ในที่สุดวันที่ 8 ตุลาคม ได้ผ่านไปโดยที่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น และมีผลกระทบต่อรัฐบาล มีเพียงกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่า กองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ มาชุมนุมข้างทำเนียบฯ จำนวนพัน และในที่สุดถอนตัวออกไปเพียงเพราะได้รับการขอร้องจากตำรวจ โดยอ้างเพื่อเห็นแก่ภาพลักษณ์ของประเทศ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีจีนมาเยือนประเทศไทยในฐานะแขกรัฐบาล
แต่ทั้งรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจลืมไปว่าครั้งหนึ่งในอดีต ประเทศไทยเคยขายหน้ามาแล้วจากการที่กลุ่มคนเสื้อแดงยกพวกไปบุกที่ประชุมอาเซียนบวก 6 ที่พัทยาในยุคของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้การประชุมในครั้งนั้นต้องล้มเลิก ผู้นำหลายประเทศต้องกลับไปอย่างกะทันหัน และในครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจมิได้แสดงศักยภาพในการป้องกัน และแสดงบทบาทในการเจรจาใดๆ ในทำนองเดียวกันนี้ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนั้นก็มีตำแหน่งหน้าที่อยู่ในราชการ จนกระทั่งปัจจุบันแถมหลายคนได้ดิบได้ดี จึงทำให้เกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งในแง่การเมือง และในแง่โหราศาสตร์
ในแง่การเมืองคงตอบได้ไม่ยากว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์อ่อนแอ และไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่าที่ควรจะเป็น
ส่วนในด้านโหราศาสตร์ ถ้ามองจากดาวเสาร์และดาวราหู จะเห็นได้ว่าอิทธิพลของดาวคู่นี้ในปี 2553 กับปี 2556 ก็ส่งผลร้ายต่อบ้านเมืองไม่น้อยไปกว่ากัน
ดังนั้น วิกฤตการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลคงไม่ต่างกันคือ ยุบสภาหรือไม่ก็โดนศาลพิพากษามีความผิดต้องพ้นจากความเป็นรัฐบาลไม่เกินวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 แน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม การที่เหตุการณ์เลวร้ายไม่เกิดขึ้นในวันที่ 8 ตุลาคม โหรจะต้องทบทวนหาคำตอบให้ได้ว่า ทำไมเหตุการณ์ผิดเพี้ยนไป เกี่ยวกับประเด็นนี้ ในฐานะผู้เขียนเป็นโหรสมัครเล่น และได้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 ปี ทั้งได้เก็บสถิติในการพยากรณ์เกี่ยวกับดวง ทั้งดวงการเมือง และดวงคนไว้มากพอที่จะบอกได้ว่าความแม่นยำในกรณีของคน และดวงเมืองที่ดูควบคู่ไปกับผู้นำรัฐบาลประมาณ 80% แต่ถ้าดูเพียงดวงเมืองประการเดียว โดยที่ไม่นำดวงผู้นำรัฐบาลมาดูประกอบกัน จะได้ผลประมาณ 50-60% เป็นอย่างมาก
ดังนั้น ถ้าอยากให้ผลพยากรณ์ดวงเมืองมีความถูกต้อง 80% จะต้องนำดวงผู้นำรัฐบาลมาดูประกอบด้วย
ส่วนปัญหาว่า 20% ที่เหลือซึ่งเป็นความผิดพลาดเกิดจากอะไรนั้น เป็นเรื่องที่บอกได้จากประสบการณ์สรุปได้ว่า
1. ศาสตร์ที่นำมาใช้ในการพยากรณ์มีความบกพร่อง ไม่ครอบคลุมถึงกรณีนี้
2. ผู้นำศาสตร์มาใช้พยากรณ์หรือที่เรียนกับหมอดูไม่มีความรู้ และประสบการณ์ในศาสตร์เพียงพอ จึงทำให้ผิดพลาดได้
3. ข้อมูลคือวัน เดือน ปี และเวลาเกิดไม่แน่นอน ทำให้การคำนวณหาลัคนาที่ถูกต้องได้ จึงทำให้ผลที่ได้คลาดเคลื่อน
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของดวงเมืองเท่าที่มีประสบการณ์ ถ้าจะให้แม่นยำจะต้องดูดวงผู้นำรัฐบาลควบคู่ไปกับดวงฤกษ์ตั้งกรุงเทพฯ ซึ่งจะนำมาพยากรณ์เป็นตัวอย่างดังนี้
1. ดวงเมืองตรงกับวันที่ 21 เมษายน 2325 เวลา 06.54 น.
