ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เมื่อนายกรัฐมนตรีกัมพูชาฮุนเซน ออกแถลงทางโทรทัศน์ตอนค่ำวันที่ 11 พ.ย.2556 แสดงความพึงพอใจต่อการตีความของศาลระหว่างประเทศในกรุงเฮกนั้น หลายคนไม่ได้ฟังลึกลงไปในรายละเอียด จึงขาดประเด็นสำคัญยิ่งยวดไป แต่บทปราศรัยอย่างเป็นทางที่สำนักข่าวของรัฐบาลนำออกเผยแพร่ในวันพุธ 14 พ.ย.นี้ ได้แสดงให้เห็นการมองที่แตกต่างอย่างไม่สามารถจะลงรอยกันได้ระหว่างคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายไทย-กัมพูชา
การมองต่างนี้เป็นเสมือนสัญญาณเตือนฝ่ายไทยว่า ถึงแม้ศาลโลกจะตีความทำให้ “พื้นที่บนหลังเขา” (Promontory) เป็นเขตปริมณฑลของปราสาทพระวิหารอย่างชัดเจนแล้วก็ตาม แต่ปัญหาเส้นเขตแดนด้านเหนือที่อยู่นอกเขตปริมณฑล กับอาณาบริเวณรอบๆ ทั้งหมดที่เป็นปัญหาหลายทศวรรษที่ผ่านมาก็ยังเป็นปัญหาอยู่ต่อไป
เรื่องที่ผู้นำกัมพูชาเชื่อ และเข้าใจนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิงกับความเข้าใจ และความเชื่อของเอกอัครราชทูตไทย ผู้นำทีมกฎหมายต่อสู้กับกัมพูชาในศาลโลกตลอดเวลากว่า 2 ปีมานี้
แผนที่มาตรส่วน 1:200,000 ฉบับเดียวกันนี้ที่เป็นหลักฐานสำคัญที่กัมพูชาใช้อ้างในศาลระหว่างประเทศ และทำให้ไทยสูญเสียพื้นที่หลังสันปันน้ำในบริเวณนี้ในการพิพากษาครั้งวันที่ 15 มิถุนายน 2505 และกัมพูชาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการข่มไทยมาตลอดเวลาหลายทศวรรษ
เนื้อหาในบทปราศรัยอย่างเป็นทางการของฮุนเซน เป็นการยืนยันว่า แผนที่อัปยศมาตรส่วน 1 ต่อ 2 แสน ยังไม่ได้ “ถูกทำลายไป” ตามที่นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก หัวหน้าทีมกฎหมายของฝ่ายไทยเข้าใจ และระบุในรายงานต่อรัฐสภาในวันพุธนี้เช่นกัน
“นี่เป็นอีกก้าวหนึ่งที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในความพยายามโดยรัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาอย่างสันติบนพื้นฐานกฎหมายระหว่างประเทศต่อความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับไทยเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารกับปริมณฑล และเป็นกรณีพิเศษก็คือ การที่ศาลยุติธรรมได้ใช้แผนที่ผนวก 1 มาตราส่วน 1/200,000 เป็นหลักฐานในการตีความนั้น ได้ให้แนวทางอันชัดเจนแก่ฝ่ายต่างๆ ในการดำเนินการตาม” (โปรดดูเนื้อหาคำแถลงภาษาอังกฤษช่วงขีดเส้นใต้สีแดง)
ฮุนเซน ยังกล่าวอีกว่า ด้วยพื้นฐานอันนี้รัฐบาลกัมพูชาจึงยืนยันอีกครั้งหนึ่งในพันธกรณีที่ได้ตกลงกันไว้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ที่ไม่ว่าศาลโลกจะพิจารณาออกมาอย่างไรก็ตาม 2 ประเทศจะปฏิบัติตามคำตัดสิน และผดุงรักษามิตรภาพระหว่าง 2 ประเทศ และประชาชน 2 ฝ่าย เช่นเดียวกันกับการผดุงสันติภาพ และเสถียรภาพตลอดชายแดนด้วย “ทุกวิถีทาง”
ฮุนเซน เคยแถลงทางโทรทัศน์มาครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 7 พ.ย.2556 เรื่องการตกลงกับ นรม.ของไทยและชาญฉลาดที่หยิบยกเอาการผลการตีความของศาลโลกในวันนี้ไปแปรความหมายให้ตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบในสถานการณ์
การตีความของผู้นำกัมพูชาต่อผลการตีความของศาลโลก จึงต่างกันแบบหน้ามือเป็นหลังมือกับความเข้าใจของเอกออัครราชทูตวีรชัย ซึ่งเป็นแหล่งเดียวในปัจจุบันที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เชื่อถือ และยึดถือ
.
