xs
xsm
sm
md
lg

สว.จี้แจงกองทุนความมั่งคั่ง แม้ว”บี้”ปู2ล้านล. อัดรัฐพูดปดหลอกชาวบ้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน- “แม้ว”ชง “ปู”กินรวบ โว! แผนกู้สร้างประเทศ โพสต์เล่าเบื้องหลังสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ชูแผนกินรวบ “การเงินและการทำงานที่ควบคู่กัน” ส่วน”ปู” โชว์วิสัยทัศน์ กู้2 ล้านล้านเวทีเอเปค หนุนจีนตั้ง “แบงค์ลงทุนโครงสร้างภูมิภาค”  ด้าน “สว.คำนูณ-ปชป.”จี้แจง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ”ให้ชัด บี้ “ดร.กบ”แจงล้วงทุนสำรองระหว่างประเทศ ถมประชานิยม ด้าน สว. 86ต่อ41 เสียง รับหลักการ กู้เงิน2ล้านล้านบาท

วานนี้ (8 ต.ค.56) เวลา 12.45 น.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า" Me and My Country (1) ผมขอเริ่มตอนที่หนึ่งโดยการเล่าเรื่องเบื้องหลังการเจรจากับญี่ปุ่นในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิครับ ปี 2544 ผมได้ประกาศว่าจะยกเลิกการประกวดราคาก่อสร้างอาคารผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งประกวดราคาโดยรัฐบาลก่อนเป็นวงเงิน 54,000 ล้านบาทเศษ โดยออกแบบรองรับผู้โดยสารได้ 35 ล้านคน ซึ่งขณะนั้นผมเห็นว่าแพงและจำนวนผู้โดยสารที่รองรับได้น้อยไป เกรงจะไม่พอ เปิดปุ๊บก็ต้องเต็มปั๊บ ทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในขณะนั้นก็วิ่งมาพบผมและขอคัดค้านเพราะเรากู้เงิน JBIC อยู่ โดยบอกว่าจะยกเลิกเงินกู้

ผมก็นั่งคิด เนื่องจากเรายังไม่พ้นวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อ ก.ค. 40 แต่ถ้าเรากลัวไม่ได้กู้เงิน เราก็ต้องสร้างสนามบินที่แพงเกินจริงและรองรับผู้โดยสารได้น้อยเกินไป เพราะจะสร้างใหม่ทั้งทีอุตส่าห์รอกันมาตั้ง 40 ปี ขณะนั้นผมอ่านออกว่าทูตญี่ปุ่นกลัวว่าประกวดราคาใหม่บริษัทญี่ปุ่นจะไม่ชนะประมูล เรื่องการไม่ให้กู้เงินคงจะไม่จริง ผมก็เลยบอกไปว่าผมจำเป็นต้องยกเลิกการประมูลและแก้แบบใหม่ให้รองรับผู้โดยสารจาก 35 ล้านคนเป็น 45 ล้านคน ถ้าญี่ปุ่นไม่ให้กู้ก็ไม่เป็นไร ผมใช้เงินแบงก์กรุงไทยกับแบงก์ออมสินก็ได้ ผมก็เลิกการประมูล แก้แบบเป็น 45 ล้านคน และให้มีการประมูลใหม่

ผลปรากฏว่าราคาลดลงจาก 54,000 ล้านบาท เป็น 36,666 ล้านบาท ประหยัดไป 17,000 ล้านบาทเศษ พร้อมกับรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีก 10 ล้านคน จาก 35 เป็น 45 ล้านคน ซึ่งขนาดเพิ่มแล้ววันนี้หลังจากเปิดไม่กี่ปีก็เต็มแล้ว ทั้งๆที่ไปใช้ดอนเมืองด้วย และในที่สุด ท่านทูตญี่ปุ่นคนเดิมก็กลับมาขอร้องให้เราใช้เงินกู้ JBIC ต่อไปเหมือนเดิม (การเจรจาต้องรู้ความต้องการของเขาและของเรา)

ถ้าท่านจำได้ช่วงผมเป็นนายกฯใหม่ๆ ผมได้ประกาศว่า ไทยจะไม่ยอมกู้เงินนอกเด็ดขาดยกเว้นสัญญาที่มีอยู่เดิม ทั้งๆที่ตอนนั้นเรามีเงินสำรองอยู่ 27-28 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น แต่เรามีหนี้ต่างประเทศมากกว่าเงินสำรองเรามาก รวมทั้งหนี้ IMF ถึง 12,000 ล้าน ผมเข้าใจโลกทุนนิยมดีครับ มันเปรียบเสมือนว่าเมื่อแดดออก มีแต่คนจะเอาร่มมาให้เราถือเต็มไปหมดทั้งๆที่เราไม่ต้องใช้ แต่ยามฝนตก เราอยากได้ร่มสักคันก็ไม่มีใครให้ยืม เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างคำว่า Trust & Confident ให้ได้ เงินถึงจะมา

