วานนี้(21 ต.ค.56) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเปิดตัวโครงการ “วาระประชาชนภาค 2” "การทุจริตในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปล้นเงินคนไทยทั้งปี 2.35 แสนล้าน"ว่า จะขอแถลงเกี่ยวกับการรณรงค์แล้วก็การทำงานของพรรคฯ ที่จะนำไปสู่การจัดทำวาระประชาชนภาค 2 หรือวาระประชาชน 2.0
โดยที่ได้เลือกช่วงจังหวะเวลานี้ ก็คือเห็นว่าขณะนี้รัฐบาลได้ทำงานมาครบ 2 ปี คือพูดง่ายๆ ก็คือครึ่งทางของสภาชุดนี้ แล้วก็การทำงานที่ครบ 2 ปีขณะนี้เราก็พบความจริงว่า ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองรุมเร้าประเทศ แล้วก็คนไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ แล้วก็ปัญหาของบ้านเมืองที่มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงมาจากการที่รัฐบาลจัดลำดับความสำคัญผิด เห็นแก่ประโยชน์ของตนเองของพวกพ้อง ก่อนประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่พรรคฯ จะดำเนินการในช่วง 2 เดือนข้างหน้า คือการรณรงค์ให้พี่น้องประชาชนได้มีส่วนร่วม ได้สะท้อนแล้วก็ได้เห็นว่าทิศทางที่รัฐบาลกำลังบริหารประเทศ และจัดลำดับความสำคัญอย่างนี้ผิด และมีปัญหาใดบ้างที่เป็นปัญหารุนแรง ที่จำเป็นจะต้องมีการร่วมกันคิด ร่วมกันแก้ไขต่อไป เพื่อให้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าของประเทศ แล้วก็การดำเนินการในครั้งนี้ เนื่องจากเราทราบดีว่าช่องทางการสื่อสารของฝ่ายค้าน แล้วก็ภาคประชาชนจำนวนมากอาจจะมีจำกัดในช่องทางสื่อหลัก ก็จะเน้นการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือทางเครือข่ายทางสังคมออนไลน์ด้วย โดยสัปดาห์นี้อยากจะเริ่มต้นที่ประเด็นนี้ครับ
ประเด็นว่าขณะนี้เศรษฐกิจของเรานั้นมีปัญหามาก ตัวเลขเศรษฐกิจทางการก็บ่งบอกว่าการขยายตัวของ GDP ติดลบ 2 ไตรมาสซ้อน ซึ่งทางเทคนิคนั้นถือว่าเป็นภาวะที่ถดถอย สิ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปก็คือว่า ประเทศไทย และเศรษฐกิจไทยนั้น ไม่เคยมีอัตราการขยายตัวที่ติดลบในช่วงภาวะที่ไม่มีวิกฤติ ถ้าเป็นกรณีต้มยำกุ้ง ถ้าเป็นกรณีวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ถ้าเป็นกรณีวิกฤติน้ำท่วม เราเคยเจอกับภาวะอย่างนี้ แต่ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจของโลกซึ่งไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แล้วก็ภาวะภายในประเทศที่ก็ไม่ได้มีวิกฤติภัยพิบัติใดๆ เราไม่เคยประสบกับปัญหานี้มาก่อน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตัวเลขการติดลบครั้งนี้จึงสะท้อนปัญหาการบริหารจัดการของภาครัฐ เพราะเครื่องยนต์ที่สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจทุกตัวนั้น ขณะนี้ไม่ทำงาน ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการบริหารจัดการของรัฐบาลมีมากครับ แต่ที่จะขอเริ่มต้นวันนี้ก็คือว่า สาเหตุสำคัญของปัญหาเศรษฐกิจ แล้วก็ความล้มเหลวในเรื่องการบริหารเศรษฐกิจที่เศรษฐกิจถดถอย ที่เศรษฐกิจไทยเริ่มแข่งขันไม่ได้ มาจากเรื่องของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น