2. ดาวจรในวันที่ 8 ตุลาคม 2556 เวลา 06.54 น.
จากการเปรียบเทียบดวงเมืองกับดวงจร จะเห็นได้ว่าในวันที่ 8 ต.ค. เวลา 06.54 น. ลัคนาดวงจรจะอยู่ราศีตุล และดาวพฤหัสฯ ทำมุมตรีโกณฑ์ ดังนั้นโอกาสที่จะวุ่นวายถึงกับต้องเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากการชุมนุมยังเกิดขึ้นไม่ได้ แต่จากวันที่ 8-15 ต.ค.รัฐบาลจะถูกคำพิพากษา และมีความผิดเกิดขึ้นได้ ทั้งส่งผลให้รัฐบาลมีอันต้องพ้นไป หรือมีการยุบสภาที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 60%
แต่ถ้าจะให้แน่นอนจะต้องนำดวงของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และถ้าให้แน่นอนจะต้องนำดวงของอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาดูประกอบด้วย จึงจะหวังผลได้ 80% ในทำนองเดียวกัน ดวงของคนธรรมดาหรือนักธุรกิจที่ดูควบคู่กับดวงธุรกิจหรือดาวฤกษ์ก่อตั้งบริษัท
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ดวงเมืองจะนำมาพยากรณ์การมองประเทศไม่ได้ หรือว่าได้ในบางเรื่อง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอบได้คำเดียวว่าดูได้ แต่ต้องดูภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ดูดวงเมืองพร้อมด้วยดวงผู้นำประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของรัฐบาลชุดนี้ ถ้าจะให้แน่นอน 80% จะต้องนำดวงผู้นำมาดูด้วย แต่ผู้เขียนไม่มีดวงของผู้นำ และอดีตผู้นำ แต่พอจะดูจากดวงที่มีแค่วัน เดือน และปีเกิด โดยไม่มีเวลาเกิดและยึดทักษาเป็นหลัก ก็พอจะอนุมานได้ว่า ทั้งดวงนายกฯ และอดีตนายกฯ มีดาวอังคารเป็นกาลกิณี ดังนั้น โอกาสที่จะเดือดร้อนเพราะคดีความสูงถึง 80% และเป็นคดีอาญาด้วย
ด้วยเหตุที่ถ้ามองจากเรื่องที่มีผู้ร้องต่อศาลไว้หลายๆ คดี เห็นว่าคดีจำนำข้าวและกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท มีโอกาสที่จะทำให้รัฐบาลชุดนี้มีความผิดค่อนข้างสูงถึง 80% และถ้าทุกอย่างถูกต้อง รัฐบาลชุดนี้จะอยู่ได้ไม่เกินวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้
ส่วนจะพ้นไปอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเกิดขึ้นในช่วงไหน และในขณะนั้นดาวอาทิตย์และอังคารทำมุมเทียบกันมากน้อยขนาดไหน ถ้าเกิดในช่วงวันที่ 14 ต.ค.-14 พ.ย. เป็นที่แน่นอนว่าอาจทำให้ผู้นำต้องพ้นจากตำแหน่ง และอาจต้องหนีออกนอกประเทศได้ แต่ถ้าก่อนหรือหลังจากนี้คงอาจต้องพ้นไปด้วยการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งกันใหม่
ไม่ว่าจะพ้นไปด้วยการยุบสภาหรือศาลพิพากษาสิ่งที่ตามมาก็คือ จะกลับมาอีกครั้งยากยิ่งกว่าเดิม และถ้าจะให้มาง่ายขึ้นกว่าเดิม ก็จะต้องผ่านไปแล้วอย่างน้อย 2 ปีครึ่งไปแล้ว
โดยสรุปง่ายๆ ก็คือ รัฐบาลชุดนี้มีโอกาสพ้นไปจากการอยู่ในอำนาจภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน ที่มีความเป็นไปได้ไม่น้อยไปกว่า 80% และไปแล้วกลับมายากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน.