ผมเลยใช้นโยบายว่า กัดฟันไม่กู้เงินนอกเท่านั้น ต่างประเทศก็เริ่มมั่นใจขึ้น เงินต่างประเทศก็เริ่มเข้ามาประกอบกับการปรับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้นให้สอดคล้องกัน ทำให้พ่อค้านำเข้าและส่งออกที่เก็บเงินไว้ต่างประเทศก็เริ่มนำกลับเข้ามา เสถียรภาพเงินบาทก็แข็งขึ้น เงินสำรองก็มากขึ้นจนเราสามารถใช้หนี้ IMF ได้ ซึ่งตอนเกิดวิกฤตตอนเราต้องยืมเงิน IMF ทุกคนก็คิดว่าต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปีกว่าจะใช้หนี้ได้

ตอนที่ผมตัดสินใจใช้หนี้หลายคนก็ห้ามผมว่าทำไมต้องรีบใช้ เดี๋ยวเงินสำรองจะพร่องมากไปไม่พอใช้ บังเอิญผมมีประสบการณ์เป็นนักกู้เงินมาก่อน ถ้าเราเป็นหนี้แล้วใช้คืนได้เขาถึงว่าเราเป็นลูกค้าชั้นดีที่จะให้กู้มากขึ้นอีก ผมก็เลยสั่งให้ใช้หนี้ทั้งหมดทีเดียว หม่อมอุ๋ยขอต่อรองเป็นอีก 6 เดือน ผมก็เลยบอกว่าผมประกาศเลยนะว่าอีก 6 เดือนจะชำระ ก็เลยเกิดการชำระหนี้ IMF ก่อนครบกำหนดถึง 2 ปี ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยดีขึ้นมาก เงินก็เริ่มไหลเข้าประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจนเรากลายเป็นประเทศที่เรียกว่าเป็น Net Creditor Nation คือเป็นประเทศที่มีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศมากกว่าเงินกู้ต่างประเทศ โดยรวมตัวเลขทั้งภาครัฐและภาคเอกชนด้วย เป็นครั้งแรกของไทย

สรุปก็คือว่าถ้าเรามียุทธศาสตร์การเงินและการทำงานที่ควบคู่กันได้ดี เราจะสร้าง Trust & Confident ให้กับองค์กรของเรา(ซึ่งในที่นี้ก็คือประเทศ) แล้วเราจะเติบโตได้ เพราะจะมีเงินทุนเข้ามาให้เราได้ใช้บริหารและสร้างรายได้อย่างไม่จำกัดครับ วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ"

ปูหนุนจีนตั้งแบงค์ลงทุนโครงสร้างภูมิภาค

เมื่อเวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ โรงแรม Sofitel บาหลี อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นสถานที่ประชุมของผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แสดงวิสัยทัศน์ ในการประชุมผู้นำช่วงที่สอง หรือ Retreat II ในหัวข้อ “วิสัยทัศน์ว่าด้วยความเชื่อมโยงของเอเปคท่ามกลางโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป” ตอนหนึ่งว่าไทยให้ความสำคัญ และสนับสนุนให้เป็นวาระเร่งด่วนของเอเปค ให้ความสำคัญความร่วมมือยังได้ส่งเสริมการเชื่อมโยงทางบกโดยการเสริมสร้างการเชื่อมต่อทางรถไฟระหว่างเอเชียและยุโรป ผ่านเส้นทางสายไหม ทั้งนี้ จะต้องตระหนักถึงเรื่อง ช่องว่างของการเชื่อมโยงในภูมิภาคด้วย

โดยช่องว่างแรกนั้นเกี่ยวเนื่องกับ สาระระบบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ เช่น เอเปคจะต้องมีกฎระเบียบ กระบวนการศุลากากร และธรรมเนียมต่างๆ ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ในส่วนของการบริการที่จะสนับสนุนธุรกรรมต่างๆระหว่างสมาชิก จะต้องส่งเสริมให้มีมาตรฐานเดียวกัน ช่องว่างจากการเชื่อมโยงภายในประเทศที่ โดยไทยมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งไม่เชื่อมโยงแต่เฉพาะไทยกับอาเซียนและภูมิภาคอื่นเท่านั้น แต่ยังสร้างงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วย

ส่วนทรัพยากรที่ใช้ในการเชื่อมโยงนั้นจีนได้เสนอตั้ง “ธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน” และไทยยินดีสนับสนุนความคิดดังกล่าว  ทั้งนี้เอเปคจะต้องร่วมกันรักษาสภาพแวดล้อมเพื่อความมั่นคง และเพื่อให้เอเปคเป็นภูมิภาคที่ไร้พรหม

