ในคำสอนของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาตรัสว่า มีอธิปไตย หรือความเป็นใหญ่ 3 ประการคือ
1. อัตตาธิปไตย คือการถือตนเองเป็นใหญ่ คิดเอง ทำเอง โดยไม่ฟังใคร ไม่ให้ใครมีส่วนในการคิด
2. โลกาธิปไตย คือการถือคนส่วนใหญ่หรือคนหมู่มากเป็นใหญ่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือถือกระแสสังคมเป็นหลัก สังคมว่าดีก็ดี สังคมว่าไม่ดีก็ไม่ดี
3. ธัมมาธิปไตย คือการถือธรรมหรือความถูกต้องเป็นใหญ่ จะเป็นคนคนเดียวหรือคนหมู่มากก็ได้ เสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อยก็ได้ ขอให้ถูกต้องเป็นธรรม ก็จัดอยู่ในข้อนี้
โดยนัยนี้ธัมมาธิปไตยเกิดขึ้นได้ทั้งจากคนคนเดียว และคนหลายคนที่มีความคิดเป็นเอกภาพ โดยยึดธรรมหรือความถูกต้องก็จัดว่าเป็นธัมมาธิปไตย ในทางกลับกัน ถ้าไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ไม่ว่าเป็นคนเดียวหรือหลายคน ก็ไม่ถือว่าเข้าข่ายธัมมาธิปไตย ดังนั้น คำว่า ธัมมาธิปไตยจึงเป็นเนื้อหา ส่วนอัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตยเป็นเพียงรูปแบบภายนอกเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ในการตัดสินใจเพื่อหาข้อยุติในการแก้ปัญหาของส่วนรวม หรือการจะวางกฎเกณฑ์หรือกติกาใดๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองคนหมู่มาก การระดมความคิดจากคนหลายคน ย่อมดีกว่าให้คนคนเดียวคิดแน่นอน
แม้พระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาตรัสรู้เองโดยชอบ ยังให้สงฆ์คือภิกษุ 4 รูปขึ้นไป ประชุมกันเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน และในการแก้ปัญหาการใช้เสียงข้างมากก็เป็นวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ส่วนในการปกครองให้ใช้มติของสงฆ์เป็นเครื่องชี้ขาด โดยมีเสียงเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ 100 เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นในกรณีแก้ปัญหาการทะเลาะวิวาทระหว่างภิกษุด้วยกันให้ใช้เสียงข้างมาก ในทำนองเดียวกัน การปกครองในระบอบการปกครองประชาธิปไตย ที่ใช้วิธีลงคะแนนและถือเสียงข้างมากเป็นตัวชี้ขาด แต่ก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในแง่ของหลักการ ดังจะเห็นได้ดังต่อไปนี้
“ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้ระงับอธิกรณ์ชนิดนี้ ด้วยถือเอาเสียงข้างมากให้สมมติภิกษุผู้ให้จับสลาก (คำว่า จับสลากหมายถึงการใช้ซี่ไม้สำหรับลงคะแนน และคำว่าให้สมมติภิกษุผู้จับสลาก หมายถึงมีการแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการลงคะแนน ในทำนองเดียวกับประธานสภาฯ) ภิกษุผู้ให้จับสลากจะต้องประกอบด้วยองค์ 5 คือ
1. ไม่ลำเอียงเพราะรัก 2. เพราะเกลียด 3. เพราะหลง 4. เพราะกลัว และรู้ว่าอย่างไรเป็นอันจับ อย่างไรไม่เป็นอันจับ (รู้วิธีการควบคุมการลงคะแนนได้อย่างถูกต้อง) แล้วให้สงฆ์สวดประกาศแต่งตั้งภิกษุผู้ให้จับสลากเป็นการสงฆ์
