จู่ๆ ศาลโลกหรือที่คนไทยจำนวนมากเรียกขานว่าศาลลำเอียงระหว่างประเทศก็เลื่อนการตัดสินคดีเขาพระวิหารจากเดือนกุมภาพันธ์ 2557 มาเป็นวันที่ 11 พฤศจิกายน ศกนี้ และกลายเป็นฟืนกองใหญ่ที่สุมหัวใจประชาชนไทยผู้รักชาติทั้งปวง
ศาลโลกยังไม่ทันจะตัดสิน บรรดาเหล่าผู้ขายชาติก็กระเหี้ยนกระหือรือเตรียมการหลายสิ่งหลายอย่าง แม้กระทั่งการตั้งคณะทำงานพิเศษ และการตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อเตรียมการยกแผ่นดินไทยให้กับเขมร
มีการวางกรอบกดดันเหล่าทัพและทหารทั้งหลายให้ยอมจำนนยอมรับคำตัดสินของศาลลำเอียงนั้น ทั้งๆ ที่เป็นหน้าที่ของกองทัพไทยและทหารทุกคนในการปกป้องพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ โดยไม่ต้องฟังเสียงต่างชาติหรือเสียงนักการเมืองหน้าไหนทั้งสิ้น เพราะนี่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของทหาร
ดังนั้นก่อนถึงวันตัดสินคดี จึงควรที่พี่น้องชาวไทยทั้งประเทศจะได้ทำความรู้ความเข้าใจให้แจ่มแจ้งแก่ใจอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้กำหนดจดจำว่าใครขายชาติ ใครพยายามยกบ้านยกเมืองยกแผ่นดินที่บรรพบุรุษสร้างสมมาให้กับต่างชาติ
เพื่อหวังปล้นผลประโยชน์ในทรัพยากรพลังงานทั้งบนบกและในอ่าวไทยไปแบ่งปันกัน
พี่น้องชาวไทยทั้งประเทศจะต้องทำความเข้าใจประเด็นใหญ่สี่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเสียดินแดนครั้งที่ 15 ให้แจ่มแจ้ง จะได้นำไปบอกลูกสอนหลานและประจานพวกขายชาติไปตลอดกาลนาน
ประเด็นที่หนึ่ง เคยมีการปักปันเขตแดนไทย-เขมร และมีผลใช้บังคับหรือไม่ เมื่อใด?
ในประเด็นนี้รัฐบาลของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ต้องยอมเสียเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ เพื่อได้มาซึ่งสนธิสัญญาปักปันเขตแดนสยามอินโดจีน และได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสยาม-ฝรั่งเศส ทำการปักปันเขตแดนเสร็จสิ้นแล้ว
การปักปันเขตแดนไทย-เขมร โดยคณะกรรมาธิการร่วมมีการปักปันเป็นสองลักษณะ คือหนึ่ง ปักปันตามสภาพภูมิประเทศ เช่น ถือสันปันน้ำเป็นหลัก ตามธรรมชาติ ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสอง คือพื้นที่ราบและไม่ชัดเจนก็ใช้วิธีการปักหลักเขต ซึ่งมีการปักเสร็จสิ้นแล้วรวม 73 หลัก และได้ถือปฏิบัติมาตลอดระยะเวลาร้อยกว่าปีว่าเป็นแนวเขตไทย-เขมรที่ถูกต้องด้วย
ดังนั้นใครหน้าไหนก็ตามที่พูดหรืออ้างหรือเถียงว่าเขตแดนไทย-เขมรไม่ชัดเจน ก็คือเสียงของพวกขายชาติโดยแท้
ประเด็นที่สอง เมื่อการปักปันเขตแดนเสร็จสิ้นแล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วใครไปเลิกล้มการปักปันเขตแดนนั้นเสีย?
