หน.ปชป.เปิดโครงการวาระประชาชนภาค 2 รณรงค์ชูนโยบายรัฐผิดพลาด ทำเศรษฐกิจมีปัญหา โกงกินหนักถึง 2.35 แสนล้าน พร้อมลงพื้นที่ถามเจ้าทุกข์ อ้างไม่ได้เตรียมรับมือยุบสภา ซัดนิรโทษกรรมปลายทางช่วยคนโกง จ่อนัดแถลงแฉทุกจันทร์ ไม่ตอบ “นิพิฏฐ์” เรียกมวลชนก่อหวอด
วันนี้ (21 ต.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเปิดตัวโครงการ “วาระประชาชนภาค 2” โดยจะมีการรณรงค์ในนโยบายสำคัญ 4-5 ชุด เริ่มจากปัญหาการทุจริตเป็นอันดับแรก เพราะรัฐบาลทำงานครบ 2 ปี ครึ่งทางของสภาชุดนี้ แต่ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง รุมเร้าประเทศและคนไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ บ้านเมืองขัดแย้งรุนแรง ซึ่งมาจากการที่รัฐบาลจัดลำดับความสำคัญผิด เห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องก่อนประชาชนและประเทศชาติ ในช่วง 2 เดือนข้างหน้าพรรคจะรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมสะท้อนให้เห็นว่าทิศทางที่รัฐบาลทำผิด และมีอะไรเป็นปัญหารุนแรงที่จำเป็นต้องร่วมกันคิดแก้ไขเพื่อให้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าของประเทศ และเนื่องจากช่องทางการสื่อสารมีจำกัดในสื่อหลัก จึงจะเน้นการมีส่วนร่วมทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยสัปดาห์นี้เริ่มต้นที่ประเด็นว่า เศรษฐกิจมีปัญหามาก ตัวเลขทางการบ่งบอกว่าการขยายตัวจีดีพีติดลบ 2 ไตรมาสสอง สะท้อนภาวะถดถอย สิ่งที่ถูกมองข้ามคือประเทศไทยไม่เคยมีการขยายตัวติดลบในช่วงที่ไม่มีภาวะวิกฤต แต่ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษและในประเทศไม่มีวิกฤตภัยพิบัติใดๆ เราไม่เคยประสบปัญหานี้มาก่อน
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การที่การขยายตัวเศรษฐกิจติดลบดังกล่าว จึงสะท้อนการบริหารจัดการของภาครัฐที่ล้มเหลว เพราะเครื่องยนต์ที่ช่วยขยายตัวทางเศรษฐกิจทุกตัวไม่ทำงาน โดยสาเหตุสำคัญของปัญหาเศรษฐกิจและความล้มเหลวที่ทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอยมาจากเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยสำรวจถึงความรุนแรงในการทุจริตคอร์รัปชันยุคนี้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ คือ 30-40% เมื่อคำนึงถึงจำนวนเงินลงทุนของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ หมายความว่าแต่ละปีสูญเสียเงินกับการทุจริตคอร์รัปชัน 235,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ประชาชนเดือดร้อนจากปัญหาค่าครองชีพ ทั้งแก๊ส น้ำมัน ข้าวแกง แพง รัฐบาลกลับโยนเงิน 235,000 ล้านทิ้งไปแทนที่จะนำมาช่วยเหลือประชาชน
“ขอเชิญชวนให้ประชาชนแสดงความเห็นว่าถ้าประเทศมีเงิน 235,000 ล้านบาท จากการทุจริตประชาชนอยากให้เอาไปใช้อะไร โดยแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊คของพรรคเริ่มเปิดตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 28 ต.ค.และจะรณรงค์ในพื้นที่เพื่อนำไปสู่วาระประชาชนภาคสองด้วย” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า จากนี้ไปประมาณสองเดือนจะชี้ปัญหาใหญ่ของประเทศและเสนอทางออกเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนเรื่องเศรษฐกิจการเมืองทันที โดยจะมีการลงพื้นที่พบปะกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการทุจริตเช่น โครงการจำนำข้าว และจะดูว่าถ้าได้เงินที่ถูกปล้นไปความเป็นอยู่ของประชาชนจะดีขึ้นอย่างไร รวมถึงการทำงานร่วมกับองค์การต่อต้านการทุจริตคอร์รััปชันเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวจากความซับซ้อนของปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งตนคิดว่าถ้าได้พบกับชาวนาจะบอกว่าสิ่งได้อยู่สามารถได้ต่อไปโดยประเทศไม่ต้องสูญเสียปีละสองล้าน เช่นเดียวกับคนที่น้ำท่วมถ้าไม่มีการทุจริตจะมีเงินมาชดเชยได้อีกเท่าไหร่ แทนที่จะถูกบังคับโดยรัฐบาลว่าให้ประชาชนครึ่งหนึ่งโกงครึ่งหนึ่ง
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ของพรรคไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ เตรียมความพร้อมรับการยุบสภาหรืออุบัติเหตุทางการเมือง เพราะไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ ขณะนี้รัฐบาลทำตรงกันข้ามกับที่เคยบอกไว้ว่าจะให้เศรษฐกิจดี บ้านเมืองสงบ โดยปมการทุจริตเป็นศูนย์กลางความขัดแย้งด้วย เพราะกำลังจะนิรโทษกรรมคนทุจริตซึ่งไม่เคยมีการทำมาก่อนในโลกนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณผิดของรัฐบาลว่าคนทำผิดทุจริตนิรโทษกรรมได้ และเห็นว่าการที่ประธานกรรมาธิการนิรโทษกรรม เลื่อนวันประชุมจากวันที่ 30 ตุลาคม มาเร็วขึ้นเป็นวันที่ 24-25 พ.ย. 56 นั้น จะเป็นปัญหากับ ส.ส.ในการแปรญัตติ แสดงให้เห็นว่าต้องการรวบรัดตรงนี้ ถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะประธานแจ้งชัดเจนว่าในสัปดาห์นี้จะไม่มีการประชุมเพื่อให้ ส.ส.ลงพื้นที่แต่กลับเปลี่ยนแปลงจากที่ตกลงกันไว้ ทั้งนี้เนื่องจากมีปลายทางช่วยคนโกงจึงต้องรอจังหวะเอาคนเสื้อแดงผู้ชุมนุมมาเป็นตัวประกันแล้วสอดไส้เรื่องการทุจริตเข้ามา
“การรณรงค์วาระประชาชนภาคสองจะทำทุกสัปดาห์ โดยผมจะแถลงทุกวันจันทร์ของแต่ละสัปดาห์ และอยากให้ประชาชนได้คำนวณตัวเลขการทุจริตที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้เพิ่มเติมจาก 235,000 ล้านบาทว่า หากกฎหมายนิรโทษกรรมมีผลบังคับใช้ก็จะมีการปล้นชาติเพิ่มขึ้นอีก 5.7 แสนล้านบาท รวม ชาติไทยถูกรัฐบาลชุดนี้ปล้นถึง 292,000 ล้านบาท” นายอภิสิทธิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีนายนิพิฐฏ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง นัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 6-7 พ.ย.นี้ โดยระบุว่าขอให้เกิดความชัดเจนไปทีละเรื่อง