แล้วทรงแสดงการจับสลาก (การลงคะแนน) ที่ไม่เป็นธรรม และที่เป็นธรรมอย่างละ 10 ประการคือ 1. เป็นเรื่องเล็กน้อย 2. ไม่รุกรานไปส่วนอื่น 3. ไม่ต้องคิดแล้วคิดเล่า 4. รู้ว่าผู้กล่าวไม่เป็นธรรมมีมากกว่า 5. รู้ว่าผู้กล่าวไม่เป็นธรรมอาจมีมากกว่า 6. รู้ว่าสงฆ์แตกกัน (ถ้าขืนลงมติ) 7. รู้ว่าสงฆ์อาจแตกกัน 8. จับสลากไม่เป็นธรรม 9. จับสลากเป็นพวกๆ (ไม่เรียงทีละคน) 10. มิได้จับสลากตามความเห็นของตน อย่างนี้เรียกว่า ไม่เป็นธรรม ส่วนที่เป็นธรรมคือส่วนที่ตรงกันข้าม
พระไตรปิฎกฉบับย่อหน้า 257 โดย
สุชีพ ปุญญานุภาพ
จากข้อความข้างต้น สังเกตได้ว่าการปกครองโดยให้ผู้อยู่ใต้การปกครองมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎเกณฑ์ และวิธีการแก้ปัญหาอันมีผลกระทบต่อส่วนรวมนั้น ได้เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล และยังมีผลบังคับใช้อยู่จนกระทั่งปัจจุบัน โดยมีพระวินัยเป็นแม่บทในการปกครอง ในทำนองเดียวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ใช้เป็นแม่บทในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน
ในการใช้เสียงข้างมากในการแก้ปัญหาทะเลาะวิวาท หรือที่เรียกว่า เยภุยยสิกา พระพุทธองค์ได้ตรัสรายละเอียดในการใช้เสียงข้างมากด้วยว่าอย่างไร เรียกว่าเป็นธรรมคือถูกต้อง และอย่างไรเรียกว่าไม่เป็นธรรม คือความไม่ถูกต้อง พร้อมทั้งระบุคุณสมบัติของผู้ที่จะทำหน้าที่ควบคุมการลงคะแนนว่าจะต้องไม่มีอคติ 4 และจะต้องรู้วิธีการควบคุมการลงคะแนนเป็นอย่างดี และที่สำคัญจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมสงฆ์ โดยมีความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ด้วย
เมื่อนำเอาการถือเสียงข้างมากในการระงับอธิกรณ์ ตามนัยแห่งคำสอนในพระพุทธศาสนามาเปรียบเทียบกับการใช้เสียงข้างมากในสภาฯ ไทย ในกรณีการลงคะแนนแก้รัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยที่มาของ ส.ว.ในวาระ 3 ที่ผ่านมาแล้วพบว่าการลงคะแนนในสภาฯ ไทยล้าหลังและไม่เป็นธรรม ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของประธานที่มีอคติอย่างน้อย 2 ประการคือ ลำเอียงเพราะความรัก และลำเอียงเพราะความกลัว ส่วนจะรักใครและกลัวอะไร ท่านผู้อ่านที่ดูการประชุมวันนั้นแล้ว คงจะพอนึกออก
นอกจากนี้ ในส่วนของผู้ลงคะแนนก็ไม่เป็นธรรม เนื่องจากขัดหลักการอย่างน้อย 2 ประการคือ ลงคะแนนแทนกัน และลงคะแนนจากการชี้นำจากคนอื่น (ข้อ 9 และข้อ 10)
อะไรทำให้นักการเมืองไทยมีพฤติกรรมข้อแย้งกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่นับถือพุทธ และขัดต่อเนื้อหาของความเป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ส่วนหนึ่งจบการศึกษาจากโลกตะวันตก และประชาธิปไตยของไทยก็ลอกเลียนมาจากประเทศตะวันตก
เกี่ยวกับประเด็นแห่งปัญหาดังกล่าวข้างต้น ตอบได้ไม่ยาก ถ้าย้อนไปดูการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับอุดมศึกษา ก็จะพบว่ามีการสอนเรื่องจริยธรรม และศาสนาในแง่ปรัชญา โดยการนำไปเปรียบเทียบกับวิชาแขนงอื่นมีอยู่น้อย หรือแทบไม่มีเลย จึงทำให้คำสอนของพระพุทธศาสนามีบทบาทต่อสังคมไทยน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ และคำสอนของศาสนาพุทธมีอยู่หลากหลายที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้ในหลายแง่มุม