จี้แจง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ”ให้ชัด

ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภาสมัยสามัญทั่วไป โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา หารือกรณีการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (SWF)ว่า นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องออกมาชี้แจงแนวคิดนี้ เพราะที่ผ่านมาดูเหมือนจะมาเป็นช่วง ผลุบๆโผล่ๆ ล่าสุด นายอำพน กิตติอำพน ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ก็ออกมาพูดเกี่ยวกับแนวคิดนี้ แต่ นายอำพน ก็เป็นคนที่อยู่กับฟากรัฐมนตรีมาก่อน รัฐบาลจะต้องชัดเจนเกี่ยวกับแนวความคิดด้านนี้ว่าจะเอาอย่างไร ด้านหนึ่งจะกู้ 2 ล้านๆบาท อีกด้านหนึ่งก็จะออกมาตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติสัก 1 ล้านๆบาท เพราะวิธีการที่จะนำทุนสำรองของประเทศออกมาก็มีอยู่ 2 วิธีเท่านั้น คือ 1.รัฐบาลออกพันธบัตรเงินบาท นำเงินบาทที่ได้จากตลาดไปแลกเป็นเงินดอลลาร์ออกมา 2.การแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ. ศ. 2551 แยกบัญชีย่อยให้สามารถจัดสรรทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นเท่านั้น

บี้“กบ”แจงล้วงทุนสำรอง หยุดปล้นคลังหลวง

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแสดงความเป็นห่วงต่อโครงการประชานิยมหลายโครงการมีความล้มเหลวและมีแนวโน้มว่าจะเดินหน้าต่อไม่ได้ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลผลาญเงินจนไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาใช้  เป็นที่มาซึ่งทำให้มีการปัดฝุ่นเรื่องกองทุนมั่งคั่งโดย ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งปกติแบงก์ชาติจะมีสามบัญชีหลักประกอบด้วย งบฝ่ายการธนาคาร งบฝ่ายออกบัตรธนาคาร คือพิมพ์ธนบัตร และงบทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ สามบัญชีนี้มีหน้าที่แตกต่างกัน สองบัญชีหลังนั้นเป็นงบในส่วนของการสร้างความมั่นคงเชื่อมั่นให้ประเทศอื่นเชื่อถือเงินสกุลบาทของไทย หากธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้มีอำนาจทางการเมืองคิดนำเงินเหล่านี้ไปลงทุนจะเกิดความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นในเงินสกุลบาทของประเทศไทย

กรณีที่นายอำพน และแบงก์ชาติต้องทำความชัดเจนว่าจะนำเงินส่วนใดมาใช้ เพราะมีความเป็นห่วงมากในกรณีที่นายอำพนบอกจะเอามาลงทุนในโครงการ2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการใข้เงินผิดประเภทและยังเป็นโครงการที่รัฐบาลยอมรับเองว่าไม่คุ้มทุน เท่ากับว่าจะนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเอาอนาคตของประเทศไปเสี่ยงกับโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องชี้แจง เพราะในขณะนี้รัฐบาลเปลี่ยนคำพูดไปเรื่อย ๆ ตอนแรกบอกจะกู้เป็นเงินบาทเกือบทั้งหมด ต่อมาเปลี่ยนเป็นกู้ต่างประเทศ 40 % ของเงินกู้ และตอนนี้ก็จะมาเอาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปใช้ ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วพบว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ปลอดภาระสามารถนำไปใช้ได้มีประมาณ 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลต้องการกู้เงินพอดี จึงแสดงให้เห็นถึงภาวะถังแตกของรัฐบาลจะสร้างความไม่เชื่อมั่นในต่างประเทศ เพราะไม่สามารถหาแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศได้ใช่หรือไม่จึงมาล้วงเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังนำการวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยของเวิลฺ์ดแบงก์ที่มีการลดจีดีพีลงเหลือ 4 %   การส่งออก 2.5% ในเงื่อนไขว่า 4 เดือนที่เหลือจะต้องขยายตัวไม่ต่ำกว่า 4-5 %  แต่ถ้าสี่เดือนหลังเหมือนแปดเดือนแรกการส่งออกอาจจะไม่ถึง 1 % การบริโภคโดยรวม 2.7 % เป็นตัวเลขที่ต่ำมากในสภาพที่ไม่ได้มีอุทกภัยหนัก ๆ แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจกลับตกต่ำอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้ทำให้ไม่มีใครกล้าให้ไทยกู้จึงเอาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้ในเงินกู้ 2 ล้านล้าน คิดปล้นคลังหลวงของประเทศไทย รัฐบาลต้องชี้แจงและหวังว่า แบ๊งก์ชาติจะมีความเป็นมืออาชีพปกป้องผลประโยชน์ประเทศจากรัฐบาลที่มุ่งแต่จะผลาญเงินชาติโดยไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ

อัดรบ.จนแต้ม ยัดข้อมูลเท็จหลอกชาวบ้าน

นายชวนนท์ แถลงอีกว่า การเดินสายจัดนิทรรศการโรดโชว์ 2 ล้านล้านบาท สร้างอนาคตไทย 2020  รัฐบาลพยายามตบตาประชาชนตามหัวเมืองใหญ่ โดยเฉพาะทางภาคอีสาน เช่น ล่าสุดที่จ.หนองคาย โดยในแผนพับที่นำไปเผยแพร่ในงาน มีการเขียนแผนที่รถไฟความเร็วสูงจะไปถึงหนองคาย แต่ข้อเท็จจริงในแผนของรัฐบาลนั้นไปถึงเพียงนครราชสีมา ดังนั้นถือเป็นการโกหกทั้งในสาระ และเนื้อหารวมถึงบริบทการนำเสนอก็บิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างร้ายแรง ซึ่งทางพรรคจะปรึกษาทางฝ่ายกฏหมายว่า การที่รัฐบาลจงใจให้ข้อมูลเท็จกับประชาชน จะเข้าข่ายผิดกฏหมาย และผิดจริยธรรมการบริหารราชการแผ่นดินหรือไม่อย่างไร

แผนงาน2ล้านล. ทุกอย่างรอEHIAก่อน

ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา มีการพิจารณาเรื่องด่วน ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ....ที่สภาผู้แทนราษฏรผ่านความเห็นชอบในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการของวุฒิสภา  เป็นวันที่ 2

นายสุรจิต ชิรเวทย์ สว.สมุทรสงคราม กล่าวว่า แผนงานและยุทธศาสตร์ของรัฐบาลตามร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ยังไม่ผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 57 วรรคสองและการศึกษาผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน (อีเอชไอเอ)ตามมาตรา 67 วรรคสอง ซึ่งเกรงว่าหากรัฐบาลละเลยกระบวนการเหล่านี้อาจจะซ้ำรอยกับโครงการบริหารจัดการน้ำวงเงิน 3.5 แสนล้านบาทที่ศาลปกครองได้มีคำสั่งให้รัฐบาลปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญก่อนดำเนินโครงการ

“เวลานี้อยากทราบว่าแผนสำรองของรัฐบาลคืออะไรหากกฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่านศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ถ้าวุฒิสภาไม่โกหกตัวเองผมคิดว่าเรากำลังก่อหนี้ให้กับประเทศครั้งมหาศาล ที่สำคัญการกู้เงินเป็นการกระทำนอกระบบงบประมาณแต่เวลาใช้หนี้จะต้องใช้งบประมาณแผ่นดินใช้หนี้ไปอีก 50 ปี ในอนาคตครั้งหน้าเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่เรากลับใช้เงินไปจนหมดแล้ว”

การทำโครงการลักษณะนี้ประโยชน์จะตกอยู่กับกลุ่มทุนมากกว่าเพราะราคาที่ดินจะเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่า เช่น โครงการสร้างมอเตอร์เวย์เพื่อเชื่อมต่อระหว่างท่าเรือน้ำลึกเมืองทวายกับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนว่าผลประโยชน์จะตกอยู่กับกลุ่มทุนของไทยและต่างประเทศที่ได้ลงทุนเอาไว้ ตรงนี้เองมีความสงสัยว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือชุมชนอย่างไรหากเกิดอุบัติเหตุระหว่างขนส่งเคมีที่ใช้ในระบบอุตสาหกรรม

ด้าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม กล่าวว่า การผ่านร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ได้หมายความว่าจะอนุมัติโครงการได้เลย เพราะทุกโครงการต้องดำเนินการตามกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องทุกประการ เท่ากับว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟรางคู่จะต้องผ่านการทำอีเอชไอเอก่อน และถ้าโครงการทำอีเอชไอเอไม่ผ่านโครงการนั้นก็ไม่สามารถทำต่อไปได้

เวลา 18.00 น.มติที่ประชุมวุฒิสภา 86ต่อ41 เสียง รับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน2ล้านล้านบาท  โดยงดออกเสียง 8 เสียง โดยให้ตั้งกมธ.พิจารณาฯ 25 คน แปรญัตติภายใน 7 วัน

ปรามาสคำร้อง40ส.ว. เชื่อไม่กระทบ

นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปจะมีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 27 คน ขึ้นมาศึกษาเนื้อหาและเนื่องด้วยเป็นกฎหมายการเงิน เหลือเวลาพิจารณาอีก 14 วัน ตามกฎหมายกำหนด แต่สามารถขยายเวลาได้อีก
ส่วนกรณีกลุ่ม 40 ส.ว.จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านนั้น ประธานวุฒิสภา เห็นว่าเป็นสิทธิที่สามารถทำได้และไม่ถือเป็นอุปสรรค
กำลังโหลดความคิดเห็น