โสภณ องค์การณ์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
เลิกราไปกันชั่วคราวสำหรับการเผชิญหน้าระหว่างกองทัพตำรวจไทยและกองทัพธรรมผสมกองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันเพื่อหย่าศึกชั่วคราวเพื่อเห็นแก่หน้าแม่นางโพยปูโพรกเน่าในและเกียรติภูมิของประเทศ ซึ่งต้องต้อนรับแขกเมืองคนสำคัญ นายหลี่ เค่อ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน
กองทัพธรรมและ กปท. ยินยอมย้ายไปสวนลุมพินี 1 วัน ภายใต้คำมั่นของฝ่ายรัฐบาลว่ามวลชนจะกลับมาปักหลักที่เดิมได้หลังจากแขกสำคัญกลับประเทศไปแล้ว! จะรักษาคำมั่น พลิกลิ้น ตระบัดสัตย์ สาธุชนต้องรอว่าสัจจะมีในหมู่โจรหรือไม่
การเลิกรา ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง – สู้แล้วเจ็บตายไม่คุ้มแน่ เมื่อตำรวจและผู้นำรัฐบาลออกอาการกระหายเลือด กระเหี้ยนกระหือรือในการทุบตีมวลชน
คำสัญญาของ “สุภาพบุรุษ” นั้น ยังมีในยุคนี้หรือไม่ ต้องพิสูจน์กัน แต่ดูแล้วคงยาก เพราะผู้นำรัฐบาลหน้าหนาฉาบทาด้วยเครื่องประทินโฉมมักเลือกที่จะหน้าบางในบางกรณีถ้ามีเหตุทำให้นางต้องลดระดับความขลัง อำนาจบารมีของทรราชเอ๋อ
แม้จะเลิกราหย่าศึกชั่วคราว ตำรวจยังหาเรื่องเล่นแง่ ยึดมั่นกับนิสัยเจ้าเล่ห์ จะยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนประกัน 3 แกนนำ อ้างว่าผิดเงื่อนไขการปล่อยตัว! นี่คือพฤติกรรมของตำรวจ ไว้ใจไม่ได้ ถ้าเป็นขี้ข้าบักเหลี่ยมจะแสดงความชั่ว อำมหิต เลือดเย็นอวดนาย
พล อ. ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ทหารแก่รักชาติ จะสามารถนำมวลชนกลับสู่ถนนพิษณุโลกได้อีกหรือไม่! รัฐบาลและตำรวจจะไว้ใจได้หรือไม่ คงไม่อะไรน่าสงสัย เมื่อเป็นขี้ข้าบักเหลี่ยม อภิมหาจอมกะล่อน ย่อมไม่น่าเชื่อถือ เมื่อจิตใจมีแต่ความโหดเหี้ยม
มวลชนจะกลับมาชุมนุมข้างทำเนียบได้อย่างไร ถ้ารัฐบาลไม่ยอมยกเลิกประกาศใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคงในการห้ามเข้าพื้นที่? การย้ายออกเพียง 1 วัน พวกกองกำลังตำรวจระดมมาจากสารพัดทิศคงรอเตรียมรับ มีความพร้อมมากกว่าเดิม
นั่นเป็นเพราะ พ.ร.บ. ความมั่นคงจนพร่ำเพรื่อ โดยใช้เป็นเครื่องมือบีบบังคับให้มวลชนจำยอมออกนอกพื้นที่ต้องห้าม! การใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อระดมตำรวจจำนวนมากเพื่อจัดการมวลชนจำนวนน้อยนิดเป็นวิธีล้างผลาญเงิน ละเมิดกฎหมาย
แน่นอน มวลชนส่วนหนึ่งย่อมรู้สึกไม่พอใจกับข้อตกลง มองว่าเป็นการยอมง่ายดายเกินไปของแกนนำ แม้มวลชนที่ชุมนุมถูกปิดล้อม ยังมีส่วนที่รออยู่หน้าสนามม้าพร้อมจะกระหนาบตำรวจในช่วงเย็นทำให้การอุ้มผู้ชุมนุมเป็นไปได้ไม่ง่าย
แต่ยังมีประเด็นระดับความอำมหิตของตำรวจ เห็นกันชัดเจนวันพฤหัสว่าตำรวจปิดล้อมมวลชนไว้ทุกด้าน ไม่ให้นำรถสุขาเข้าออก ห้ามคนเข้าออก จนถึงระดับห้ามนำอาหาร น้ำดื่มเข้าไปให้ผู้ชุมนุม ปล่อยให้อดอยาก อั้นหนักอั้นเบา ไร้มนุษยธรรม
ตำรวจไม่ได้ทำกันเหมือนไม่ใช่คนไทย! แต่ปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมเหมือนไม่ใช่คน! แม้จะมีคำขอร้องให้ตำรวจเปิดทางให้นำน้ำดื่ม อาหาร รถสุขาเข้าไป ก็มีแถว่าถ้าตำรวจหรือรัฐบาลยอมให้มวลชนมีน้ำดื่ม หรืออาหาร ก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนการชุมนุม
แบบนี้ไม่ใช่เป็นเผด็จการ แต่ยกระดับถึงขั้นทรราชแล้ว! ภาพที่มวลชนลุยน้ำคลองเน่าส่งเสบียงให้ผู้ชุมนุม ได้ปรากฎต่อประชาชนคนไทยเฉย และประชาคมโลกว่ารัฐไทยภายไต้อำนาจบารมีของทรราชเอ๋อนั้น มีบรรยากาศของความเลือดเย็น อำมหิต
นักโทษถูกจองจำในคุกตะรางยังได้รับการเยี่ยม อาหาร น้ำดื่ม ตามหลักปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชน แต่กลุ่มเสรีชนชุมนุมตามสิทธิภายไต้รัฐธรรมนูญถูกย่ำยีริดรอนสิทธิ เหมือนเป็นสังคมทาส ขี้ข้า ภายไต้อารมณ์สะใจของคนหนีคุกเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ
เราได้เห็นความลำพองผยองอำนาจของกองทัพตำรวจ และรัฐตำรวจอีกครั้ง อย่างเต็มที่ กล้าแสดงแสนยานุภาพ นายตำรวจเหยียบย่ำกฎหมาย ให้นักโทษติดยศให้ และฮึกเหิม ใช้วาจา พฤติกรรมคุกคามประชาชนคนเสียภาษีต่อต้านรัฐบาลชั่วร้ายกังฉิน
การละเมิดสิทธิมนุษยชน การยัดเยียดข้อกล่าวหาประชาชนว่ากระทำความผิด พกคัตเตอร์ หนังสติ๊ก เป็นอาวุธ หาเหตุเพื่อก่อความรุนแรง สลายการชุมนุม ก็ยังกล้าทำ เมื่อเห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่กล้าหือ ไม่รวมตัวกัน ยังเป็นไทยเฉย ไทยนิ่ง ไทยหลับ
น่าเห็นใจแกนนำ ซึ่งยอมรับว่าคนไทยยังไม่ตื่น ไม่รู้สึกต่อความเดือดร้อน โกงกินอย่างอหังการในอำนาจ ใช้กองกำลังเถื่อนคุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยไร้การคุ้มครองโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเต็มที่ กองทัพไทยกลายสภาพเป็นกองทัพเฉยเช่นกัน
คำอ้างว่า “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” กองทัพวางตัวเป็นกลาง คือคำแก้ตัวอย่างไร้ศักดิ์ศรี ไม่ยอมชี้ชัด เลือกจุดยืน แยกแยะว่าใครดีชั่ว เท่ากับว่าตัวเองนั้นเป็นทั้งดีและชั่วเช่นกัน เมื่อไร้จิตสำนึก ระดับของมโนธรรมว่าฝ่ายใดดีชั่ว
เหมือนเห็นคน 2 คนตีกัน แต่วางเฉย ไม่ห้ามปราม หรือชี้ว่าใครถูก ผิด! เมื่อเป็นแบบนี้คงสิ้นสภาพเป็นที่พึ่ง ประชาชนคงไม่หวังอะไรเมื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ยังถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดีตลอดเวลาที่คนหนีคุกเหลิงอำนาจ ย่ำยีบ้านเมืองผ่านตัวแทน
ถ้ามวลชนกองทัพประชาชน กองทัพธรรมไม่กลับมาชุมนุม คงเป็นที่เข้าใจ เพราะจำนวนคนเข้าร่วมมีน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ต่างจากมวลชนในอียิปต์ บราซิล หรือประเทศอื่นๆ ซึ่งไม่ยอมให้คนชั่วเผด็จการ กังฉิน ทำลายบ้านเมือง
สังคมไทยคงต้องปล่อยให้ล่มสลาย ยางหัวออก โดนย่ำยี เดือดร้อนทุกครัวเรือน นั่นหมายความว่าการกอบกู้สถานการณ์คงอยู่ในสภาวะ “กว่าถั่วสุก งาก็ไหม้” บ้านเมืองไร้คนกล้าเป็นผู้นำมวลชน ตราบใดที่กองทัพตำรวจยังผยองด้วยงบอัดฉีด
สงครามยังไม่เลิกราถาวร ผู้ชนะไม่ชัดเจน ฟางเส้นสุดท้ายคงใช้เวลาอีกไม่นาน! นั่นคือวาระของการตัดสินชะตากรรมของบ้านเมืองแท้จริง เมื่อสถานการณ์แวดล้อมทำให้รัฐบาลแม่นางโพยเผชิญปัญหารากฐานผุกร่อน ต้องรอคดีสำคัญในศาลรัฐธรรมนูญ