แต่ทั้งรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจลืมไปว่าครั้งหนึ่งในอดีต ประเทศไทยเคยขายหน้ามาแล้วจากการที่กลุ่มคนเสื้อแดงยกพวกไปบุกที่ประชุมอาเซียนบวก 6 ที่พัทยาในยุคของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้การประชุมในครั้งนั้นต้องล้มเลิก ผู้นำหลายประเทศต้องกลับไปอย่างกะทันหัน และในครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจมิได้แสดงศักยภาพในการป้องกัน และแสดงบทบาทในการเจรจาใดๆ ในทำนองเดียวกันนี้ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนั้นก็มีตำแหน่งหน้าที่อยู่ในราชการ จนกระทั่งปัจจุบันแถมหลายคนได้ดิบได้ดี จึงทำให้เกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งในแง่การเมือง และในแง่โหราศาสตร์
ในแง่การเมืองคงตอบได้ไม่ยากว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์อ่อนแอ และไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่าที่ควรจะเป็น
ส่วนในด้านโหราศาสตร์ ถ้ามองจากดาวเสาร์และดาวราหู จะเห็นได้ว่าอิทธิพลของดาวคู่นี้ในปี 2553 กับปี 2556 ก็ส่งผลร้ายต่อบ้านเมืองไม่น้อยไปกว่ากัน
ดังนั้น วิกฤตการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลคงไม่ต่างกันคือ ยุบสภาหรือไม่ก็โดนศาลพิพากษามีความผิดต้องพ้นจากความเป็นรัฐบาลไม่เกินวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 แน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม การที่เหตุการณ์เลวร้ายไม่เกิดขึ้นในวันที่ 8 ตุลาคม โหรจะต้องทบทวนหาคำตอบให้ได้ว่า ทำไมเหตุการณ์ผิดเพี้ยนไป เกี่ยวกับประเด็นนี้ ในฐานะผู้เขียนเป็นโหรสมัครเล่น และได้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 ปี ทั้งได้เก็บสถิติในการพยากรณ์เกี่ยวกับดวง ทั้งดวงการเมือง และดวงคนไว้มากพอที่จะบอกได้ว่าความแม่นยำในกรณีของคน และดวงเมืองที่ดูควบคู่ไปกับผู้นำรัฐบาลประมาณ 80% แต่ถ้าดูเพียงดวงเมืองประการเดียว โดยที่ไม่นำดวงผู้นำรัฐบาลมาดูประกอบกัน จะได้ผลประมาณ 50-60% เป็นอย่างมาก
ดังนั้น ถ้าอยากให้ผลพยากรณ์ดวงเมืองมีความถูกต้อง 80% จะต้องนำดวงผู้นำรัฐบาลมาดูประกอบด้วย
ส่วนปัญหาว่า 20% ที่เหลือซึ่งเป็นความผิดพลาดเกิดจากอะไรนั้น เป็นเรื่องที่บอกได้จากประสบการณ์สรุปได้ว่า
1. ศาสตร์ที่นำมาใช้ในการพยากรณ์มีความบกพร่อง ไม่ครอบคลุมถึงกรณีนี้
2. ผู้นำศาสตร์มาใช้พยากรณ์หรือที่เรียนกับหมอดูไม่มีความรู้ และประสบการณ์ในศาสตร์เพียงพอ จึงทำให้ผิดพลาดได้
3. ข้อมูลคือวัน เดือน ปี และเวลาเกิดไม่แน่นอน ทำให้การคำนวณหาลัคนาที่ถูกต้องได้ จึงทำให้ผลที่ได้คลาดเคลื่อน
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของดวงเมืองเท่าที่มีประสบการณ์ ถ้าจะให้แม่นยำจะต้องดูดวงผู้นำรัฐบาลควบคู่ไปกับดวงฤกษ์ตั้งกรุงเทพฯ ซึ่งจะนำมาพยากรณ์เป็นตัวอย่างดังนี้
1. ดวงเมืองตรงกับวันที่ 21 เมษายน 2325 เวลา 06.54 น.