ส่วนประเด็นที่ว่า นักการเมืองไทยไม่เข้าใจเนื้อหาประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่มีอยู่ไม่น้อยที่จบการศึกษาจากประเทศตะวันตก ซึ่งเป็นแม่แบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ข้อนี้ก็ตอบได้ว่าเป็นเรื่องอุปนิสัยใจคอของปกติชนที่ชอบนำเอาสิ่งที่ตนเองได้ประโยชน์มาใช้ และละเลยหรือมองข้ามในสิ่งที่ทำให้ตนเองเสียประโยชน์ แม้สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศโดยรวมก็ตาม เข้าทำนองแกล้งโง่และมีผลตอบแทนของการแกล้งโง่
ส่วนที่ว่าไม่รู้ไม่เข้าใจจริงๆ ก็คงจะมีอยู่บ้าง โดยเฉพาะประเภทไปศึกษาเพื่อเอาปริญญา ไม่นำพาเรื่องเนื้อหาทางวิชาการ และประเภทนี้เองที่เข้าทำนองคนโง่ที่มีวาสนา ย่อมดีกว่าคนฉลาดที่ไม่มีโอกาส หรืออุปมาได้ว่า ต้นหญ้าที่งอกบนยอดภูเขา ย่องสูงกว่าต้นไม้ที่งอกเชิงเขา ดังที่ปรากฏอยู่ในการเมืองไทยในขณะนี้
แต่การที่นักการเมืองไทยเป็นอยู่อย่างนี้ จะโทษนักการเมืองฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกต้องนัก แต่ควรจะโทษประชาชนคนที่ไปเลือกนักการเมืองประเภทไม่มีความรู้ความสามารถ หรือแม้กระทั่งมีความรู้ มีความสามารถแต่ขาดคุณธรรมเข้ามาจะถูกต้องกว่า
ดังนั้น ถ้าจะปฏิรูปการเมืองไทยนอกจากปฏิรูประบบการเมืองแล้ว ตัวนักการเมืองและประชาชนคนลงคะแนน ก็จะต้องปฏิรูปด้วย
1. อัตตาธิปไตย คือการถือตนเองเป็นใหญ่ คิดเอง ทำเอง โดยไม่ฟังใคร ไม่ให้ใครมีส่วนในการคิด
2. โลกาธิปไตย คือการถือคนส่วนใหญ่หรือคนหมู่มากเป็นใหญ่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือถือกระแสสังคมเป็นหลัก สังคมว่าดีก็ดี สังคมว่าไม่ดีก็ไม่ดี
3. ธัมมาธิปไตย คือการถือธรรมหรือความถูกต้องเป็นใหญ่ จะเป็นคนคนเดียวหรือคนหมู่มากก็ได้ เสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อยก็ได้ ขอให้ถูกต้องเป็นธรรม ก็จัดอยู่ในข้อนี้
โดยนัยนี้ธัมมาธิปไตยเกิดขึ้นได้ทั้งจากคนคนเดียว และคนหลายคนที่มีความคิดเป็นเอกภาพ โดยยึดธรรมหรือความถูกต้องก็จัดว่าเป็นธัมมาธิปไตย ในทางกลับกัน ถ้าไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ไม่ว่าเป็นคนเดียวหรือหลายคน ก็ไม่ถือว่าเข้าข่ายธัมมาธิปไตย ดังนั้น คำว่า ธัมมาธิปไตยจึงเป็นเนื้อหา ส่วนอัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตยเป็นเพียงรูปแบบภายนอกเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ในการตัดสินใจเพื่อหาข้อยุติในการแก้ปัญหาของส่วนรวม หรือการจะวางกฎเกณฑ์หรือกติกาใดๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองคนหมู่มาก การระดมความคิดจากคนหลายคน ย่อมดีกว่าให้คนคนเดียวคิดแน่นอน
