ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-การปลด “ดร.ตุ้ม”ออกจาก “ปลัดกระทรวงการคลัง ด้วยเหตุผลของ “ความเชื่อใจ”นั้น ยังสร้างความสงสัยให้กับคนหลายคน
ด้วยเพราะว่า “อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม”อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ไม่เคยแสดงอาการกระด้างกระเดื่องกับ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง”และ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”แต่อย่างใด
แต่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา อารีพงศ์ ต้องโยกไปเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
กิตติรัตน์ คนชงเรื่องโดยตรงปฏิเสธว่า “ไม่เกี่ยวข้องกับการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวแน่นอน แต่เป็นไปตามการร้องขอของ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ที่เห็นว่านายอารีพงศ์ เหมาะสมกับตำแหน่งเลขาฯ ก.พ.ร. เนื่องจากต้องทำงานประสานกับราชการทั่วประเทศ ที่ต้องอาศัยบุคคลมีความรู้ ความสามารถ และความเหมาะสมเข้ามาทำงาน”
คำอธิบายแบบเดิมๆ ของนักการเมืองไวต์ไล
เขายังอธิบายว่า “นายพงศ์เทพ ไม่ได้ประสานขอโอนย้ายบุคคลเพื่อมานั่งเลขาฯ ก.พ.ร. จากที่อื่นเลย ประสานมายังกระทรวงการคลังโดยตรง ซึ่งนายอารีพงศ์ ทำงานในตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังมา 3 ปีเศษ ถือว่าทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
สิ่งสำคัญ กิตติรัตน์ ยังเปิดทางให้มีการ“ข้ามห้วย”จากหน่วยงานอื่นมาทำหน้าที่ปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งบ่งบอกถึงการควบคุมได้ของ“ทักษิณ ชินวัตร”
“ปลัดคนใหม่นั้นอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสม ซึ่งจะเป็นคนใน หรือนอก ข้าราชการระดับ 10 หรือ 11 นั้น เป็นไปได้ทั้งหมด เพราะเปิดกว้างสำหรับบุคคลที่มีความเหมาะสมอยู่แล้ว”เดอะโต้งคนปลดเดอะตุ้ม ออกจากตำแหน่งบอกไว้
ไม่แน่อาจจะเห็น “ผู้ว่าราชการจังหวัดมานั่งปลัดกระทวงการคลัง”ก็เป็นได้ !!!
แต่ พงศ์เทพ กลับพูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับกิตติรัตน์ “การโอนย้ายไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเมือง เพราะไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแล ก.พ.ร.”
นั่นทำให้ “เหตุผลเบื้องหลังของปลดปลัดกระทรวงการคลัง” ไม่คลาดแคล้วจาก “ความไม่ไว้เนื้อเชื้อใจ”
ดร.ตุ้ม เกิดที่เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น อยู่ที่นั่นจนอายุ 9 ปี จึงย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศไทย โดยกลับมาเรียนชั้นประถมศึกษา และมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พอจบชั้นมัธยมศึกษา เขาก็ไปเรียนปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ด้านการเงิน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจนจบ ก่อนที่จะโยกไปสอนหนังสือด้านการบริหารธุรกิจ ที่ประเทศแคนาดาอยู่สักระยะ จึงตัดสินใจกลับมารับราชการที่กระทรวงการคลัง
เส้นทางในกระทรวงการคลัง ถูกวางไว้ให้เขาขยับขึ้นเป็นปลัดกระทรวงอยู่แล้ว เมื่อดูโพรไฟล์การศึกษา และการทำงาน
เขาเริ่มต้นจากการเข้ามาเป็นนักวิชาการคลัง 4 กองธนาธิการ กรมบัญชีกลาง ซึ่งดูแลระบบการคลังของประเทศ ก่อนที่จะโยกย้ายไปทำงานที่สำนักงานรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จนได้เป็นผู้บริหารสูงสุดของ สคร. และมาดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญ ในฐานะปลัดกระทรวงการคลัง เมื่อปี 2553 ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์
เป็นตำแหน่งที่กุมความลับทางการเงินของรัฐบาลพอสมควร
อย่างไรก็ตาม หลังจาก อารีพงศ์ ถูกเขี่ยพ้นกระทรวงการคลัง ทำให้ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง อาจจะต้องรักษาการแทนปลัดกระทรวงการคลัง ในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการพิจารณาแต่งตั้งปลัดกระทรวงการคลังคนใหม่
