั้งนี้น่าจะเป็นไปเพื่อที่จะหยุดยั้งอะไรบางอย่างเท่านั้นครับ ข่าวที่ปล่อยออกมาเพื่อชิมลาง ชิมสถานการณ์ ชิมกระแสตอบรับของสังคม เพราะถ้าจะนองเลือดจริงๆ จะไม่มีข่าวปล่อยออกมาแบบนี้หรอกครับ ส่วนใครจะเป็นฝ่ายปล่อยข่าว อันนี้ผมไม่ทราบ มันได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เป็นการเกทับ ปล่อยออกมาเพื่อหยั่งเชิงการสู้ เป็นเกมการเมืองมากกว่า โดยเฉพาะการหยั่งเสียงเหตุการณ์คำตัดสินของศาลที่จะมีในวันที่ 20 พ.ย. นี้”
ลองให้คาดคะเนว่าถ้ามีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้น อาจเกิดมาจากสาเหตุใดได้บ้าง อาจารย์จึงช่วยตั้งสมมติฐานให้ฟังเพิ่มเติม “ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ มันมีกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญ ตรงนี้ถ้ามองในเชิงเลวร้ายที่สุดคือ ศาลรัฐธรรมนูญอาจจะวินิจฉัยว่ากระบวนการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมันผิด และวินิจฉัยไปถึง ส.ส., ส.ว. ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย ลามไปถึงพรรคการเมือง แล้วใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 68 ลงโทษถึงขนาดยุบพรรค ตัดสิทธิ์ทางการเมือง
ถ้าเผื่อสมมติฐานนี้เป็นจริง ก็อาจจะทำให้เกิดปรากฏการณ์การรวมตัวทางการเมืองเพื่อต่อต้านการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ จากกลุ่มไม่เห็นด้วยในคำตัดสิน เดินทางไปกดดันศาลหรือไปดำเนินการก่อความวุ่นวายทั่วทั้งระบบ ก็อาจจะทำให้เกิดการปะทะครั้งใหญ่เกิดขึ้น อาจเกิดการนองเลือด ถ้ากลุ่มที่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเคลื่อนพลมาปะทะกัน
แต่การปะทะกันตรงนั้น อาจจะไม่ได้นองเลือดอะไรมาก อาจจะจำกัดอยู่แค่บริเวณนั้น แต่ถ้าสถานการณ์มันขยายใหญ่โตไปว่ามีการปลุกระดมคนขึ้นมาต่อต้านทั้งประเทศ แบบนั้นก็อาจจะนองเลือดกันไม่ยาก แต่คิดว่าเปอร์เซ็นต์คงไม่มาก เพราะการที่จะแก้ไขปัญหาที่มันคาราคาซังอยู่ในขณะนี้ ทางออกมันไม่ใช่การนองเลือดเสมอไป”
ถึงแม้ว่าตอนนี้ ทางกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งนำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ จะประกาศเส้นตายการชุมนุมเอาไว้ภายในวันที่ 30 พ.ย. เร่งรัดเงื่อนเวลาสร้างความตึงเครียดทางการเมืองให้เกิดขึ้น แต่อาจารย์ก็เชื่อว่าประเด็นการต่อสู้ในขณะนี้มีแรงไม่มากพอให้เกิดการลุกฮือจนกลายเป็นการปะทะครั้งใหญ่ให้นองเลือดได้
“ช่วงสถานการณ์อีกประมาณ 10 กว่าวันเนี่ย ถือว่าระยะเวลาที่จะทำให้มวลชนเข้าใจประเด็นที่ออกมาคัดค้านสั้นไปครับ เพราะตอนแรกที่คนลุกฮือกันออกมาต่อต้านเยอะๆ มันคือประเด็นเรื่องคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งมันชัดเจน ทุกคนเข้าใจ มีจุดร่วมกัน แต่ตอนนี้ กลายเป็นประเด็นใหม่ ออกมาขับไล่ระบอบทักษิณ มีปัญหาหลายเรื่องรวมกันอยู่ ทั้งหายนะจากการจำนำข้าว การกู้เงิน รายละเอียดมันซับซ้อนครับ
เพราะฉะนั้น จุดนี้น่าจะขึ้นอยู่กับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญมากกว่าครับว่าจะออกมายังไง ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า จะปลุกมวลชนให้เดินหน้าไปด้วยกันได้ ต้องโชว์ประเด็นให้เห็นชัดเจน ไม่อย่างนั้นไม่มีใครไปลุกขึ้นเดินหน้าปะทะกันหรอกครับ ไม่ใช่ว่ากดปุ่มบอกให้ลุยก็จะลุยได้
กลุ่มราชดำเนินในขณะนี้ เป็นกลุ่มที่ไม่ใช้ความรุนแรง เพราะถ้าใช้ความรุนแรงก็คือง่ายต่อรัฐที่จะเข้าไปจัดการ ตอนนี้ข่าวคราวที่เกิดขึ้นระหว่างการ์ดกับตำรวจ แค่สะกิดกันเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่น่าเป็นห่วงครับ ถ้ายังต่อสู้กันแบบสันติวิธีแบบนี้ต่อไป ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะถ้าประชาชนชุมนุมอย่างสันติ แล้วรัฐเข้ามาจัดการแบบใช้กำลัง มันก็จะถูกสังคมต่อต้าน แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดการนองเลือดได้ ถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ปัญหาความรุนแรงหลายๆ ครั้ง มันเกิดจากอุบัติเหตุนะ อย่าง 14 ตุลาฯ ก็นองเลือดเพราะอุบัติเหตุครับ ก็ขออย่าให้เกิดอุบัติเหตุก็แล้วกัน”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE