xs
xsm
sm
md
lg

คุณสมบัติของผู้ไกล่เกลี่ย : ธรรม 8 ประการ

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระสารีบุตรว่าเป็นผู้เหมาะสม เป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ย เพราะประกอบด้วยลักษณะ 8 ประการ คือ

1. ฟังคนอื่น 2. ทำให้คนอื่นฟังตน 3. คงแก่เรียน 4. ทรงจำดี 5. รู้คำพูดของคนอื่น 6. ทำให้คนอื่นรู้คำพูดของตน 7. ฉลาดในประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ 8. ไม่ชวนทะเลาะ

เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาสาระของพุทธพจน์ดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านย้อนไปดูที่มาของพุทธพจน์บทนี้ โดยสังเขปดังนี้

พระเทวทัตต์คิดการใหญ่ ด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงหวังจะเป็นผู้ปกครองสงฆ์แทนพระพุทธเจ้า จึงคิดแผนการสร้างภาพให้เห็นว่าตนเองเคร่งครัดว่าพระพุทธเจ้า และเมื่อได้โอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงทูลขอเรื่องนี้ โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุมากแล้ว ขอให้ทรงขวนขวายน้อย และให้ทรงสละภิกษุสงฆ์ให้แก่ตน ตนจะบริหารเอง พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธถึง 3 ครั้ง และในครั้งที่ 3 ทรงกล่าวว่า แม้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ พระองค์ยังไม่ทรงมอบให้ เหตุไฉนจะมอบให้พระเทวทัตต์ พระเทวทัตต์จึงผูกอาฆาต ถือโอกาสทำร้ายพระพุทธเจ้าด้วยวิธีการต่างๆ แต่ไม่สมประสงค์ จึงหาอุบายเพื่อชักชวนภิกษุทั้งหลายเป็นพวก

วันหนึ่งได้ชวนภิกษุทั้งหลายซึ่งเป็นพวกของตน มีพระโกกาลิกะ เป็นต้น คิดเสนอข้อปฏิบัติ 5 ประการเพื่อให้เห็นว่าตนเคร่งครัดดังนี้

1. ให้ภิกษุทั้งหลายอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าบ้านมีโทษ

2. ให้ถือบิณฑบาตตลอดชีวิต รับนิมนต์มีโทษ

3. ให้ถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต รับคฤหบดีจีวร (ถือจีวรที่เขาถวาย) มีโทษ

4. ให้อยู่โคนไม้ตลอดชีวิต เข้าสู่ที่มุงที่บังมีโทษ

5. ห้ามฉันเนื้อตลอดชีวิต ถ้าฉันมีโทษ

พระพุทธองค์ปฏิเสธใน 4 ข้อแรก โดยให้ภิกษุถือปฏิบัติด้วยความสมัครใจ ไม่บังคับ

ส่วนข้อ 5 ทรงอนุญาตเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยเงื่อนไข 3 ประการคือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ฟัง และไม่ได้รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อตน

พระเทวทัตต์ดีใจเที่ยวประกาศทั่วกรุงราชคฤห์ว่า ตนเองเคร่งครัดกว่าพระพุทธเจ้า และมีภิกษุจำนวนหนึ่งเลื่อมใสเข้าเป็นพวก

ครั้นถึงวันอุโบสถ พระเทวทัตต์ได้ชวนภิกษุซึ่งเป็นพวกของตน แยกไปทำอุโบสถต่างหาก ณ ตำบลคยาสีสะ พระพุทธเจ้าทราบเรื่องนี้จึงได้ส่งพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะไปเกลี่ยกล่อมภิกษุเหล่านั้น ในที่สุด พระสารีบุตรได้สั่งสอนให้ภิกษุเหล่านี้กลับใจ และนำกลับมา 500 กว่ารูปมาเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้รับคำสรรเสริญดังกล่าวแล้วข้างต้น

จากที่มาของพุทธพจน์ดังกล่าวข้างต้น นอกจากจะให้ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะทำหน้าที่เจรจาไกล่เกลี่ยแล้ว ยังเป็นอุทาหรณ์ให้รู้ว่าคนที่คิดมักใหญ่ใฝ่สูง วัดรอยเท้ากับผู้ที่มีบารมีมากกว่า สักวันหนึ่งจะแพ้ภัยตัวเอง และได้รับผลกรรม เช่น พระเทวทัตต์ เมื่อคนที่ตนเองหลอกไปเป็นพวกรู้ความจริง ก็จะกลับใจ และทำให้ผู้มักใหญ่ใฝ่สูงต้องโดดเดี่ยว และรับกรรมที่ตนเองก่อขึ้น เฉกเช่นพระเทวทัตต์ถึงกับอาเจียนเป็นเลือด เมื่อภิกษุที่ตนเองหลอกไปเป็นพวกกลับไปหาพระพุทธเจ้า

ในเวลานี้ประเทศไทยสังคมกำลังแตกแยก และต้องการผู้ไกล่เกลี่ยที่มีคุณธรรม 8 ประการที่ว่ามานี้

ดังนั้น ถ้ารัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ประกาศตลอดเวลาว่าจะปรองดอง และได้ตั้งสภาปฏิรูปขึ้นมาโดยมอบให้นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประสานงานทำหน้าที่ไปหาคนโน้น เชิญคนนี้เพื่อมาเป็นสภาปฏิรูป โดยหน้าที่ของผู้ประสานก็ทำนองเดียวกันกับผู้ไกล่เกลี่ย คือต้องเจรจาโน้มน้าวให้คนที่ต้องการไปเชิญมายอมรับเงื่อนไขที่ตนเองต้องการ

ดังนั้น ธรรม 8 ประการดังกล่าวข้างต้น จึงจำเป็นจะต้องมีในผู้ที่ทำหน้าที่ประสานงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 5, 6 และ 7

แต่เท่าที่ได้รับรู้จากข่าวอนุมานได้ว่า ผู้ประสานงานจะขาดธรรมทั้ง 5 ประการดังกล่าวข้างต้น ส่วนที่เหลืออีก 3 ข้อ ก็พออนุมานได้ว่ามี

อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ประสานงานมีธรรมไม่ครบ 8 ประการ เป็นอันพูดได้ว่ายากที่จะทำหน้าที่ผู้ประสานงานได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลเท่าที่ควรจะเป็น

อะไรคือเหตุให้ผู้ประสานงานขาดธรรม 8 ประการที่ว่านี้ และอาจทำให้การประสานล้มเหลว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงผู้คนในสังคมไทยเบื่อความขัดแย้ง และต้องการเห็นผู้คนในประเทศสำนึกดีเพื่อให้ประเทศพัฒนาต่อไปได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้จะต้องไปดูพฤติกรรมทางการเมืองทั้งในส่วนของพรรคเพื่อไทยในฐานะเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และในส่วนของผู้ประสานงานในฐานะเป็นคนของพรรคร่วมรัฐบาล ก็จะมองเห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้การประสานงานล้มเหลวได้ดังต่อไปนี้

1. ในส่วนของพรรคเพื่อไทยในฐานะเป็นแกนนำรัฐบาล เป็นตัวอุปสรรคสำคัญทั้งในส่วนของปัจเจกและองค์กรโดยรวม เพราะพรรคนี้มีการจัดการซับซ้อนเนื่องจากผู้นำรัฐบาลมิได้เป็นหัวหน้าพรรค และหัวหน้าพรรคมิได้มีความเป็นอิสระในการบริหารพรรค ทุกอย่างต้องฟังเสียงจากผู้บงการอยู่ข้างนอกพรรค ทำให้การตัดสินใจเป็นไปตามคนคนเดียว และคนคนเดียวที่ว่านี้ก็มีปัญหาในด้านกฎหมาย ต้องการให้ออกกฎหมายเพื่อล้างผิดให้แก่ตนเอง และต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ตามที่ตนเองต้องการ แต่ความต้องการที่ว่านี้สวนทางกับพรรคฝ่ายค้าน และประชาชนซึ่งต่อต้านการออกกฎหมายในลักษณะนี้

ดังนั้น เมื่อผู้ประสานงานในฐานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็ถูกครอบงำด้วยความต้องการที่ว่านี้ด้วย และเมื่อไปทาบทามฝ่ายตรงกันข้าม เช่น ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีจุดยืนตรงกันข้าม ทั้งในส่วนการออกกฎหมายนิรโทษกรรม และแก้รัฐธรรมนูญจึงยากที่จะทำให้คนอื่นฟังตน และตนเองก็ยากที่จะฟังคนอื่นในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ

2. ในส่วนของการดำเนินงานรัฐบาลชุดนี้ได้ประสบความล้มเหลวในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจจะเห็นได้ชัดเจนจากข้าวของแพง และการก่อหนี้เพิ่มขึ้นมากมาย ทั้งๆ ที่ก่อนมาเป็นรัฐบาลได้หาเสียงจะลดราคาสินค้า และราคาพลังงาน แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลได้ทำสิ่งตรงกันข้ามคือขึ้นราคาพลังงาน และเป็นเหตุให้ข้าวของแพว รวมทั้งมีการก่อหนี้เพิ่ม

แต่ผู้ประสานงานไม่รู้ไม่ยอมเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น กลับยกย่องและพยายามทำให้คนอื่นเข้าใจเหมือนกับที่ตนเองเข้าใจ หรือจำใจต้องเข้าใจเพราะร่วมรัฐบาลอยู่

ดังนั้น เมื่อไปหาใครเพื่อทาบทามให้เข้าร่วมปฏิรูป และถูกถามเรื่องที่เกิดขึ้นก็ยากที่จะตอบคำถามในส่วนที่เกี่ยวกับความล้มเหลว เพราะตนเองก็มีส่วนในความล้มเหลวนี้ จึงยากที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจ และในขณะเดียวกัน ก็ยากที่จะฟังคนอื่นในสิ่งที่ตนเองไม่อยากฟัง และนี่เองคือสิ่งที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการประสานงาน

ถ้าต้องการให้ทุกคนยอมมาร่วมปฏิรูป สิ่งแรกก็คือต้องฟังคนอื่นและทำความเข้าใจกับสิ่งที่คนอื่นพูด แล้วหาทางประนีประนอมเพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นด้วย และคล้อยตามจึงจะบรรลุผล.
กำลังโหลดความคิดเห็น