แต่ ชื่อ สุภา นั้นไม่เป็นที่ถูกใจของ กิตติรัตน์ จนถึงขั้นมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนมาแล้ว เพราะเป็นผู้สรุปการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว
“ขณะนี้องค์การคลังสินค้า(อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.)ได้ส่งข้อมูลให้แล้วเพื่อใช้ปิดบัญชี หลังจากได้ปิดบัญชีก่อนหน้านี้ไปแล้วถึง 31 มกราคม 2556 มีผลขาดทุน 1.36 แสนล้านบาท ซึ่งจะขาดทุนเพิ่มเท่าไหร่ ยังบอกไม่ได้ แต่คาดว่าใกล้เคียงข้อมูลของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ที่เคยประมาณการไว้”น.ส.สุภา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว บอกกับนักข่าวถึงการขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวนาปี
เธอยังบอกอีกว่า "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เคยเป็นทั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รมว.การคลัง และประธานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ท่านมีความรู้ดีว่า ผลขาดทุนโครงการเป็นเท่าไร ขอให้ไปดูข้อมูลของท่านที่ทำไว้ "
นั่นหมายความว่า การขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าว มีมากกว่า 2 แสนล้านบาท
“รู้สึกน้อยใจบ้าง แต่หลังจากนี้ก็จะพยายามทำงานในส่วนที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ และทำให้ดีที่สุด เพราะเป็นหน่วยงานสำคัญที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศชาติ และระบบเศรษฐกิจผ่านการจัดสรรงบประมาณให้ส่วนราชการต่างๆ” ดร.ตุ้ม บอกกับนักข่าว
“การเป็นข้าราชการต้องเป็นข้าราชการแบบมืออาชีพ และที่ผ่านมาผมก็ทำงานอย่างเต็มที่ คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติมาโดยตลอด หลังจากไปรับตำแหน่ง เลขาธิการ ก.พ.ร. ก็ยังจะตั้งใจทำงาน และทุ่มเทกับการทำงานในหน้าที่ดังกล่าวอย่างสุดความสามารถ”
“กรณ์ จาติกวณิช”อดีต รมว.คลัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า “การปลดข้าราชการชั้นผู้ใหญ่โดยนักการเมืองนั้น เป็นเรื่องทำได้ แต่การปลดระดับปลัดคลังนั้น ในอดีตถือเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่วันนี้กลับกลายมาเป็นเรื่องธรรมดาที่สังคมไม่แม้แต่ตั้งคำถามว่า กระทำด้วยเหตุผลใด โดยเฉพาะกรณีนายอารีพงศ์นั้น เป็นการปลดกลางอากาศจริงๆ เพราะไม่ได้แต่งตั้งใครขึ้นมาแทน”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า “ที่ผ่านมานายอารีพงศ์ทำตามนโยบายทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่เสี่ยงต่อการขัดกฎหมาย โดยท้วงติงไม่เพียงพอด้วยซ้ำ ทั้งนโยบายรถคันแรก จำนำข้าว หรือ การออกพ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท แต่ก็มีการปลดปลัดฯ ซึ่งเป็นสัญญาณโดยรัฐบาลว่า ทำหน้าที่อย่างเป็นกลางนั้นไม่เพียงพอ ต้องแสดงความเป็นพวกด้วยถึงจะอยู่รอด”
แต่ความเป็น“พวก”นั้นจะต้องแสดงด้วยอะไร
ใส่เสื้อสีแดง กางเกงสีแดง เน็คไทสีแดง หรือต้องเดินทางไปคารวะที่ดูไบ
อย่างไรก็ตาม การปลด ดร.ตุ้ม ยังตามมาพร้อมกับข่าวลือ“ข่าวปลดรัฐมนตรี”รายชื่อที่ถูกกาไว้ คือ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย, นายประชา ประสพดี รมช.มหาดไทย, นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ, นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายสรวงศ์ เทียนทอง รมช.สาธารณสุข
ส่วนบุคคลที่อยู่ในข่ายจะก้าวเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ประกอบด้วย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู, นายวีระวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ ส.ส.กาฬสินธุ์
บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ทุกวันนี้ไม่ต้องทำ“ความดี”กันอีกต่อไปแล้ว...มาทำเรื่องที่ไม่สมควรกันเถอะ !!