1. เราจะเห็นครับว่า รัฐบาลมุ่งทำนโยบายทำโครงการซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อคนบางกลุ่ม และสุ่มเสี่ยงต่อภาวะการทุจริต คอร์รัปชั่น ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ในขณะที่มีทางเลือกที่จะช่วยชาวนามากมาย ก็เลือกวิธีการจำนำข้าว ที่ ปปช. เตือนมาตั้งแต่ต้นว่าจะนำไปสู่การทุจริต แล้วก็ที่ล่าสุด ฝ่ายต่างๆ ก็ออกมาวิเคราะห์ว่าทำให้เราสูญเสียเงินไปนับแสนล้าน ไม่นับว่าวิธีนี้ไม่ทำให้ข้าวไทยนั้น ไม่สามารถแข่งขันได้
2. รัฐบาลนี้พยายามหลีกเลี่ยงกระบวนการการตรวจสอบ และการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นไปตามระเบียบอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้าน แทนที่จะทำงบลงทุนตามปกติ หรือไม่ว่าจะใช้วิธีพิเศษในการหาคนมาทำงานในโครงการบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศ
“จุดนี้แหละครับที่มีตัวสะท้อนความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากคอร์รัปชั่น และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรง ที่ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าได้มีการจัดทำสำรวจว่าปัจจุบันนั้น การทุจริตคอร์รัปชั่นนี้ ความรุนแรงอยู่ที่ระดับไหน แล้วก็สรุปออกมาว่าตัวเลขของการที่ต้องจ่ายสินบน หรือที่มีการรั่วไหลในแต่ละโครงการ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ คือประมาณร้อยละ 30 ร้อยละ 40 เมื่อมาคำนึงถึงจำนวนเงินที่เป็นงบลงทุนของรัฐบาล ของรัฐวิสาหกิจต่างๆ หรือองค์กรของรัฐนั้น ก็หมายความว่า แต่ละปีเราสูญเสียเงินไปจากการทุจริต คอร์รัปชั่น 2 แสน 3 หมื่น 5 พันล้านบาทต่อปี”หัวหน้าประชาธิปัตย์กล่าวและว่าในภาวะที่พี่น้องประชาชนเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจต้องจ่ายค่าแก๊สเพิ่ม ต้องจ่ายค่าข้าวแกงเพิ่ม ต้องซื้อน้ำมันแพง ต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น เรากลับโยนเงินทิ้งไป 2 แสน 3 หมื่น 5 พันล้าน ซึ่งเงินมหาศาลนี้จะสามารถช่วยทุกครัวเรือนของประเทศไทย ให้สามารถที่จะลดค่าใช้จ่ายของตัวเองได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ถ้ายังไม่แน่ใจว่า เงิน 2 แสน 3 หมื่น 5 พันล้าน ทำอะไรได้บ้าง ผมขอยกเป็นตัวอย่าง เช่นโครงการรถไฟฟ้า 4 สาย 1. คือส่วนต่อขยายของ BTS ทั้งหมด บวกกับสายสีน้ำเงิน ท่าพระ – บางแค สายสีชมพู แคราย – มีนบุรี แล้วก็สายสีม่วง บางใหญ่ - บางซื่อ 4 สายนี้ใช้เงินน้อยกว่า 2 แสน 3 หมื่น 5 พันล้าน พูดง่ายๆ คอร์รัปชั่น 1 ปี ทำให้เราเสียโอกาสรถไฟฟ้า 4 สาย ถ้าดูเป็นถนนนะครับ เอาถนนไร้ฝุ่นทั่วประเทศ สร้างได้อีกเป็นแสนกิโล ถ้าจะเอาเงินอันนี้ไปจ้างครู เพื่อปรับปรุงระบบโรงเรียน เราจ้างครูได้เพิ่ม 1 ล้านคน ถ้าเราจะเอาเงินก้อนนี้ไปสร้างอาคารมาตรฐานในโรงพยาบาล เราจะสร้างได้อีก 2,000 แห่ง นี่คือความสูญเสียที่กำลังเกิดขึ้นจากปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่น ซึ่งเกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และเป็นการสูญเสียโอกาสของเศรษฐกิจของประเทศ และของประชาชน
ถ้าเรายังไม่ตื่นตัวกันเรื่องนี้ ถ้าเรายังไม่พยายามต่อต้านหยุดยั้งการคอร์รัปชั่น ที่จะกู้เงินอีก 2.2 ล้านล้านบาท ที่จะทำให้คนไทยเป็นหนี้อีก 50 ปี จะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่ จะเป็นเงินมากมายมหาศาล แล้วก็จะทำให้ฐานะของประเทศไทยที่จะแข่งขัน ที่จะเติบโต ที่จะสร้างความเจริญนี้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