สำนักข่าวกัมพูชานำเอกสารคำปราศรัยทางโทรทัศน์ของนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ตอนค่ำวันจันทร์ที่ 11 พ.ย.2556 ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ (อย่างไม่เป็นทางการ) ออกเผยแพร่ แต่ถึงกระนั้น สาระสำคัญก็ไม่น่ามีอะไรผิดพลาด เอกสารจำนวน 3 หน้านำขึ้นโพสต์ในเว็บไซต์เป็นไฟล์รูปภาพขนาดใหญ่ทำให้ต้องตัดซอยออกเป็น 5 ไฟล์ เมื่ออ่านติดต่อกันตามลำดับก็จะเป็นเนื้อหาทั้งหมดของคำปราศรัย. |
.
การกอดแผนที่ 1/200,000 แบบไม่ปล่อยของฝ่ายกัมพูชา ย่อมสามารถอธิบายได้ไม่ยาก หากย้อนหลังไปในวันแรกที่สำนักข่าวของรัฐบาลออกแถลงว่า รัฐบาลพึงพอใจต่อคำตัดสินของศาลสูงสุดแห่งองค์การสหประชาชาติที่ให้กัมพูชามีอธิปไตย “เหนือพื้นที่ทั้งหมดของพระวิหาร”
เมื่อได้อ่านครั้งแรกหลายฝ่ายอาจจะมองว่า สำนักข่าวแห่งนี้ตีความผิด หรือเข้าใจผิดๆ แต่บทปราศรัยของฮุนเซนที่เผยแพร่ให้เห็นชัดๆ ครั้งแรกในวันพุธนี้ช่วยยืนยันในข่าวที่สำนักข่าวกัมพูชารายงาน
แผนที่ 1/200,000 จึงเป็นปัญหาคาอกของไทยต่อไป ไม่ได้ “ตาย” อย่างที่คณะฝ่ายกฎหมายของไทยที่ต่อสู้ในศาลโลกพูดถึง.. และยังเป็นสิ่งผูกติดกับปัญหาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบๆ ปราสาทพระวิหาร กับปัญหาเส้นเขตแดนทั่วทั้งบริเวณ “เทือกเขาพนมดงรัก” เช่นที่เป็นตลอด 50 ปีมานี้
หรือคราวหน้าไทยอาจจะต้องเป็นฝ่ายร้องขอให้ศาลโลกช่วยตีความในประเด็นแผนที่ฉบับนี้บ้าง?
แต่สำหรับวันนี้ นายกรัฐมนตรีของไทย กำลังคิดอะไร และจะดำเนินการต่อไปอย่างไร? ไม่มีผู้ใดทราบ ไม่มีใครตอบได้
เรื่องหนึ่งที่บอกได้ก็คือ ปัญหานี้ใหญ่โตเกินไปสำหรับผู้ที่ไม่แตกฉานในภาษาอังกฤษ พูดผิดๆ ถูกๆ ไม่มีภูมิความรู้อย่างเพียงพอทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์ปัจจุบัน ขาดทักษะในการเจรจาต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศ ขาดจิตวำนึกในการปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติ ขาดจิตใจที่จะต่้อสู้อย่างสุจริต
และจะเป็นสิ่งเลวร้ายอย่างที่สุดสำหรับประเทศ และประชาชนชาวไทย ถ้าหากผู้มีอำนาจที่แท้จริงฉวยใช้สถานการณ์เช่นนี้ทำการยื่นหมูยื่นแมว รวบรัดตามที่แก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ทั้งนี้.. เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจมหาศาลของตน ของครอบครัว เพื่อนพ้อง หมู่คณะ ตามที่หลายฝ่ายตั้งเป็นข้อสงสัย.