ประเมินทิศทางหุ้นไทยตุลาคม ปัจจัยนอกและในประเทศยังกดดันดัชนีผันผวนรุนแรง กูรูแนะนำลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงน้อย งบดุลแข็งแรง ราคาไม่แพง ชี้กลุ่มธนาคาร สื่อสาร ขนส่ง ท่องเที่ยว และอิเล็กทรอนิกส์ อัตราการปรับตัวเพิ่มดี พร้อมเตือนปัจจัยกระตุ้นบวกเริ่มน้อยลง ขณะเดียวกัน จำนวนหุ้น turnover list ที่ลดลงส่งสัญญาณแม้ตลาดมีความผันผวน แต่ภาวการณ์เก็งกำไรลดลงไปมาก จนหุ้นไทยปลอดภัยจากจากภาวะฟองสบู่
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในเดือนตุลาคมว่า จะยังคงมีความผันผวนอยู่ จากปัจจัยภายนอกประเทศคือ การเจรจาที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ระหว่างพรรคเดโมเครตและรีพับบลิกัน ในการพิจารณางบประมาณปี 2557 และเรื่องการปรับเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ซึ่งการหยุดงานของหน่วยงานรัฐจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งจะเชื่อมโยงกับการพิจารณา QE ที่ทางธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะประชุมในปลายเดือนตุลาคมนี้ โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ เฟด จะคงการมาตรการ QE ออกไปอีก อย่างน้อยจนถึงรอบการประชุมเดือนธันวาคม
ส่วนปัจจัยภายในประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยนั้นได้แก่ร่าง พรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในสภาว่าจะผ่านไปอย่างราบรื่นหรือไม่ และ การยื่นพิจารณาที่มาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในแง่ของตลาดหุ้นเมื่อเกิดความไม่แน่นอนขึ้น จะกดดันทำให้สภาวะตลาดมีการอ่อนตัวและผันผวนรุนแรง นักลงทุนจึงต้องพิจารณาเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย
ทั้งนี้แนวโน้มการลงทุนในไตรมาส 4 จะขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนว่าผลจะออกมาในทิศทางที่บวกหรือลบ ซึ่งจะต้องมองเป็นระดับขั้นไปก่อน ซึ่งถ้ารัฐบาลสหรัฐฯมีการเจรจายุติลงด้วยดีสามารถประนีประนอมกันได้หรือไม่ ส่วนภายในประเทศนั้น พรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้านจะผ่านมติสภาได้หรือเปล่า และจะนำ พรบ.นิรโทษกรรมเข้าสู่สภาในวาระที่ 2 เลยหรือไม่ จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามต่อไป ขณะที่กรอบแนวรับแนวต้าน SET INDEX ในสัปดาห์นี้ จะอยู่ที่ 1,440-1,450 จุด
อย่างไรก็ตามถึงแม้ตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวผันผวนแต่นักลงทุนบางกลุ่ม เช่น ผู้จัดการกองทุน ก็จำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนหุ้นอยู่ในพอร์ต จึงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นพื้นฐานที่สามารถมีกำไรได้ต่อเนื่องในระยะยาวต่อเนื่องในปี 2556-2557 และที่สำคัญงบดุลก็ต้องแข็งแรง แรงราคาก็ไม่แพงมากจนเกินไป
โดยนักวิเคราะห์ได้พิจารณาตามน้ำหนักความน่าลงทุนได้แก่หุ้นกลุ่ม ธนาคาร สื่อสาร ขนส่ง ท่องเที่ยว ที่ได้ประเมินไว้ ถึงแม้จะมีความไม่แน่นอนแต่อุตสาหกรรมเหล่านี้จะมีกำไรที่เติบโตได้ และหากพิจารณาเป็นหุ้นรายตัวสำหรับเดือนตุลาคมโดยหุ้นที่มีความโดดเด่นมีรายได้มั่นคงแน่นอน ได้แก่ CPN ซึ่งมีรายได้จากการบริหารพื้นที่เช่า DELTA ได้อานิสงส์จากตัวเลขส่งออกที่เริ่มฟื้นตัว เห็นชัดเจนตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา INTUCH ที่มีฐานะการเงินและปันผลดี มีสภาพคล่องสูง ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวโรงแรมก็จะเป็น MINT และ VGI ซึ่งมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ส่วนกลุ่มธนาคารในเดือนตุลาคมจะมีการประกาศผลกำไรออกมา ซึ่งธนาคารใหญ่อย่าง KBANK และ KTB จะมีกำไรมากกว่า ส่วนธนาคารขนาดกลางและเล็ก รวมไปถึงที่เกี่ยวกับเช่าซื้อรถยนต์ อาจปรับตัวลดลง
บล.กรุงศรี ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทย ตุลาคมว่า ความเสี่ยงยังไม่จางหาย ตลาดยังมีความผันผวนมาก หลังปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว213 จุด จากจุดต่ำสุดเมื่อ28 ส.ค. ถือเป็น Valuation ที่ไม่ถูกนัก จึงให้ทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานแกร่ง และมีประเด็นบวกเฉพาะตัว รวมทั้งหลีกเลี่ยงการไล่ราคา