วันนี้สิ่งที่ผมพูด ไม่ได้เป็นสิ่งที่พรรคฝ่ายค้าน หรือสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์พูดฝ่ายเดียว 2 – 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีทั้งนักวิชาการ สถาบัน องค์กรต่างๆ ก็มาตอกย้ำเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าเราจำเป็นที่จะต้องช่วยกันรณรงค์ครับ ว่าประเด็นของการทุจริต คอร์รัปชั่นนั้นเป็นประเด็นที่สังคมต้องให้ความสำคัญสูงสุดในขณะนี้ในการแก้ไข
เพราะฉะนั้นเราก็จะจัดทำกิจกรรมเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้เกิดความตื่นตัวในเรื่องนี้ เรื่องแรกที่เราอยากจะเชิญชวนก็คือ อยากให้พี่น้องประชาชนนั้นแสดงความคิดเห็นเข้ามาครับว่า ถ้าประเทศเรามีเงินอีกปีละ 2 แสน 3 หมื่น 5 พันล้านนี้ พี่น้องประชาชนอยากจะได้อะไร ถ้าเราไม่ต้องสูญเสียเงินมากมายมหาศาลอย่างนี้ แต่ละครอบครัวอาจจะมีเงินใช้เพิ่มขึ้นปีละเป็นหลักหมื่น เขาอยากจะได้อะไร โดยสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นผ่านทาง เฟสบุ๊ก แฟนเพจของพรรคประชาธิปัตย์ และเราก็จะรวบรวมความเห็นนี้แล้วมาสรุปอีกครั้งหนึ่ง โดยจะเริ่มเปิดตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 28 ตุลาคม
จากนั้นผมก็จะมีการไปรณรงค์ แล้วก็ชี้ให้เห็นถึงตัวอย่างความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการคอร์รัปชั่น แล้วก็สุดท้ายก็จะนำไปสู่การนำเสนอนโยบายในวาระประชาชน 2.0 ว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างในเรื่องของการทุจริต คอร์รัปชั่น ในสัปดาห์อื่นๆ ก็จะมีประเด็นอื่นๆ ต่อไปที่จะชี้ให้เห็นว่า ทางเลือกของประเทศวันนี้มีอะไร ผมย้ำอีกครั้งนะครับ
“จากนี้ไปอีกประมาณ 2 เดือน เราจะชี้ให้เห็นประเด็นปัญหาใหญ่ๆ ของประเทศ แล้วก็นำไปสู่การเสนอทางออก และเรียกร้องว่าถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทบทวนวิธีการบริหารจัดการทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องของการเมืองทันที วันนี้ก็ขอเริ่มต้นด้วยประเด็นการทุจริต คอร์รัปชั่น แล้วก็ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมกับเราในการรณรงค์แล้วก็ต่อต้านเรื่องนี้ต่อไป”นายอภิสิทธิ์กล่าวในที่สุด
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงตอบโต้กรณีที่นายอภิสิทธิ์พร้อมทั้งปฎิเสธว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเกิดการรั่วไหลของเงินหรือไม่ เป็นเพียงการนำผลสำรวจดัชนีสถานการณ์คอรัปชั่นไทย เดือนมิถุนายนปี 2556 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาลัยหอการค้าไทย มาโจมตีรัฐบาล และยังกล่าวหาว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้แก่คนบางกลุ่มโดยเฉพาะเรื่องจำนำข้าว
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ กำลังใช้ตัวเลขมากล่าวหาและโจมตีรัฐบาลทุกโครงการ ๆซึ่งเป็นการค้านอย่างหน้าไม่อายและยังขึ้นป้ายว่ามีการทุจริตทั้งที่ลอกการบ้านของคนอื่นมาโดยเป็นข้อมูลที่จินตนาการยังไม่มีการตรวจสอบตัวเลขที่ถูกต้อง ดังนั้นขอท้าให้นายอภิสิทธิ์ และพรรค ปชป.นำตัวเลขการทุจริตดังกล่าวยื่นฟ้องต่อองค์กรอิสระเพื่อดำเนินการกับรัฐบาลได้ หากมั่นใจในข้อมูลข้อเท็จจริง แต่มองว่าการแถลงของ ปชป.เป็นการยกเมฆข้อมูล
ทั้งนี้ ได้หยิบยกโครงการในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่มีการคอรัปชั่น โดยขอให้ไปย้อนดูผลงานโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล ปชป.ที่มีการทุจริตอย่างกว้างขวางจำนวน 230 โครงการ วงเงินอนุมัติ 199,960 ล้านบาท มีการประเมินว่า ในจำนวนนี้เป็นค่าหัวคิวถึง 20-25% หรือประมาณ 39,999 -49,990 ล้านบาท
โดยที่ได้เลือกช่วงจังหวะเวลานี้ ก็คือเห็นว่าขณะนี้รัฐบาลได้ทำงานมาครบ 2 ปี คือพูดง่ายๆ ก็คือครึ่งทางของสภาชุดนี้ แล้วก็การทำงานที่ครบ 2 ปีขณะนี้เราก็พบความจริงว่า ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองรุมเร้าประเทศ แล้วก็คนไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ แล้วก็ปัญหาของบ้านเมืองที่มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงมาจากการที่รัฐบาลจัดลำดับความสำคัญผิด เห็นแก่ประโยชน์ของตนเองของพวกพ้อง ก่อนประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่พรรคฯ จะดำเนินการในช่วง 2 เดือนข้างหน้า คือการรณรงค์ให้พี่น้องประชาชนได้มีส่วนร่วม ได้สะท้อนแล้วก็ได้เห็นว่าทิศทางที่รัฐบาลกำลังบริหารประเทศ และจัดลำดับความสำคัญอย่างนี้ผิด และมีปัญหาใดบ้างที่เป็นปัญหารุนแรง ที่จำเป็นจะต้องมีการร่วมกันคิด ร่วมกันแก้ไขต่อไป เพื่อให้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าของประเทศ แล้วก็การดำเนินการในครั้งนี้ เนื่องจากเราทราบดีว่าช่องทางการสื่อสารของฝ่ายค้าน แล้วก็ภาคประชาชนจำนวนมากอาจจะมีจำกัดในช่องทางสื่อหลัก ก็จะเน้นการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือทางเครือข่ายทางสังคมออนไลน์ด้วย โดยสัปดาห์นี้อยากจะเริ่มต้นที่ประเด็นนี้ครับ
ประเด็นว่าขณะนี้เศรษฐกิจของเรานั้นมีปัญหามาก ตัวเลขเศรษฐกิจทางการก็บ่งบอกว่าการขยายตัวของ GDP ติดลบ 2 ไตรมาสซ้อน ซึ่งทางเทคนิคนั้นถือว่าเป็นภาวะที่ถดถอย สิ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปก็คือว่า ประเทศไทย และเศรษฐกิจไทยนั้น ไม่เคยมีอัตราการขยายตัวที่ติดลบในช่วงภาวะที่ไม่มีวิกฤติ ถ้าเป็นกรณีต้มยำกุ้ง ถ้าเป็นกรณีวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ถ้าเป็นกรณีวิกฤติน้ำท่วม เราเคยเจอกับภาวะอย่างนี้ แต่ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจของโลกซึ่งไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แล้วก็ภาวะภายในประเทศที่ก็ไม่ได้มีวิกฤติภัยพิบัติใดๆ เราไม่เคยประสบกับปัญหานี้มาก่อน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตัวเลขการติดลบครั้งนี้จึงสะท้อนปัญหาการบริหารจัดการของภาครัฐ เพราะเครื่องยนต์ที่สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจทุกตัวนั้น ขณะนี้ไม่ทำงาน ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการบริหารจัดการของรัฐบาลมีมากครับ แต่ที่จะขอเริ่มต้นวันนี้ก็คือว่า สาเหตุสำคัญของปัญหาเศรษฐกิจ แล้วก็ความล้มเหลวในเรื่องการบริหารเศรษฐกิจที่เศรษฐกิจถดถอย ที่เศรษฐกิจไทยเริ่มแข่งขันไม่ได้ มาจากเรื่องของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น
1. เราจะเห็นครับว่า รัฐบาลมุ่งทำนโยบายทำโครงการซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อคนบางกลุ่ม และสุ่มเสี่ยงต่อภาวะการทุจริต คอร์รัปชั่น ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ในขณะที่มีทางเลือกที่จะช่วยชาวนามากมาย ก็เลือกวิธีการจำนำข้าว ที่ ปปช. เตือนมาตั้งแต่ต้นว่าจะนำไปสู่การทุจริต แล้วก็ที่ล่าสุด ฝ่ายต่างๆ ก็ออกมาวิเคราะห์ว่าทำให้เราสูญเสียเงินไปนับแสนล้าน ไม่นับว่าวิธีนี้ไม่ทำให้ข้าวไทยนั้น ไม่สามารถแข่งขันได้
2. รัฐบาลนี้พยายามหลีกเลี่ยงกระบวนการการตรวจสอบ และการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นไปตามระเบียบอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้าน แทนที่จะทำงบลงทุนตามปกติ หรือไม่ว่าจะใช้วิธีพิเศษในการหาคนมาทำงานในโครงการบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศ
“จุดนี้แหละครับที่มีตัวสะท้อนความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากคอร์รัปชั่น และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรง ที่ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าได้มีการจัดทำสำรวจว่าปัจจุบันนั้น การทุจริตคอร์รัปชั่นนี้ ความรุนแรงอยู่ที่ระดับไหน แล้วก็สรุปออกมาว่าตัวเลขของการที่ต้องจ่ายสินบน หรือที่มีการรั่วไหลในแต่ละโครงการ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ คือประมาณร้อยละ 30 ร้อยละ 40 เมื่อมาคำนึงถึงจำนวนเงินที่เป็นงบลงทุนของรัฐบาล ของรัฐวิสาหกิจต่างๆ หรือองค์กรของรัฐนั้น ก็หมายความว่า แต่ละปีเราสูญเสียเงินไปจากการทุจริต คอร์รัปชั่น 2 แสน 3 หมื่น 5 พันล้านบาทต่อปี”หัวหน้าประชาธิปัตย์กล่าวและว่าในภาวะที่พี่น้องประชาชนเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจต้องจ่ายค่าแก๊สเพิ่ม ต้องจ่ายค่าข้าวแกงเพิ่ม ต้องซื้อน้ำมันแพง ต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น เรากลับโยนเงินทิ้งไป 2 แสน 3 หมื่น 5 พันล้าน ซึ่งเงินมหาศาลนี้จะสามารถช่วยทุกครัวเรือนของประเทศไทย ให้สามารถที่จะลดค่าใช้จ่ายของตัวเองได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ถ้ายังไม่แน่ใจว่า เงิน 2 แสน 3 หมื่น 5 พันล้าน ทำอะไรได้บ้าง ผมขอยกเป็นตัวอย่าง เช่นโครงการรถไฟฟ้า 4 สาย 1. คือส่วนต่อขยายของ BTS ทั้งหมด บวกกับสายสีน้ำเงิน ท่าพระ – บางแค สายสีชมพู แคราย – มีนบุรี แล้วก็สายสีม่วง บางใหญ่ - บางซื่อ 4 สายนี้ใช้เงินน้อยกว่า 2 แสน 3 หมื่น 5 พันล้าน พูดง่ายๆ คอร์รัปชั่น 1 ปี ทำให้เราเสียโอกาสรถไฟฟ้า 4 สาย ถ้าดูเป็นถนนนะครับ เอาถนนไร้ฝุ่นทั่วประเทศ สร้างได้อีกเป็นแสนกิโล ถ้าจะเอาเงินอันนี้ไปจ้างครู เพื่อปรับปรุงระบบโรงเรียน เราจ้างครูได้เพิ่ม 1 ล้านคน ถ้าเราจะเอาเงินก้อนนี้ไปสร้างอาคารมาตรฐานในโรงพยาบาล เราจะสร้างได้อีก 2,000 แห่ง นี่คือความสูญเสียที่กำลังเกิดขึ้นจากปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่น ซึ่งเกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และเป็นการสูญเสียโอกาสของเศรษฐกิจของประเทศ และของประชาชน
ถ้าเรายังไม่ตื่นตัวกันเรื่องนี้ ถ้าเรายังไม่พยายามต่อต้านหยุดยั้งการคอร์รัปชั่น ที่จะกู้เงินอีก 2.2 ล้านล้านบาท ที่จะทำให้คนไทยเป็นหนี้อีก 50 ปี จะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่ จะเป็นเงินมากมายมหาศาล แล้วก็จะทำให้ฐานะของประเทศไทยที่จะแข่งขัน ที่จะเติบโต ที่จะสร้างความเจริญนี้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
วันนี้สิ่งที่ผมพูด ไม่ได้เป็นสิ่งที่พรรคฝ่ายค้าน หรือสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์พูดฝ่ายเดียว 2 – 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีทั้งนักวิชาการ สถาบัน องค์กรต่างๆ ก็มาตอกย้ำเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าเราจำเป็นที่จะต้องช่วยกันรณรงค์ครับ ว่าประเด็นของการทุจริต คอร์รัปชั่นนั้นเป็นประเด็นที่สังคมต้องให้ความสำคัญสูงสุดในขณะนี้ในการแก้ไข
