xs
xsm
sm
md
lg

นานาสารธรรม : การให้ทานของผู้ทุศีลและผู้มีศีล ใครได้บุญมากกว่า?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เรื่องศีลนี่แหละ มีคำถามขึ้นมาว่า

ผู้มีศีลให้ทานในผู้ทุศีล และผู้ทุศีลให้ทานในผู้มีศีล อย่างไหนได้บุญมากกว่า?

ผู้มีศีลให้ทานในผู้ทุศีล หมายความว่า พระผู้รับที่เป็นผู้ทุศีล คือ ไม่มีศีล ส่วนผู้ให้คือฆราวาส เป็นผู้มีศีล นี่ชุดหนึ่ง ส่วนอีกชุดหนึ่ง คือ ผู้ให้เป็นผู้ทุศีล เป็นคนไม่มีศีล ส่วนผู้รับเป็นคนมีศีล คือ ผู้ทุศีลให้ทานในผู้มีศีล

ใน 2 คนนี้ คนไหนได้ผลมากกว่า หรือได้บุญมากกว่า?

โดยทั่วไปเราสอนกันว่า การให้ทานในผู้มีศีลได้บุญมาก ทานที่ให้แก่ผู้มีศีลย่อมมีผลมาก ทานที่ให้แก่ผู้ทุศีล หามีผลมากเช่นนั้นไม่ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้

แต่ในกรณีนี้เราพูดถึงผู้ให้ก็มีศีลด้วย เราไม่เคยพูดกันถึงผู้ให้เลย เราพูดถึงแต่ผู้รับ ส่วนมากผู้รับคือพระสงฆ์ หรือใครก็ตามที่เป็นคนมีศีลมีธรรม แต่เราไม่เคยพูดกันถึง “ผู้ให้” เป็นคนมีศีลหรือไม่มี

ถ้าสมมติว่า ผู้ให้เป็นคนมีศีล แต่ให้ทานในคนไม่มีศีล กับ ผู้ให้เป็นคนทุศีล ให้ทานในผู้มีศีล ท่านคิดว่า คู่ไหน “ผู้ให้” จะเป็นผู้ได้บุญมาก

คำตอบที่มีอยู่คือ ผู้มีศีลให้ทานในผู้ทุศีล ได้ผลมากกว่าผู้ทุศีลให้ทานในผู้มีศีล อันนี้มีคำตอบปรากฏอยู่ในท้ายๆของทักขิณาวิภังคสูตร

ทั้งนี้ก็เพราะ พระพุทธเจ้าต้องการให้ผู้ให้พัฒนาตนขึ้นมาเป็นผู้มีศีล ธรรมดาศีลมีอานิสงส์มากกว่าทานอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ผู้มีศีลด้วยตัวเองก็เรียกว่า เป็นผู้มีบุญอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว

ขอให้ท่านทบทวนดูทักขิณาวิสุทธิ 4 อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในทักขิณาวิภังคสูตร สูตรที่ว่าด้วยการจำแนกทักษิณา

ทักษิณา แปลว่า ทาน ของที่จะให้ การให้ ในที่นั้นได้พูดถึงบริสุทธิ์ทางฝ่ายทายก(ผู้ให้) และไม่บริสุทธิ์ทางฝ่ายปฏิคาหก(ผู้รับ)นั้นอย่างหนึ่ง แปลว่า บริสุทธิ์ทางผู้ให้ แต่ไม่บริสุทธิ์ทางผู้รับ ผู้ให้เป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ผู้รับเป็นคนทุศีล นี่พวกหนึ่ง

พวกที่ 2 ผู้ให้เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้ทุศีล ไร้ธรรม ผู้รับเป็นผู้มีศีลมีธรรม

พวกที่ 3 เป็นพวกทุศีลทั้ง 2 ฝ่าย

พวกที่ 4 เป็นผู้มีศีลดีทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งผู้ให้และผู้รับ ทักษิณาบริสุทธิ์ทั้ง 2 ฝ่าย อันนี้ในหัวข้อธรรมท่านเรียกว่า ทักขิณาวิสุทธิ์ ความบริสุทธิ์แห่งทักขิณา

เหตุผลที่ผู้มีศีลให้ทานในผู้ทุศีล มีผลมากกว่า ก็เพราะเหตุว่า

ประการที่ 1 ถ้าเราเอามาจับคู่กันเข้า ทานกับศีลนี้ ศีลมีอานิสงส์มีผลมากกว่าทานอยู่แล้ว เพราะเป็นการพัฒนาตนให้เป็นคนมีคุณภาพ ให้เป็นผู้มีศีลธรรมอยู่ในตน สังคมก็จะสงบเรียบร้อย ดีกว่าสังคมที่มีการให้ทานแต่ไม่มีผู้รักษาศีล และสังคมจะเดือดร้อน มีแต่การเบียดเบียนกัน