ทั้งนี้ประเมินว่า การประชุมเฟด (29-30ต.ค.) นั้นยังคงมีมุมต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเชื่อว่าโอกาสที่เฟดจะปรับลดQE อาจเกิดขึ้นในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ ระหว่างวันที่17-18 ธ.ค. ซึ่งถือ ว่าแนวทางของเฟด ยังเป็นประเด็นอ่อนไหวที่มีผลกระทบต่อ Sentiment ตลาดค่อนข้างมาก นอกจากนี้การขยายเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ หลังจากขึ้นมาแตะเพดาน16.4 ล้านล้านเหรียญ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องขยายเพิ่มขึ้นอีก และต้องทันแล้วเสร็จในกลางเดือนนี้มิเช่นนั้นสหรัฐฯ จะมีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้
ขณะเดียวกันตุลาคมนี้ กำลังเริ่มต้นเข้าสู่การประกาศผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ เบื้องต้นคาดว่ากำไรสุทธิโดยรวมของกลุ่มธนาคารจะเติบโตประมาณ15-20% ทรงตัวจากไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตามสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น อาจเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้น
ทำให้โดยรวมประเมินว่าในเดือนตุลาคมนี้ ดัชนีจะแกว่งตัวแบบsideway ในกรอบ P/E 15-16 เท่า โดยประเด็นขับเคลื่อนในเชิงบวกเบาบางลงไป เหลือเพียงแรงเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส3 อย่างไรก็ตามข้อมูลพบว่าจำนวนหุ้น turnover list ที่ก.ล.ต.ประกาศออกมาในแต่ละสัปดาห์ลดลงเรื่อยๆ หลังจากขึ้นไปแตะจุดสูงสุดเมื่อเดือนมีนาคม ทำให้เชื่อได้ว่าถึงแม้หุ้นไทยยังมีความผันผวนอยู่ แต่ภาวการณ์เก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยลดลงไปมาก และหุ้นไทยน่าจะปลอดภัยจากภาวะฟองสบู่มากพอสมควร
โดยสังเกตระยะห่างเฉลี่ยระหว่างจุดสูงสุดและต่ำสุดของดัชนีในแต่ละวันสูงถึง23จุด จึงแนะนำให้รอซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยทยอยเข้าซื้อในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เพราะมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของผู้ซื้อได้แก่สหรัฐ และยุโรป นอกจากนี้ไตรมาส3ถือเป็นฤดูส่งออกของธุรกิจ โดยมี SVI เป็น Top Pick
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในเดือนตุลาคมว่า จะยังคงมีความผันผวนอยู่ จากปัจจัยภายนอกประเทศคือ การเจรจาที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ระหว่างพรรคเดโมเครตและรีพับบลิกัน ในการพิจารณางบประมาณปี 2557 และเรื่องการปรับเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ซึ่งการหยุดงานของหน่วยงานรัฐจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งจะเชื่อมโยงกับการพิจารณา QE ที่ทางธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะประชุมในปลายเดือนตุลาคมนี้ โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ เฟด จะคงการมาตรการ QE ออกไปอีก อย่างน้อยจนถึงรอบการประชุมเดือนธันวาคม
ส่วนปัจจัยภายในประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยนั้นได้แก่ร่าง พรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในสภาว่าจะผ่านไปอย่างราบรื่นหรือไม่ และ การยื่นพิจารณาที่มาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในแง่ของตลาดหุ้นเมื่อเกิดความไม่แน่นอนขึ้น จะกดดันทำให้สภาวะตลาดมีการอ่อนตัวและผันผวนรุนแรง นักลงทุนจึงต้องพิจารณาเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย
ทั้งนี้แนวโน้มการลงทุนในไตรมาส 4 จะขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนว่าผลจะออกมาในทิศทางที่บวกหรือลบ ซึ่งจะต้องมองเป็นระดับขั้นไปก่อน ซึ่งถ้ารัฐบาลสหรัฐฯมีการเจรจายุติลงด้วยดีสามารถประนีประนอมกันได้หรือไม่ ส่วนภายในประเทศนั้น พรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้านจะผ่านมติสภาได้หรือเปล่า และจะนำ พรบ.นิรโทษกรรมเข้าสู่สภาในวาระที่ 2 เลยหรือไม่ จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามต่อไป ขณะที่กรอบแนวรับแนวต้าน SET INDEX ในสัปดาห์นี้ จะอยู่ที่ 1,440-1,450 จุด
