xs
xsm
sm
md
lg

แก้ไขรัฐธรรมนูญ กินรวบประเทศไทย

เผยแพร่:   โดย: วิทยา วชิระอังกูร


ผมเคยเขียนถึง “ภาวะยอมจำนน” ของคนไทย ที่กลายเป็นมะเร็งร้ายกัดกร่อนสังคมไทยจนอ่อนแอปวกเปียก ยอมรับการเป็นผู้ถูกกระทำทางการเมือง และยอมรับสิ่งเลวร้ายสารพัดสารพัน แม้กระทั่งบางสิ่งอันที่ต้องใช้คำว่าเลวบัดซบสาริยำ แต่คนไทยก็ทนอยู่กับมันได้อย่างเพิกเฉยและทานทน จนความเลวร้ายสารพัดสารพันบรรดามีเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งเคยชิน และกลายเป็นเป็นสิ่งปกติธรรมดาในสังคมไทยไป

มีเพียงคนไทยส่วนหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนน้อยนิดเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนกับประชากรไทย 60 กว่าล้านคน ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้คัดค้าน เรียกร้องความถูกต้องเป็นธรรมจากกลุ่มก้อนเดียวแต่เดิม ต่อสู้ซ้ำซากยาวนานจนกลับกลายสลายขั้วกระจัดกระจายเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่ยังไม่อาจจะรวบรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ การยืนหยัดต่อสู้ของภาคประชาชนแม้จะสามารถระงับยับยั้งชะลอได้ในบางครั้ง แต่ท้ายที่สุดความเลวร้ายในสังคมไทยส่วนใหญ่ก็ยังลอยนวล และคุกคามทำลายส่วนรวมโดยปรับเปลี่ยนรูปแบบเพทุบายที่หลากหลายแยบยลขึ้น อาศัยช่องโหว่ช่องว่างทางกฎหมายฉ้อฉลกันอย่างลุแก่อำนาจโดยไม่แยแสประเทศชาติและประชาชน

การยินยอมให้นักโทษหนีคดีคนหนึ่ง ยึดกุมอำนาจรัฐโดยตั้งนายกรัฐมนตีหุ่นเชิดขึ้นปกครองประเทศได้ถึง 3 คน 3 วาระ โดยล่าสุดถึงกับบงการให้ตั้งน้องสาวตนเองที่เป็นแค่สมาชิกพรรคเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์หนึ่ง เพื่อขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แบบกล้าท้าทายประกาศอย่างเปิดเผยว่าเป็นโคลนนิ่งของตนเอง ซึ่งก็มีบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่ยอมรับเป็นขี้ข้าแห่ห้อมล้อมอุ้มชูกันอย่างไม่กระดากอาย และสังคมไทยก็เพิกเฉยเสมือนหนึ่งยอมรับระบบวิธีการอันเลวร้ายบัดซบนี้โดยดุษณีย์

ประเทศไทยจึงมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ที่อ่านโพยผิดๆ ถูกๆ พูดจาผิดๆถูกๆ เรียกชื่อเมืองชื่อประเทศเขาผิดๆ ถูกๆ จนเป็นที่น่าอับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลก

การอ้างประชาธิปไตยโดยการเลือกตั้ง และใช้เสียงข้างมากหักดิบ ลงมติปิดการอภิปรายปิดปากฝ่ายค้าน ลงมติผ่านกฎหมายที่ร่างกันตามอำเภอใจ โดยไม่แยแสหลักนิติรัฐนิติธรรม และล่าสุดที่ทำกันอย่างยั่วโทสะความถูกต้องเป็นธรรม คือการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เป็นกันกี่วาระก็ได้ไม่จำกัด ไม่มีการเว้นวรรคการลงรับสมัคร และไม่จำกัดวงศาคณาญาติของ ส.ส.อะไรต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ดีอยู่แล้วของรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่อุดช่องว่างช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เคยสร้างปัญหาในระบบรัฐสภา โดยแก้ให้กลับไปเป็นแบบปี 2540 ดังเดิม ซ้ำร้ายให้มันเลวกว่าปี 2540 โดยการไม่เว้นวรรคการดำรงตำแหน่ง ส.ว.อีกต่อไปด้วยซ้ำไป

ซึ่งคนทั่วไปเขาก็ต่างจับได้ไล่ทันว่า ทั้งหลายทั้งปวงในการเร่งร้อนแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ก็โดยมีเป้าประสงค์จะยึดกุมเสียง ส.ว.จากการเลือกตั้งในอนาคต เพื่อไปยึดกุมการแต่งตั้งอัยการสูงสุด กกต. ป.ป.ช.และองค์กรอิสระต่างๆ รวมทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและต่อไปอาจลุกลามถึงศาลฎีกาที่เขาตั้งเป้าจะแก้กฎหมาย ให้ประธานศาลฎีกาต้องผ่านการคัดสรรรับรองจากรัฐสภาด้วย

โดยสรุปคือการตั้งเป้าจะรวบอำนาจตุลาการมาไว้ในอุ้งมือ หลังจากกินรวบอำนาจบริหารและนิติบัญญัติอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว

ขณะนี้นักโทษหนีคดี จึงสั่งให้รัฐสภาเดินหน้าลุยเต็มสูบ ทั้งการรื้อแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ การร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม พระราชบัญญัติปรองดอง พระราชบัญญัติการกู้เงิน และอีกสารพันกฎหมายที่จะเอื้อประโยชน์ในการกินรวบประเทศไทย

และที่เลวบัดซบแบบให้อภัยไม่ได้ ที่ทำกันจนเคยชินก็คือการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันเป็นว่าเล่น ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นกับ ส.ส.ที่ควรมีวุฒิภาวะรู้ผิดชอบชั่วดี ไม่สมควรกระทำ คราวนี้มีคนเขาถ่ายภาพเคลื่อนไหวจับได้คาหนังคาเขา คงยากที่จะเถลือกไถลแก้ตัวได้อีกต่อไป และนี่เป็นเงื่อนปมสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ชอบธรรมด้วย

และนี่แหละคือประชาธิปไตยที่คนเสื้อแดงและนักวิชาการเสื้อแดงทั้งหลายเรียกร้องและโหยหา โดยยึดเอาแค่การเลือกตั้งเป็นสรณะ ไม่เคยคำนึงถึงหลักการที่ถูกต้องของหลักประชาธิปไตยที่แท้จริงว่า ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ต้องแยกออกจากกัน และถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน

และไม่กี่วันมานี้ก็ดึงดันใช้เสียงข้างมากลงมติผ่านวาระ 3 ไปเรียบร้อยแล้ว ในท่ามกลางการวอล์กเอาต์ของ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านและ ส.ว.ที่ไม่เห็นด้วยอีก 67 คน และมีการวางพวงหรีดที่มีข้อความว่า “สภาทาส” หน้าห้องประชุมรัฐสภา

ส.ส.พรรคฝ่ายค้านและส.ว.ส่วนหนึ่งไปยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าไม่ถูกต้องชอบธรรม ขัดรัฐธรรมนูญ และศาลสั่งให้รับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว

และยังมีการทำหนังสือยับยั้งการดำเนินการทูลเกล้าฯ ถวายร่างกฎหมายที่ยังมี ปัญหานี้ไปยังประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี และเลขาธิการสำนักพระราชวังด้วย

อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกไว้แต่ต้นแล้วว่า ฝ่ายทักษิณที่ประเมินว่าเป็นช่วงขาขึ้น จึงสั่งลุยอย่างเต็มที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีโคลนนิ่ง จึงไม่ต้องใส่ใจต่อคำทักท้วงใดๆ และไม่ลังเลที่จะลงนามทูลเกล้าฯ ร่างแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของ ส.ว.ส่งให้สำนักเลขาธิการรัฐมนตรี ประสานกับสำนักพระราชวังต่อไปโดยไม่ชักช้า

จากนี้ไปอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ก็ขึ้นอยู่กับว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาวินิจฉัยออกมาในรูปแบบใด

สำหรับสังคมไทยและคนไทย ตราบใดที่ยังไม่สามารถขจัดภาวะยอมจำนนให้หมดสิ้นหรือเจือจางลงไปได้บ้าง เราก็ต้องเผชิญกับความเลวร้าย และไม่เป็นธรรมไปอีกนานเท่านาน

                                                                                     ว.แหวนลงยา
กำลังโหลดความคิดเห็น