ประการที่ 2 พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้พุทธบริษัทพัฒนาตนขึ้นมาเป็นผู้มีศีลมีธรรมเสียเอง คือ ให้ได้รับผลแห่งการเป็นผู้มีศีลมีธรรมเสียเอง แทนที่จะคอยแต่นั่งรับผลจากผู้ประพฤติศีลธรรม มีศีลดีมีธรรมงาม แล้วเราก็ไปทำบุญกับท่าน แล้วก็ได้รับผลบุญจากการทำบุญ พระพุทธเจ้าต้องการให้พัฒนาสู่ขั้นที่เรียกว่า ให้เป็นผู้มีบุญเสียเอง ให้เป็นผู้มีศีลธรรมเสียเอง

ท่านอธิบายไว้ในอรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตร ว่า

เหมือนกับชาวนาที่ฉลาด แม้จะได้นาที่ไม่ค่อยดีนัก แต่เป็นคนฉลาด ขยัน รู้จักพืช รู้จักพันธุ์ข้าว และรู้จักบำรุงนา ก็สามารถที่จะทำนาข้าวให้ดีได้ ข้อนี้ฉันใด แม้ว่าจะได้ผู้รับทานของเราเป็นผู้ไม่ค่อยมีคุณธรรมนัก แต่บุคคลผู้ให้เป็นผู้มีศีลมีธรรม ก็จะได้ผลมากหรือได้บุญมาก เพราะมีบุญอยู่ในตัว

ประการที่ 3 ในสังคมพุทธเรามีวัฒนธรรมอยู่อย่างหนึ่ง คือ ท่านให้เรารับศีลก่อนแล้วจึงให้ทาน ท่านสังเกตไหมครับ เวลานิมนต์พระมาสวดมนต์ฉันเพลที่บ้าน หรือเวลาไปทำบุญที่วัด แม้แต่งานสวดศพที่วัด ก่อนที่พระท่านจะสวดศพ และต่อด้วยการบำเพ็ญบุญโดยการถวายข้าวของแก่พระ ท่านก็จะให้เจ้าภาพรับศีลเสียก่อน เพราะตามหลักที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ทานของผู้มีศีลเป็นทานที่มีผลมาก แปลว่า ต้องการให้มีศีลเสียก่อนแล้วจึงให้ทาน ทานเช่นนั้นจึงเป็นทานที่มีผลมาก

ได้คุยเรื่องนี้กับหลายท่านเหมือนกัน บอกว่าผู้ที่มีคุณธรรมสูงมากเท่าไร การให้ของบุคคลเช่นนั้นก็จะมีผลมากเท่านั้น แม้จะให้แก่คนที่ไม่ค่อยจะมีศีลธรรม ในอรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตร ท่านยกตัวอย่างเปรียบเทียบไว้อย่างนี้นะครับ

ทานที่พระพุทธเจ้าให้แก่พระสารีบุตร ผมขอสมมติของขึ้นมาเองนะครับ สมมติว่า พระพุทธเจ้าประทานจีวรแก่พระสารีบุตรชุดหนึ่ง กับการที่พระสารีบุตรถวายจีวรแก่พระพุทธเจ้าชุดหนึ่ง ท่านตั้งปัญหาว่าใครจะได้อานิสงส์มากกว่าในการทำครั้งนี้

พระสารีบุตรได้มาก หรือพระพุทธเจ้าได้มาก?

ท่านตอบว่า พระพุทธเจ้าได้มากกว่า

ที่จริงโดยธรรมดาโดยจิตสำนึกของเรา พระสารีบุตรต้องได้มากกว่า เพราะพระสารีบุตรได้ถวายของ ได้ถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุรุษสูงสุด

ในอรรถกถาต้องการยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นว่า ผู้มีคุณธรรมสูงเท่าไร ทำบุญทำทานก็จะมีผลมากเท่านั้น ในที่นี้ พระพุทธเจ้ามีคุณสมบัติวิเศษมากมายกว่าพระสารีบุตร เพราะฉะนั้น ทานที่พระพุทธเจ้าประทานแก่พระสารีบุตรจึงมีผลมากกว่า

ผมคิดว่าตัวอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้น ถ้าเราพัฒนาตัวเราให้มีคุณธรรมสูง ให้มีคุณงามความดีมาก ทานของเราการทำความดีของเราก็จะมีผลมาก แม้ว่าจะได้ผู้รับที่มีคุณธรรมน้อย มีศีลน้อย

แต่ถ้ามีศีลทั้ง 2 ฝ่าย คือ ทั้งผู้ให้และผู้รับเป็นผู้มีศีล ก็ไม่มีปัญหา มีผลมากและดีที่สุด

หากผู้ทุศีลเป็นผู้ให้และผู้ทุศีลเป็นผู้รับ ก็ไม่มีปัญหา เพราะมีผลน้อยทั้งสองฝ่ายเช่นเดียวกัน

(จากหนังสือ สิ่งที่ควรทำความเข้าใจกันใหม่ เพื่อความถูกต้อง)

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 149 พฤษภาคม 2556 โดย อ.วศิน อินทสระ)

กำลังโหลดความคิดเห็น