อย่างไรก็ตามถึงแม้ตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวผันผวนแต่นักลงทุนบางกลุ่ม เช่น ผู้จัดการกองทุน ก็จำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนหุ้นอยู่ในพอร์ต จึงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นพื้นฐานที่สามารถมีกำไรได้ต่อเนื่องในระยะยาวต่อเนื่องในปี 2556-2557 และที่สำคัญงบดุลก็ต้องแข็งแรง แรงราคาก็ไม่แพงมากจนเกินไป
โดยนักวิเคราะห์ได้พิจารณาตามน้ำหนักความน่าลงทุนได้แก่หุ้นกลุ่ม ธนาคาร สื่อสาร ขนส่ง ท่องเที่ยว ที่ได้ประเมินไว้ ถึงแม้จะมีความไม่แน่นอนแต่อุตสาหกรรมเหล่านี้จะมีกำไรที่เติบโตได้ และหากพิจารณาเป็นหุ้นรายตัวสำหรับเดือนตุลาคมโดยหุ้นที่มีความโดดเด่นมีรายได้มั่นคงแน่นอน ได้แก่ CPN ซึ่งมีรายได้จากการบริหารพื้นที่เช่า DELTA ได้อานิสงส์จากตัวเลขส่งออกที่เริ่มฟื้นตัว เห็นชัดเจนตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา INTUCH ที่มีฐานะการเงินและปันผลดี มีสภาพคล่องสูง ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวโรงแรมก็จะเป็น MINT และ VGI ซึ่งมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ส่วนกลุ่มธนาคารในเดือนตุลาคมจะมีการประกาศผลกำไรออกมา ซึ่งธนาคารใหญ่อย่าง KBANK และ KTB จะมีกำไรมากกว่า ส่วนธนาคารขนาดกลางและเล็ก รวมไปถึงที่เกี่ยวกับเช่าซื้อรถยนต์ อาจปรับตัวลดลง
บล.กรุงศรี ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทย ตุลาคมว่า ความเสี่ยงยังไม่จางหาย ตลาดยังมีความผันผวนมาก หลังปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว213 จุด จากจุดต่ำสุดเมื่อ28 ส.ค. ถือเป็น Valuation ที่ไม่ถูกนัก จึงให้ทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานแกร่ง และมีประเด็นบวกเฉพาะตัว รวมทั้งหลีกเลี่ยงการไล่ราคา
ทั้งนี้ประเมินว่า การประชุมเฟด (29-30ต.ค.) นั้นยังคงมีมุมต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเชื่อว่าโอกาสที่เฟดจะปรับลดQE อาจเกิดขึ้นในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ ระหว่างวันที่17-18 ธ.ค. ซึ่งถือ ว่าแนวทางของเฟด ยังเป็นประเด็นอ่อนไหวที่มีผลกระทบต่อ Sentiment ตลาดค่อนข้างมาก นอกจากนี้การขยายเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ หลังจากขึ้นมาแตะเพดาน16.4 ล้านล้านเหรียญ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องขยายเพิ่มขึ้นอีก และต้องทันแล้วเสร็จในกลางเดือนนี้มิเช่นนั้นสหรัฐฯ จะมีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้
ขณะเดียวกันตุลาคมนี้ กำลังเริ่มต้นเข้าสู่การประกาศผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ เบื้องต้นคาดว่ากำไรสุทธิโดยรวมของกลุ่มธนาคารจะเติบโตประมาณ15-20% ทรงตัวจากไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตามสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น อาจเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้น
ทำให้โดยรวมประเมินว่าในเดือนตุลาคมนี้ ดัชนีจะแกว่งตัวแบบsideway ในกรอบ P/E 15-16 เท่า โดยประเด็นขับเคลื่อนในเชิงบวกเบาบางลงไป เหลือเพียงแรงเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส3 อย่างไรก็ตามข้อมูลพบว่าจำนวนหุ้น turnover list ที่ก.ล.ต.ประกาศออกมาในแต่ละสัปดาห์ลดลงเรื่อยๆ หลังจากขึ้นไปแตะจุดสูงสุดเมื่อเดือนมีนาคม ทำให้เชื่อได้ว่าถึงแม้หุ้นไทยยังมีความผันผวนอยู่ แต่ภาวการณ์เก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยลดลงไปมาก และหุ้นไทยน่าจะปลอดภัยจากภาวะฟองสบู่มากพอสมควร
โดยสังเกตระยะห่างเฉลี่ยระหว่างจุดสูงสุดและต่ำสุดของดัชนีในแต่ละวันสูงถึง23จุด จึงแนะนำให้รอซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยทยอยเข้าซื้อในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เพราะมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของผู้ซื้อได้แก่สหรัฐ และยุโรป นอกจากนี้ไตรมาส3ถือเป็นฤดูส่งออกของธุรกิจ โดยมี SVI เป็น Top Pick