แม้พระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาตรัสรู้เองโดยชอบ ยังให้สงฆ์คือภิกษุ 4 รูปขึ้นไป ประชุมกันเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน และในการแก้ปัญหาการใช้เสียงข้างมากก็เป็นวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ส่วนในการปกครองให้ใช้มติของสงฆ์เป็นเครื่องชี้ขาด โดยมีเสียงเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ 100 เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นในกรณีแก้ปัญหาการทะเลาะวิวาทระหว่างภิกษุด้วยกันให้ใช้เสียงข้างมาก ในทำนองเดียวกัน การปกครองในระบอบการปกครองประชาธิปไตย ที่ใช้วิธีลงคะแนนและถือเสียงข้างมากเป็นตัวชี้ขาด แต่ก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในแง่ของหลักการ ดังจะเห็นได้ดังต่อไปนี้
“ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้ระงับอธิกรณ์ชนิดนี้ ด้วยถือเอาเสียงข้างมากให้สมมติภิกษุผู้ให้จับสลาก (คำว่า จับสลากหมายถึงการใช้ซี่ไม้สำหรับลงคะแนน และคำว่าให้สมมติภิกษุผู้จับสลาก หมายถึงมีการแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการลงคะแนน ในทำนองเดียวกับประธานสภาฯ) ภิกษุผู้ให้จับสลากจะต้องประกอบด้วยองค์ 5 คือ
1. ไม่ลำเอียงเพราะรัก 2. เพราะเกลียด 3. เพราะหลง 4. เพราะกลัว และรู้ว่าอย่างไรเป็นอันจับ อย่างไรไม่เป็นอันจับ (รู้วิธีการควบคุมการลงคะแนนได้อย่างถูกต้อง) แล้วให้สงฆ์สวดประกาศแต่งตั้งภิกษุผู้ให้จับสลากเป็นการสงฆ์
แล้วทรงแสดงการจับสลาก (การลงคะแนน) ที่ไม่เป็นธรรม และที่เป็นธรรมอย่างละ 10 ประการคือ 1. เป็นเรื่องเล็กน้อย 2. ไม่รุกรานไปส่วนอื่น 3. ไม่ต้องคิดแล้วคิดเล่า 4. รู้ว่าผู้กล่าวไม่เป็นธรรมมีมากกว่า 5. รู้ว่าผู้กล่าวไม่เป็นธรรมอาจมีมากกว่า 6. รู้ว่าสงฆ์แตกกัน (ถ้าขืนลงมติ) 7. รู้ว่าสงฆ์อาจแตกกัน 8. จับสลากไม่เป็นธรรม 9. จับสลากเป็นพวกๆ (ไม่เรียงทีละคน) 10. มิได้จับสลากตามความเห็นของตน อย่างนี้เรียกว่า ไม่เป็นธรรม ส่วนที่เป็นธรรมคือส่วนที่ตรงกันข้าม
พระไตรปิฎกฉบับย่อหน้า 257 โดย
สุชีพ ปุญญานุภาพ
จากข้อความข้างต้น สังเกตได้ว่าการปกครองโดยให้ผู้อยู่ใต้การปกครองมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎเกณฑ์ และวิธีการแก้ปัญหาอันมีผลกระทบต่อส่วนรวมนั้น ได้เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล และยังมีผลบังคับใช้อยู่จนกระทั่งปัจจุบัน โดยมีพระวินัยเป็นแม่บทในการปกครอง ในทำนองเดียวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ใช้เป็นแม่บทในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน
ในการใช้เสียงข้างมากในการแก้ปัญหาทะเลาะวิวาท หรือที่เรียกว่า เยภุยยสิกา พระพุทธองค์ได้ตรัสรายละเอียดในการใช้เสียงข้างมากด้วยว่าอย่างไร เรียกว่าเป็นธรรมคือถูกต้อง และอย่างไรเรียกว่าไม่เป็นธรรม คือความไม่ถูกต้อง พร้อมทั้งระบุคุณสมบัติของผู้ที่จะทำหน้าที่ควบคุมการลงคะแนนว่าจะต้องไม่มีอคติ 4 และจะต้องรู้วิธีการควบคุมการลงคะแนนเป็นอย่างดี และที่สำคัญจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมสงฆ์ โดยมีความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ด้วย