เพราะฉะนั้นเราก็จะจัดทำกิจกรรมเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้เกิดความตื่นตัวในเรื่องนี้ เรื่องแรกที่เราอยากจะเชิญชวนก็คือ อยากให้พี่น้องประชาชนนั้นแสดงความคิดเห็นเข้ามาครับว่า ถ้าประเทศเรามีเงินอีกปีละ 2 แสน 3 หมื่น 5 พันล้านนี้ พี่น้องประชาชนอยากจะได้อะไร ถ้าเราไม่ต้องสูญเสียเงินมากมายมหาศาลอย่างนี้ แต่ละครอบครัวอาจจะมีเงินใช้เพิ่มขึ้นปีละเป็นหลักหมื่น เขาอยากจะได้อะไร โดยสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นผ่านทาง เฟสบุ๊ก แฟนเพจของพรรคประชาธิปัตย์ และเราก็จะรวบรวมความเห็นนี้แล้วมาสรุปอีกครั้งหนึ่ง โดยจะเริ่มเปิดตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 28 ตุลาคม
จากนั้นผมก็จะมีการไปรณรงค์ แล้วก็ชี้ให้เห็นถึงตัวอย่างความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการคอร์รัปชั่น แล้วก็สุดท้ายก็จะนำไปสู่การนำเสนอนโยบายในวาระประชาชน 2.0 ว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างในเรื่องของการทุจริต คอร์รัปชั่น ในสัปดาห์อื่นๆ ก็จะมีประเด็นอื่นๆ ต่อไปที่จะชี้ให้เห็นว่า ทางเลือกของประเทศวันนี้มีอะไร ผมย้ำอีกครั้งนะครับ
“จากนี้ไปอีกประมาณ 2 เดือน เราจะชี้ให้เห็นประเด็นปัญหาใหญ่ๆ ของประเทศ แล้วก็นำไปสู่การเสนอทางออก และเรียกร้องว่าถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทบทวนวิธีการบริหารจัดการทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องของการเมืองทันที วันนี้ก็ขอเริ่มต้นด้วยประเด็นการทุจริต คอร์รัปชั่น แล้วก็ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมกับเราในการรณรงค์แล้วก็ต่อต้านเรื่องนี้ต่อไป”นายอภิสิทธิ์กล่าวในที่สุด
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงตอบโต้กรณีที่นายอภิสิทธิ์พร้อมทั้งปฎิเสธว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเกิดการรั่วไหลของเงินหรือไม่ เป็นเพียงการนำผลสำรวจดัชนีสถานการณ์คอรัปชั่นไทย เดือนมิถุนายนปี 2556 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาลัยหอการค้าไทย มาโจมตีรัฐบาล และยังกล่าวหาว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้แก่คนบางกลุ่มโดยเฉพาะเรื่องจำนำข้าว
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ กำลังใช้ตัวเลขมากล่าวหาและโจมตีรัฐบาลทุกโครงการ ๆซึ่งเป็นการค้านอย่างหน้าไม่อายและยังขึ้นป้ายว่ามีการทุจริตทั้งที่ลอกการบ้านของคนอื่นมาโดยเป็นข้อมูลที่จินตนาการยังไม่มีการตรวจสอบตัวเลขที่ถูกต้อง ดังนั้นขอท้าให้นายอภิสิทธิ์ และพรรค ปชป.นำตัวเลขการทุจริตดังกล่าวยื่นฟ้องต่อองค์กรอิสระเพื่อดำเนินการกับรัฐบาลได้ หากมั่นใจในข้อมูลข้อเท็จจริง แต่มองว่าการแถลงของ ปชป.เป็นการยกเมฆข้อมูล
ทั้งนี้ ได้หยิบยกโครงการในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่มีการคอรัปชั่น โดยขอให้ไปย้อนดูผลงานโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล ปชป.ที่มีการทุจริตอย่างกว้างขวางจำนวน 230 โครงการ วงเงินอนุมัติ 199,960 ล้านบาท มีการประเมินว่า ในจำนวนนี้เป็นค่าหัวคิวถึง 20-25% หรือประมาณ 39,999 -49,990 ล้านบาท