ในประเด็นนี้พี่น้องคนไทยต้องทำความรู้ความเข้าใจให้ชัดเจนว่าในปี พ.ศ. 2541 รัฐบาลไทยในสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ออกประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตอุทยานแห่งชาติพระวิหาร ซึ่งครอบคลุมพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและพื้นที่ข้างเคียงราว 4,000 ไร่ ซึ่งแสดงว่ารัฐบาลนั้นรู้ดีว่าพื้นที่นี้อยู่ในเขตแดนไทยตามที่เคยปักปันกันไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5
แต่จู่ๆ ในปี 2543 รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ก็ได้แอบไปทำ MOU 2543 กับเขมร ยกเลิกการปักปันเขตแดนที่เคยจัดทำและใช้บังคับมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นั้นเสีย และให้ปักปันเขตแดนกันใหม่ โดยในการปักปันใหม่นี้ให้ใช้แผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ของเขมร ซึ่งคณะกรรมาธิการฝ่ายฝรั่งเศสจัดทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียวและฝ่ายไทยไม่ยอมรับ เพราะไม่ตรงกับพื้นที่จริงตามที่มีการปักปัน
ตามแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ดังกล่าว ทำให้ไทยเสียดินแดน 3 พื้นที่แก่เขมรคือ พื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร หรือราว 4,000 ไร่ พื้นที่ตลอดชายแดนไทย-เขมร 7 จังหวัด ประมาณ 1.8 ล้านไร่ และพื้นที่ในอ่าวไทยอีกประมาณ 17 ล้านไร่
ถึงวันนี้ขบวนขายชาติดังกล่าวไม่ยอมปริปากพูดแม้แต่สักคำเดียวว่าผีสางปีศาจใดดลใจให้ขายชาติ บังอาจเลิกล้มการปักปันเขตแดนในสมัยรัชกาลที่ 5 และให้ปักปันเขตแดนกันใหม่แบบนี้
MOU 2543 เป็น MOU เถื่อน เพราะไม่ได้ขออนุมัติต่อรัฐสภา แต่พวกอัปรีย์และจัญไรทั้งหลายก็สมคบกันใช้ MOU ฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการขายชาติ ไม่ยอมประกาศความเป็นโมฆกรรมของ MOU 2543 นี้ ทั้งๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วางบรรทัดฐานว่าเป็นโมฆะมาแล้วในคดีที่นายนพดล ปัทมะ ไปทำความตกลงลักษณะเดียวกันกับเขมร
ผลจาก MOU 2543 เถื่อนฉบับนี้แหละจึงทำให้เขมรได้ทีรุกรานรุกล้ำดินแดนไทยไม่ยอมหยุด กระทั่งนำคดีขึ้นฟ้องต่อศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง
ประเด็นที่สาม ในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกตัดสินในปี 2505 นั้น ได้ตัดสินให้ดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของเขมรหรือไม่?
ในคดีดังกล่าว เขมรยื่นคำฟ้องเป็นสองครั้ง ครั้งแรกยื่นฟ้องเอาตัวปราสาทพระวิหารว่าเป็นของเขมร รัฐบาลไทยตั้งท่านอาจารย์เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าคณะทนายฝ่ายไทยเข้าต่อสู้คดี
ระหว่างการดำเนินคดี เขมรได้ยื่นคำฟ้องเป็นครั้งที่สองในรูปแบบยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำฟ้อง โดยอ้างว่าดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรตามแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ขอให้ศาลโลกตัดสินให้เป็นของเขมรด้วย
หัวหน้าคณะทนายฝ่ายไทยเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ว่าสมควรยินยอมให้เขมรเพิ่มเติมฟ้องได้ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ท่านเจ้าคุณพระยาอรรถการีนิพนธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี
ท่านเจ้าคุณได้มีคณะทำงานสำคัญคือศาสตราจารย์กำธร พันธุลาภ เนติบัณฑิตอังกฤษ และนายบุศย์ ขันธวิทย์ เนติบัณฑิตไทย ศึกษาและสรุปความเห็นเสนอต่อรัฐมนตรี
นายบุศย์ ขันธวิทย์ ให้ความเห็นแก่ท่านเจ้าคุณว่า ไม่มีประเพณีโจทก์ใดๆ ที่จะเพิ่มเติมคำฟ้องเพื่อให้ตนเองเสียเปรียบ เพียงเหตุผลนี้ก็ยินยอมให้เขมรเพิ่มเติมฟ้องไม่ได้
คณะทำงานเสนอความเห็นต่อท่านเจ้าคุณพระยาอรรถการีนิพนธ์แล้ว นำเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามเสนอ จึงสั่งการให้คณะทนายความไทยคัดค้านการเพิ่มเติมคำฟ้องของเขมร
คณะทนายความไทยคัดค้านการเพิ่มเติมคำฟ้องของเขมรเป็นสองประการคือ หนึ่ง ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกให้ตัดสินอธิปไตยของประเทศไทย และสอง คัดค้านไม่ยินยอมให้เขมรเพิ่มเติมคำฟ้อง
ศาลโลกจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอเพิ่มเติมคำฟ้องของเขมรในส่วนที่จะเรียกเอาดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรจากประเทศไทย คดีจึงพิพาทกันเฉพาะตัวปราสาทพระวิหาร และในที่สุดศาลก็ตัดสินเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารว่าเป็นอธิปไตยของเขมร
ศาลโลกไม่มีอำนาจและมิได้ตัดสินในเรื่องดินแดนซึ่งเป็นเรื่องฟ้องนอกประเด็นแต่ประการใด ดังนั้นใครอ้างหรือพูดว่าศาลโลกตัดสินให้ดินแดนรอบปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรจึงเป็นพวกขายชาติ
หลังจากไทยแพ้คดีตัวปราสาทพระวิหาร รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เห็นว่าศาลลำเอียง เป็นศาลการเมือง ไม่ดำรงความยุติธรรม จึงถอนตัวจากการเป็นภาคีและตั้งแต่บัดนั้นประเทศไทยก็ไม่อยู่ในอำนาจศาลโลกอีกต่อไป
ประเด็นที่สี่ ใครขายชาติเอาประเทศไทยไปซุกฝ่าตีนศาลลำเอียงครั้งใหม่?
หลังการปะทะกันที่ชายแดน เขมรได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง อย่างเดียวกับที่เคยขอเพิ่มเติมคำฟ้องที่ศาลโลกเคยยกฟ้องไปแล้วว่าดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของเขมร ซึ่งเป็นการฟ้องคดีเรื่องใหม่ แต่ตั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าศาลโลกเคยตัดสินให้ดินแดนรอบพระวิหารเป็นของเขมร
ประเทศไทยไม่ใช่ภาคีของศาลโลก และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งศาลโลกก็ไม่มีอำนาจใดๆ แต่พวกขายชาติได้สมคบกันหลอกลวงคนไทยว่าเป็นแค่การชี้แจงต่อคำขอของเขมรเพื่อตีความคำตัดสินปี 2505 และอ้างว่าไปชี้แจงดีกว่านั่งเฉยๆ ให้เขมรพูดฝ่ายเดียว
แท้จริงคือการเอาประเทศไทยเข้าไปซุกใต้อุ้งตีนของศาลโลกโดยไม่ขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ จากนั้นก็มีการซูเอี๋ยกันล้มคดี ไม่นำพยานเข้าแสดง และไม่ชี้แจงในการที่ศาลออกมาเผชิญสืบรอบปราสาทพระวิหารทั้งสองครั้ง
คงมีแต่การแถลงการณ์ด้วยวาจา ซึ่งเป็นเพียงการแสดงโวหารและความเห็นที่ไม่เป็นแก่นสารดังที่โฆษณากันอยู่ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น
ดังนั้นหากประเทศไทยจะต้องเสียดินแดนให้แก่เขมรตามแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 แล้ว ก็ขอให้คนไทยทั้งประเทศได้รับรู้ร่วมกันว่าเป็นการเสียดินแดนเพราะพวกอัปรีย์จัญไรสุมหัวกันขายชาติ เพื่อเอาประโยชน์ไปแบ่งปันกัน
ก็ได้แต่หวังว่าแผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชมีจริง การช่วงชิงต่อสู้กันระหว่างมหาอำนาจจะก่อให้เกิดความพลิกผันในทางที่ไทยอาจจะไม่เสียดินแดน แต่อาจต้องเสียผลประโยชน์แห่งชาติจากทรัพยากรพลังงานก็เป็นได้ ดังนั้นพวกมหาโจรทั้งหลายอย่าได้ฮึกเหิมลำพองเกินไปนัก!
แม้กระนั้นทรัพยากรเหล่านี้ก็ควรเป็นผลประโยชน์ของประชาชาติไทย ไม่ใช่ผลประโยชน์ที่จะให้ใครเอาไปแบ่งปันกันเอง ไม่ว่าระหว่างนักการเมืองหรือโจรสลัดชาติไหนก็ตาม!
ศาลโลกยังไม่ทันจะตัดสิน บรรดาเหล่าผู้ขายชาติก็กระเหี้ยนกระหือรือเตรียมการหลายสิ่งหลายอย่าง แม้กระทั่งการตั้งคณะทำงานพิเศษ และการตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อเตรียมการยกแผ่นดินไทยให้กับเขมร
มีการวางกรอบกดดันเหล่าทัพและทหารทั้งหลายให้ยอมจำนนยอมรับคำตัดสินของศาลลำเอียงนั้น ทั้งๆ ที่เป็นหน้าที่ของกองทัพไทยและทหารทุกคนในการปกป้องพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ โดยไม่ต้องฟังเสียงต่างชาติหรือเสียงนักการเมืองหน้าไหนทั้งสิ้น เพราะนี่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของทหาร
ดังนั้นก่อนถึงวันตัดสินคดี จึงควรที่พี่น้องชาวไทยทั้งประเทศจะได้ทำความรู้ความเข้าใจให้แจ่มแจ้งแก่ใจอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้กำหนดจดจำว่าใครขายชาติ ใครพยายามยกบ้านยกเมืองยกแผ่นดินที่บรรพบุรุษสร้างสมมาให้กับต่างชาติ
เพื่อหวังปล้นผลประโยชน์ในทรัพยากรพลังงานทั้งบนบกและในอ่าวไทยไปแบ่งปันกัน
พี่น้องชาวไทยทั้งประเทศจะต้องทำความเข้าใจประเด็นใหญ่สี่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเสียดินแดนครั้งที่ 15 ให้แจ่มแจ้ง จะได้นำไปบอกลูกสอนหลานและประจานพวกขายชาติไปตลอดกาลนาน
ประเด็นที่หนึ่ง เคยมีการปักปันเขตแดนไทย-เขมร และมีผลใช้บังคับหรือไม่ เมื่อใด?
ในประเด็นนี้รัฐบาลของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ต้องยอมเสียเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ เพื่อได้มาซึ่งสนธิสัญญาปักปันเขตแดนสยามอินโดจีน และได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสยาม-ฝรั่งเศส ทำการปักปันเขตแดนเสร็จสิ้นแล้ว
การปักปันเขตแดนไทย-เขมร โดยคณะกรรมาธิการร่วมมีการปักปันเป็นสองลักษณะ คือหนึ่ง ปักปันตามสภาพภูมิประเทศ เช่น ถือสันปันน้ำเป็นหลัก ตามธรรมชาติ ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสอง คือพื้นที่ราบและไม่ชัดเจนก็ใช้วิธีการปักหลักเขต ซึ่งมีการปักเสร็จสิ้นแล้วรวม 73 หลัก และได้ถือปฏิบัติมาตลอดระยะเวลาร้อยกว่าปีว่าเป็นแนวเขตไทย-เขมรที่ถูกต้องด้วย
ดังนั้นใครหน้าไหนก็ตามที่พูดหรืออ้างหรือเถียงว่าเขตแดนไทย-เขมรไม่ชัดเจน ก็คือเสียงของพวกขายชาติโดยแท้
ประเด็นที่สอง เมื่อการปักปันเขตแดนเสร็จสิ้นแล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วใครไปเลิกล้มการปักปันเขตแดนนั้นเสีย?
ในประเด็นนี้พี่น้องคนไทยต้องทำความรู้ความเข้าใจให้ชัดเจนว่าในปี พ.ศ. 2541 รัฐบาลไทยในสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ออกประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตอุทยานแห่งชาติพระวิหาร ซึ่งครอบคลุมพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและพื้นที่ข้างเคียงราว 4,000 ไร่ ซึ่งแสดงว่ารัฐบาลนั้นรู้ดีว่าพื้นที่นี้อยู่ในเขตแดนไทยตามที่เคยปักปันกันไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5
แต่จู่ๆ ในปี 2543 รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ก็ได้แอบไปทำ MOU 2543 กับเขมร ยกเลิกการปักปันเขตแดนที่เคยจัดทำและใช้บังคับมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นั้นเสีย และให้ปักปันเขตแดนกันใหม่ โดยในการปักปันใหม่นี้ให้ใช้แผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ของเขมร ซึ่งคณะกรรมาธิการฝ่ายฝรั่งเศสจัดทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียวและฝ่ายไทยไม่ยอมรับ เพราะไม่ตรงกับพื้นที่จริงตามที่มีการปักปัน
ตามแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ดังกล่าว ทำให้ไทยเสียดินแดน 3 พื้นที่แก่เขมรคือ พื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร หรือราว 4,000 ไร่ พื้นที่ตลอดชายแดนไทย-เขมร 7 จังหวัด ประมาณ 1.8 ล้านไร่ และพื้นที่ในอ่าวไทยอีกประมาณ 17 ล้านไร่
ถึงวันนี้ขบวนขายชาติดังกล่าวไม่ยอมปริปากพูดแม้แต่สักคำเดียวว่าผีสางปีศาจใดดลใจให้ขายชาติ บังอาจเลิกล้มการปักปันเขตแดนในสมัยรัชกาลที่ 5 และให้ปักปันเขตแดนกันใหม่แบบนี้
MOU 2543 เป็น MOU เถื่อน เพราะไม่ได้ขออนุมัติต่อรัฐสภา แต่พวกอัปรีย์และจัญไรทั้งหลายก็สมคบกันใช้ MOU ฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการขายชาติ ไม่ยอมประกาศความเป็นโมฆกรรมของ MOU 2543 นี้ ทั้งๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วางบรรทัดฐานว่าเป็นโมฆะมาแล้วในคดีที่นายนพดล ปัทมะ ไปทำความตกลงลักษณะเดียวกันกับเขมร
ผลจาก MOU 2543 เถื่อนฉบับนี้แหละจึงทำให้เขมรได้ทีรุกรานรุกล้ำดินแดนไทยไม่ยอมหยุด กระทั่งนำคดีขึ้นฟ้องต่อศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง
ประเด็นที่สาม ในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกตัดสินในปี 2505 นั้น ได้ตัดสินให้ดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของเขมรหรือไม่?
ในคดีดังกล่าว เขมรยื่นคำฟ้องเป็นสองครั้ง ครั้งแรกยื่นฟ้องเอาตัวปราสาทพระวิหารว่าเป็นของเขมร รัฐบาลไทยตั้งท่านอาจารย์เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าคณะทนายฝ่ายไทยเข้าต่อสู้คดี
ระหว่างการดำเนินคดี เขมรได้ยื่นคำฟ้องเป็นครั้งที่สองในรูปแบบยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำฟ้อง โดยอ้างว่าดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรตามแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ขอให้ศาลโลกตัดสินให้เป็นของเขมรด้วย
หัวหน้าคณะทนายฝ่ายไทยเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ว่าสมควรยินยอมให้เขมรเพิ่มเติมฟ้องได้ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ท่านเจ้าคุณพระยาอรรถการีนิพนธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี
ท่านเจ้าคุณได้มีคณะทำงานสำคัญคือศาสตราจารย์กำธร พันธุลาภ เนติบัณฑิตอังกฤษ และนายบุศย์ ขันธวิทย์ เนติบัณฑิตไทย ศึกษาและสรุปความเห็นเสนอต่อรัฐมนตรี
นายบุศย์ ขันธวิทย์ ให้ความเห็นแก่ท่านเจ้าคุณว่า ไม่มีประเพณีโจทก์ใดๆ ที่จะเพิ่มเติมคำฟ้องเพื่อให้ตนเองเสียเปรียบ เพียงเหตุผลนี้ก็ยินยอมให้เขมรเพิ่มเติมฟ้องไม่ได้
คณะทำงานเสนอความเห็นต่อท่านเจ้าคุณพระยาอรรถการีนิพนธ์แล้ว นำเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามเสนอ จึงสั่งการให้คณะทนายความไทยคัดค้านการเพิ่มเติมคำฟ้องของเขมร
คณะทนายความไทยคัดค้านการเพิ่มเติมคำฟ้องของเขมรเป็นสองประการคือ หนึ่ง ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกให้ตัดสินอธิปไตยของประเทศไทย และสอง คัดค้านไม่ยินยอมให้เขมรเพิ่มเติมคำฟ้อง
ศาลโลกจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอเพิ่มเติมคำฟ้องของเขมรในส่วนที่จะเรียกเอาดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรจากประเทศไทย คดีจึงพิพาทกันเฉพาะตัวปราสาทพระวิหาร และในที่สุดศาลก็ตัดสินเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารว่าเป็นอธิปไตยของเขมร
ศาลโลกไม่มีอำนาจและมิได้ตัดสินในเรื่องดินแดนซึ่งเป็นเรื่องฟ้องนอกประเด็นแต่ประการใด ดังนั้นใครอ้างหรือพูดว่าศาลโลกตัดสินให้ดินแดนรอบปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรจึงเป็นพวกขายชาติ
หลังจากไทยแพ้คดีตัวปราสาทพระวิหาร รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เห็นว่าศาลลำเอียง เป็นศาลการเมือง ไม่ดำรงความยุติธรรม จึงถอนตัวจากการเป็นภาคีและตั้งแต่บัดนั้นประเทศไทยก็ไม่อยู่ในอำนาจศาลโลกอีกต่อไป
ประเด็นที่สี่ ใครขายชาติเอาประเทศไทยไปซุกฝ่าตีนศาลลำเอียงครั้งใหม่?
หลังการปะทะกันที่ชายแดน เขมรได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง อย่างเดียวกับที่เคยขอเพิ่มเติมคำฟ้องที่ศาลโลกเคยยกฟ้องไปแล้วว่าดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของเขมร ซึ่งเป็นการฟ้องคดีเรื่องใหม่ แต่ตั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าศาลโลกเคยตัดสินให้ดินแดนรอบพระวิหารเป็นของเขมร
ประเทศไทยไม่ใช่ภาคีของศาลโลก และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งศาลโลกก็ไม่มีอำนาจใดๆ แต่พวกขายชาติได้สมคบกันหลอกลวงคนไทยว่าเป็นแค่การชี้แจงต่อคำขอของเขมรเพื่อตีความคำตัดสินปี 2505 และอ้างว่าไปชี้แจงดีกว่านั่งเฉยๆ ให้เขมรพูดฝ่ายเดียว
แท้จริงคือการเอาประเทศไทยเข้าไปซุกใต้อุ้งตีนของศาลโลกโดยไม่ขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ จากนั้นก็มีการซูเอี๋ยกันล้มคดี ไม่นำพยานเข้าแสดง และไม่ชี้แจงในการที่ศาลออกมาเผชิญสืบรอบปราสาทพระวิหารทั้งสองครั้ง
คงมีแต่การแถลงการณ์ด้วยวาจา ซึ่งเป็นเพียงการแสดงโวหารและความเห็นที่ไม่เป็นแก่นสารดังที่โฆษณากันอยู่ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น
ดังนั้นหากประเทศไทยจะต้องเสียดินแดนให้แก่เขมรตามแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 แล้ว ก็ขอให้คนไทยทั้งประเทศได้รับรู้ร่วมกันว่าเป็นการเสียดินแดนเพราะพวกอัปรีย์จัญไรสุมหัวกันขายชาติ เพื่อเอาประโยชน์ไปแบ่งปันกัน
ก็ได้แต่หวังว่าแผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชมีจริง การช่วงชิงต่อสู้กันระหว่างมหาอำนาจจะก่อให้เกิดความพลิกผันในทางที่ไทยอาจจะไม่เสียดินแดน แต่อาจต้องเสียผลประโยชน์แห่งชาติจากทรัพยากรพลังงานก็เป็นได้ ดังนั้นพวกมหาโจรทั้งหลายอย่าได้ฮึกเหิมลำพองเกินไปนัก!
แม้กระนั้นทรัพยากรเหล่านี้ก็ควรเป็นผลประโยชน์ของประชาชาติไทย ไม่ใช่ผลประโยชน์ที่จะให้ใครเอาไปแบ่งปันกันเอง ไม่ว่าระหว่างนักการเมืองหรือโจรสลัดชาติไหนก็ตาม!