เมื่อนำเอาการถือเสียงข้างมากในการระงับอธิกรณ์ ตามนัยแห่งคำสอนในพระพุทธศาสนามาเปรียบเทียบกับการใช้เสียงข้างมากในสภาฯ ไทย ในกรณีการลงคะแนนแก้รัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยที่มาของ ส.ว.ในวาระ 3 ที่ผ่านมาแล้วพบว่าการลงคะแนนในสภาฯ ไทยล้าหลังและไม่เป็นธรรม ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของประธานที่มีอคติอย่างน้อย 2 ประการคือ ลำเอียงเพราะความรัก และลำเอียงเพราะความกลัว ส่วนจะรักใครและกลัวอะไร ท่านผู้อ่านที่ดูการประชุมวันนั้นแล้ว คงจะพอนึกออก
นอกจากนี้ ในส่วนของผู้ลงคะแนนก็ไม่เป็นธรรม เนื่องจากขัดหลักการอย่างน้อย 2 ประการคือ ลงคะแนนแทนกัน และลงคะแนนจากการชี้นำจากคนอื่น (ข้อ 9 และข้อ 10)
อะไรทำให้นักการเมืองไทยมีพฤติกรรมข้อแย้งกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่นับถือพุทธ และขัดต่อเนื้อหาของความเป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ส่วนหนึ่งจบการศึกษาจากโลกตะวันตก และประชาธิปไตยของไทยก็ลอกเลียนมาจากประเทศตะวันตก
เกี่ยวกับประเด็นแห่งปัญหาดังกล่าวข้างต้น ตอบได้ไม่ยาก ถ้าย้อนไปดูการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับอุดมศึกษา ก็จะพบว่ามีการสอนเรื่องจริยธรรม และศาสนาในแง่ปรัชญา โดยการนำไปเปรียบเทียบกับวิชาแขนงอื่นมีอยู่น้อย หรือแทบไม่มีเลย จึงทำให้คำสอนของพระพุทธศาสนามีบทบาทต่อสังคมไทยน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ และคำสอนของศาสนาพุทธมีอยู่หลากหลายที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้ในหลายแง่มุม
ส่วนประเด็นที่ว่า นักการเมืองไทยไม่เข้าใจเนื้อหาประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่มีอยู่ไม่น้อยที่จบการศึกษาจากประเทศตะวันตก ซึ่งเป็นแม่แบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ข้อนี้ก็ตอบได้ว่าเป็นเรื่องอุปนิสัยใจคอของปกติชนที่ชอบนำเอาสิ่งที่ตนเองได้ประโยชน์มาใช้ และละเลยหรือมองข้ามในสิ่งที่ทำให้ตนเองเสียประโยชน์ แม้สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศโดยรวมก็ตาม เข้าทำนองแกล้งโง่และมีผลตอบแทนของการแกล้งโง่
ส่วนที่ว่าไม่รู้ไม่เข้าใจจริงๆ ก็คงจะมีอยู่บ้าง โดยเฉพาะประเภทไปศึกษาเพื่อเอาปริญญา ไม่นำพาเรื่องเนื้อหาทางวิชาการ และประเภทนี้เองที่เข้าทำนองคนโง่ที่มีวาสนา ย่อมดีกว่าคนฉลาดที่ไม่มีโอกาส หรืออุปมาได้ว่า ต้นหญ้าที่งอกบนยอดภูเขา ย่องสูงกว่าต้นไม้ที่งอกเชิงเขา ดังที่ปรากฏอยู่ในการเมืองไทยในขณะนี้
แต่การที่นักการเมืองไทยเป็นอยู่อย่างนี้ จะโทษนักการเมืองฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกต้องนัก แต่ควรจะโทษประชาชนคนที่ไปเลือกนักการเมืองประเภทไม่มีความรู้ความสามารถ หรือแม้กระทั่งมีความรู้ มีความสามารถแต่ขาดคุณธรรมเข้ามาจะถูกต้องกว่า
ดังนั้น ถ้าจะปฏิรูปการเมืองไทยนอกจากปฏิรูประบบการเมืองแล้ว ตัวนักการเมืองและประชาชนคนลงคะแนน ก็จะต้องปฏิรูปด้วย