2. ดาวจรในวันที่ 8 ตุลาคม 2556 เวลา 06.54 น.
จากการเปรียบเทียบดวงเมืองกับดวงจร จะเห็นได้ว่าในวันที่ 8 ต.ค. เวลา 06.54 น. ลัคนาดวงจรจะอยู่ราศีตุล และดาวพฤหัสฯ ทำมุมตรีโกณฑ์ ดังนั้นโอกาสที่จะวุ่นวายถึงกับต้องเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากการชุมนุมยังเกิดขึ้นไม่ได้ แต่จากวันที่ 8-15 ต.ค.รัฐบาลจะถูกคำพิพากษา และมีความผิดเกิดขึ้นได้ ทั้งส่งผลให้รัฐบาลมีอันต้องพ้นไป หรือมีการยุบสภาที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 60%
แต่ถ้าจะให้แน่นอนจะต้องนำดวงของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และถ้าให้แน่นอนจะต้องนำดวงของอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาดูประกอบด้วย จึงจะหวังผลได้ 80% ในทำนองเดียวกัน ดวงของคนธรรมดาหรือนักธุรกิจที่ดูควบคู่กับดวงธุรกิจหรือดาวฤกษ์ก่อตั้งบริษัท
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ดวงเมืองจะนำมาพยากรณ์การมองประเทศไม่ได้ หรือว่าได้ในบางเรื่อง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอบได้คำเดียวว่าดูได้ แต่ต้องดูภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ดูดวงเมืองพร้อมด้วยดวงผู้นำประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของรัฐบาลชุดนี้ ถ้าจะให้แน่นอน 80% จะต้องนำดวงผู้นำมาดูด้วย แต่ผู้เขียนไม่มีดวงของผู้นำ และอดีตผู้นำ แต่พอจะดูจากดวงที่มีแค่วัน เดือน และปีเกิด โดยไม่มีเวลาเกิดและยึดทักษาเป็นหลัก ก็พอจะอนุมานได้ว่า ทั้งดวงนายกฯ และอดีตนายกฯ มีดาวอังคารเป็นกาลกิณี ดังนั้น โอกาสที่จะเดือดร้อนเพราะคดีความสูงถึง 80% และเป็นคดีอาญาด้วย
ด้วยเหตุที่ถ้ามองจากเรื่องที่มีผู้ร้องต่อศาลไว้หลายๆ คดี เห็นว่าคดีจำนำข้าวและกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท มีโอกาสที่จะทำให้รัฐบาลชุดนี้มีความผิดค่อนข้างสูงถึง 80% และถ้าทุกอย่างถูกต้อง รัฐบาลชุดนี้จะอยู่ได้ไม่เกินวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้
ส่วนจะพ้นไปอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเกิดขึ้นในช่วงไหน และในขณะนั้นดาวอาทิตย์และอังคารทำมุมเทียบกันมากน้อยขนาดไหน ถ้าเกิดในช่วงวันที่ 14 ต.ค.-14 พ.ย. เป็นที่แน่นอนว่าอาจทำให้ผู้นำต้องพ้นจากตำแหน่ง และอาจต้องหนีออกนอกประเทศได้ แต่ถ้าก่อนหรือหลังจากนี้คงอาจต้องพ้นไปด้วยการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งกันใหม่
ไม่ว่าจะพ้นไปด้วยการยุบสภาหรือศาลพิพากษาสิ่งที่ตามมาก็คือ จะกลับมาอีกครั้งยากยิ่งกว่าเดิม และถ้าจะให้มาง่ายขึ้นกว่าเดิม ก็จะต้องผ่านไปแล้วอย่างน้อย 2 ปีครึ่งไปแล้ว
โดยสรุปง่ายๆ ก็คือ รัฐบาลชุดนี้มีโอกาสพ้นไปจากการอยู่ในอำนาจภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน ที่มีความเป็นไปได้ไม่น้อยไปกว่า 80% และไปแล้วกลับมายากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน.