ลำดับต่อไปหลังจากที่ประชุมร่วมรัฐสภา เมื่อวันเสาร์ที่ 28 ก.ย.56 ลงมติด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น เห็นชอบร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เรื่องที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ในวาระ 3 ด้วยคะแนนเห็นชอบ 358 เสียง ไม่เห็นชอบ 2 เสียง งดออกเสียง 30 เสียง
**ก็คือต้องดูว่า สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะประธานรัฐสภา จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ?
หลังจากที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกวุฒิสภากลุ่ม 40 ส.ว.ได้แยกกันลงชื่อ ทำหนังสือขอให้ประธานสภาฯ ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตามช่องทางรัฐธรรมนูญ มาตรา154 (1) คือ ขอให้ศาลรธน.วินิจฉัยว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไปแล้ว มีความขัดแย้งต่อหลักการ และเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากผู้ยื่นเห็นว่า กระบวนพิจารณา ร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญ และเนื้อหาสาระ มีการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญหลายประการ จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ร่าง รัฐธรรมนูญ ที่แก้ไขเพิ่มเติมเป็นอันตกไป
ซึ่งรธน. มาตรา 154 หัวใจสำคัญก็คือ เป็นบทบัญญัติที่ว่าด้วยการควบคุมการตรากฎหมายที่ขัด หรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ คือ หากส.ส.หรือส.ว.เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับใดที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไปแล้ว และเตรียมส่งให้นายกรัฐมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน ก็ให้ ส.ส.-ส.ว.ใช้สิทธิส่งเรื่องไปยังประธานสภาฯ หรือประธานวุฒิสภา เพื่อให้ส่งคำร้องไปให้ศาลรธน.วินิจฉัย โดยที่เมื่อศาลรธน.รับคำร้องแล้ว นายกรัฐมนตรี ต้องระงับการทูลเกล้าฯ ทันที
แต่ปัญหามันเกิดตรงที่ว่า มาตรา 154 นักกฎหมายหลายคน รวมถึงอดีตสมาชิกสภาร่าง รธน.ปี 50 ก็ออกมาชี้ว่า เป็นบทบัญญัติว่าด้วยเรื่อง”พระราชบัญญัติ” ไม่สามารถนำมาบังคับใช้กับ ”ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” ที่เป็นกฎหมายใหญ่กว่าได้ และการที่รธน.ให้นายกฯ ต้องนำร่างแก้ไขรธน. ขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน หลังรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ก็เป็นเพราะ มาตรา 291 เขียนเอาไว้ชัดว่า ให้ใช้มาตรา 150 ที่เป็นเรื่องการให้นายกฯ นำร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านความเห็นชอบแล้วจากสภาฯ และวุฒิสภา ขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน โดยให้นำมาใช้กับ ร่าง แก้ไขรธน.ได้โดยอนุโลม
ยิ่งฝ่ายกฎหมาย และส.ส.เพื่อไทย ที่ร่วมกันลงมติโหวตให้ความเห็นชอบ ร่าง แก้ไขรธน.ดังกล่าวไปแล้ว เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็ยืนยันว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ ต้องนำร่าง แก้ไขรธน. ขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน นับแต่ได้รับเรื่องจาก สมศักดิ์ ประธานรัฐสภาสถานเดียว ไม่สามารถชะลอได้ ต่อให้ ส.ส.ประชาธิปัตย์ และส.ว.ร่วมกันเข้าชื่อใช้สิทธิตาม มาตรา 154 เพราะไม่สามารถนำ มาตรา 154 มาบังคับใช้กับกรณีนี้ได้
ทำให้ดูแล้ว หากคาดการไม่ผิด “สมศักดิ์” ก็คงยากที่จะส่งหนังสือที่ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน จำนวน 143 คน และส.ว.อีก 68 เข้าชื่อกัน ส่งไปให้ศาลรธน. เมื่อฝ่ายเพื่อไทย มีธงออกมาเช่นนี้ชัดเจนว่า ให้เดินหน้า ท้าทายอำนาจศาลรธน.
ผนวกกับมีการอ้างถึงว่า ก่อนหน้านี้ศาลรธน. ก็เคยมีคำวินิจฉัย เมื่อปี 54 ตอนที่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการแก้ไขรธน.รายมาตรา เรื่อง”ที่มาส.ส.” คือเปลี่ยนจากระบบพวงใหญ่ มาเป็นวันแมนวันโหวต และยกเลิกระบบส.ส.สัดส่วน มาเป็นปาร์ตี้ลิสต์ ตอนนั้นเพื่อไทย โดยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล และ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ได้ยื่นเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 154 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่ง ที่ 4/2554 วันที่ 23 ก.พ. 54 ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย ซึ่งมีผลผูกพันไปทุกองค์กร รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญเอง ดังนั้นศาลรธน. ก็ต้องยึดบรรทัดฐานเดิม
กระนั้นก็พบว่า ฝ่ายประชาธิปัตย์และกลุ่ม 40 ส.ว. ก็แย้งในประเด็นนี้ว่า ที่ยื่นคำร้องไปครั้งนี้ แตกต่างกับตอนปี 2554 เพราะที่ยื่นไปครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ว่า การแก้ไขรธน.ครั้งนี้ นอกจากมีความไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว กระบวนการที่ผ่านมาในการพิจารณา โดยเฉพาะตอนพิจารณา วาระ 2 ก็ไม่ชอบด้วยขั้นตอนดำเนินการ อาทิเช่น การรวบรัดไม่ให้สมาชิกรัฐสภาได้ใช้สิทธิอภิปราย ร่าง แก้ไขรธน.กันอย่างเต็มที่ มีการปิดกั้นการอภิปรายจากประธานในที่ประชุม รวมถึงยังมีการลงคะแนนเสียงแทนกัน อันทำให้เป็นรธน.ที่ผ่านมาโดยไม่ชอบ รวมลักษณะความไม่ชอบมีด้วยกันถึง 9 ประเด็น ที่ส่งไปให้ศาลรธน.วินิจฉัย เพื่อให้ศาลรธน.วินิจฉัยว่า ร่างแก้ไขรธน.ดังกล่าว สมควรให้เป็นโมฆะ
พร้อมกันนี้ ฝ่ายประชาธิปัตย์ และกลุ่ม 40 ส.ว. ก็จะรุกต่อเนื่อง โดยในวันจันทร์ที่ 30 ก.ย. ฝ่ายกลุ่ม 40 ส.ว. ก็จะมีการส่งหนังสือต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งว่า ได้มีการยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 (1) ให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว จึงขอให้นายกฯ หากได้รับ ร่าง แก้ไขรธน. จากประธานรัฐสภาแล้ว ขอให้ชะลอการนำร่างดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วก็ให้ใช้ช่องทางตามรธน. มาตรา 154 (2) ที่เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรี สามารถใช้วิจารณญาณ ส่งร่างแก้ไขรธน.ดังกล่าว ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรอ”สมศักดิ์” ที่พวก 40 ส.ว.บอกว่า จะเป็นการช่วยเซฟตัวยิ่งลักษณ์ เองด้วย
นอกจากนี้ กลุ่ม 40 ส.ว. ก็จะมีการส่งตัวแทนเข้ายื่นหนังสือต่อ สำนักราชเลขาธิการ ว่าได้แจ้งต่อนายกฯ แล้ว ให้ชะลอการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป ดังนั้นหากนายกรัฐมนตรีไม่ยับยั้งการทูลเกล้าฯ และไม่ส่งหนังสือคำร้องไปให้ศาลรธน.วินิจฉัย ตามมาตรา154(2) โดยส่ง ร่าง แก้ไขรธน.ดังกล่าวทูลเกล้าฯ ขึ้นมา ราชเลขาธิการ จะได้มีข้อมูลที่ครบถ้วนรอบด้าน ประกอบวิจารณญาณ ต่อไป
**เรื่องนี้จึงเป็นเผือกร้อนในมือของทั้ง สมศักดิ์ ประธานรัฐสภา และ ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ว่าจะว่าอย่างไร
สมศักดิ์ จะส่งเรื่องของส.ส.ประชาธิปัตย์ และส.ว.ไปให้ศาลรธน.วินิจฉัยตาม มาตรา 154 หรือไม่ หรือว่าจะส่ง ร่าง แก้ไขรธน. ที่ผ่านวาระ 3 ไปแล้วให้นายกฯเลย เพื่อให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามขั้นตอน เพราะเห็นว่าไม่สามารถส่งเรื่องที่ ส.ส.ปชป.-ส.ว. ยื่นเรื่องมาให้ส่งไปยังศาลรธน.ได้ เนื่องจากไม่เข้าตาม มาตรา154 เพราะไม่ใช่ ร่าง พ.ร.บ. ดังนั้นก็ต้องส่งร่างแก้ไขรธน.ไปให้ ยิ่งลักษณ์ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน ไม่สามารถปฏิบัติเป็นอย่างอื่นได้
และต้องดูว่า ตัวยิ่งลักษณ์เอง หากกลุ่ม 40 ส.ว. ที่ร่วมกันลงชื่อดังกล่าว ไปยื่นเรื่องแจ้งให้ทราบว่ามีการลงชื่อ ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภา เพื่อให้ส่งคำร้องไปยังศาลรธน.แล้ว ตัวยิ่งลักษณ์ จะว่าอย่างไร จะเห็นตามที่ฝ่ายกฎหมายเพื่อไทย ยืนกรานว่า ไม่สามารถนำ มาตรา 154 มาบังคับใช้ได้ ในการชะลอการนำร่าง แก้ไขรธน.ขึ้นทูลเกล้าฯ ดังนั้นเมื่อสมศักดิ์ ส่งเรื่องมาแล้ว ก็ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป
แต่เมื่อดูจากท่าทีของสมศักดิ์ ที่ไม่สนใจต่อเสียงเรียกร้องของฝ่ายค้าน และส.ว. ที่ให้เลื่อนการโหวต วาระ 3 ออกไป เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จนถูกส.ส.ปชป. เอาพวงหรีดที่มีข้อความ ”สภาทาส”ไปวางในห้องประชุมสภาฯ
แสดงให้เห็นว่า ยังไงเสีย สมศักดิ์ ก็คงหารือกับคนในเพื่อไทยมาหมดแล้วว่า ให้ลุย ไม่ต้องเกรงอะไรทั้งสิ้น จึงประเมินว่า สมศักดิ์ คงนำร่างแก้ไขรธน.ส่งให้ ยิ่งลักษณ์ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไปแน่นอน ส่วนคำร้องของส.ส.ปชป. และส.ว. ก็อาจส่ง หรือไม่ส่งก็ได้ คือ อาจส่งก็ส่งไปในฐานะคนกลางที่ได้รับเรื่องมา ก็ส่งไป แล้วให้ศาลรธน.ไปว่ากันเอง ว่า เข้ามาตรา 154 หรือไม่ แต่บางส่วนก็มองว่า ก็อาจเป็นไปได้ที่ สมศักดิ์ อาจไม่ส่ง เพราะเห็นว่าไม่เข้าข่าย มาตรา 154 ก็ใช้สิทธิในฐานะประธานสภาฯ อาจไม่ส่งเรื่องไปศาลรธน. ก็ได้
ส่วน”ยิ่งลักษณ์” เมื่อดูจากการที่เดินทางเข้าร่วมโหวต เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมีภารกิจตรวจน้ำท่วมที่ปทุมธานี หากจะเลี่ยงไม่เข้าประชุม ก็อาจทำได้ แต่ก็เดินทางเข้าไปร่วมโหวต แบบหลายคนคาดไม่ถึงคิดว่า ปู จะตีกรรเชียงหนี
ก็แสดงให้เห็นว่า ยิ่งลักษณ์ และทักษิณ ชินวัตร ก็เห็นตรงกันว่า ต้องแสดงภาพ”พร้อมลุย” ให้ส.ส.เพื่อไทย และส.ว.ทั้งหมดได้เห็นว่า ไม่คิดจะหลบเลี่ยง หลีกหนี แต่พร้อมจะลุยไปด้วยกัน เพราะเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทย-พรรคร่วมรัฐบาล-ส.ว. ที่ร่วมกันลงมติเห็นชอบร่างแก้ไขรธน.ดังกล่าว มาตั้งแต่ วาระ1 จนถึงวาระ 3 ทำทุกอย่างถูกต้อง หากจะมีปัญหาอะไรขึ้นภายหลัง ก็พร้อมเผชิญหน้าด้วยกัน แบบนี้ ดูแล้ว ยิ่งลักษณ์ คงหวังซื้อใจพวกเดียวกันให้เห็น ว่าอะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด
** ก็อยู่ที่ ศาลรธน.แล้วว่า หลังจากนี้ พร้อมหรือยังจะเผชิญกับแรงกดดันที่จะเข้ามา กับการเร่งขอให้วินิจฉัยคดีให้เสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะให้ได้ข้อยุติก่อนที่ ยิ่งลักษณ์ จะนำร่างดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ
**ก็คือต้องดูว่า สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะประธานรัฐสภา จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ?
หลังจากที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกวุฒิสภากลุ่ม 40 ส.ว.ได้แยกกันลงชื่อ ทำหนังสือขอให้ประธานสภาฯ ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตามช่องทางรัฐธรรมนูญ มาตรา154 (1) คือ ขอให้ศาลรธน.วินิจฉัยว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไปแล้ว มีความขัดแย้งต่อหลักการ และเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากผู้ยื่นเห็นว่า กระบวนพิจารณา ร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญ และเนื้อหาสาระ มีการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญหลายประการ จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ร่าง รัฐธรรมนูญ ที่แก้ไขเพิ่มเติมเป็นอันตกไป
ซึ่งรธน. มาตรา 154 หัวใจสำคัญก็คือ เป็นบทบัญญัติที่ว่าด้วยการควบคุมการตรากฎหมายที่ขัด หรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ คือ หากส.ส.หรือส.ว.เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับใดที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไปแล้ว และเตรียมส่งให้นายกรัฐมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน ก็ให้ ส.ส.-ส.ว.ใช้สิทธิส่งเรื่องไปยังประธานสภาฯ หรือประธานวุฒิสภา เพื่อให้ส่งคำร้องไปให้ศาลรธน.วินิจฉัย โดยที่เมื่อศาลรธน.รับคำร้องแล้ว นายกรัฐมนตรี ต้องระงับการทูลเกล้าฯ ทันที
แต่ปัญหามันเกิดตรงที่ว่า มาตรา 154 นักกฎหมายหลายคน รวมถึงอดีตสมาชิกสภาร่าง รธน.ปี 50 ก็ออกมาชี้ว่า เป็นบทบัญญัติว่าด้วยเรื่อง”พระราชบัญญัติ” ไม่สามารถนำมาบังคับใช้กับ ”ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” ที่เป็นกฎหมายใหญ่กว่าได้ และการที่รธน.ให้นายกฯ ต้องนำร่างแก้ไขรธน. ขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน หลังรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ก็เป็นเพราะ มาตรา 291 เขียนเอาไว้ชัดว่า ให้ใช้มาตรา 150 ที่เป็นเรื่องการให้นายกฯ นำร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านความเห็นชอบแล้วจากสภาฯ และวุฒิสภา ขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน โดยให้นำมาใช้กับ ร่าง แก้ไขรธน.ได้โดยอนุโลม
ยิ่งฝ่ายกฎหมาย และส.ส.เพื่อไทย ที่ร่วมกันลงมติโหวตให้ความเห็นชอบ ร่าง แก้ไขรธน.ดังกล่าวไปแล้ว เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็ยืนยันว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ ต้องนำร่าง แก้ไขรธน. ขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน นับแต่ได้รับเรื่องจาก สมศักดิ์ ประธานรัฐสภาสถานเดียว ไม่สามารถชะลอได้ ต่อให้ ส.ส.ประชาธิปัตย์ และส.ว.ร่วมกันเข้าชื่อใช้สิทธิตาม มาตรา 154 เพราะไม่สามารถนำ มาตรา 154 มาบังคับใช้กับกรณีนี้ได้
ทำให้ดูแล้ว หากคาดการไม่ผิด “สมศักดิ์” ก็คงยากที่จะส่งหนังสือที่ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน จำนวน 143 คน และส.ว.อีก 68 เข้าชื่อกัน ส่งไปให้ศาลรธน. เมื่อฝ่ายเพื่อไทย มีธงออกมาเช่นนี้ชัดเจนว่า ให้เดินหน้า ท้าทายอำนาจศาลรธน.
ผนวกกับมีการอ้างถึงว่า ก่อนหน้านี้ศาลรธน. ก็เคยมีคำวินิจฉัย เมื่อปี 54 ตอนที่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการแก้ไขรธน.รายมาตรา เรื่อง”ที่มาส.ส.” คือเปลี่ยนจากระบบพวงใหญ่ มาเป็นวันแมนวันโหวต และยกเลิกระบบส.ส.สัดส่วน มาเป็นปาร์ตี้ลิสต์ ตอนนั้นเพื่อไทย โดยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล และ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ได้ยื่นเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 154 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่ง ที่ 4/2554 วันที่ 23 ก.พ. 54 ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย ซึ่งมีผลผูกพันไปทุกองค์กร รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญเอง ดังนั้นศาลรธน. ก็ต้องยึดบรรทัดฐานเดิม
กระนั้นก็พบว่า ฝ่ายประชาธิปัตย์และกลุ่ม 40 ส.ว. ก็แย้งในประเด็นนี้ว่า ที่ยื่นคำร้องไปครั้งนี้ แตกต่างกับตอนปี 2554 เพราะที่ยื่นไปครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ว่า การแก้ไขรธน.ครั้งนี้ นอกจากมีความไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว กระบวนการที่ผ่านมาในการพิจารณา โดยเฉพาะตอนพิจารณา วาระ 2 ก็ไม่ชอบด้วยขั้นตอนดำเนินการ อาทิเช่น การรวบรัดไม่ให้สมาชิกรัฐสภาได้ใช้สิทธิอภิปราย ร่าง แก้ไขรธน.กันอย่างเต็มที่ มีการปิดกั้นการอภิปรายจากประธานในที่ประชุม รวมถึงยังมีการลงคะแนนเสียงแทนกัน อันทำให้เป็นรธน.ที่ผ่านมาโดยไม่ชอบ รวมลักษณะความไม่ชอบมีด้วยกันถึง 9 ประเด็น ที่ส่งไปให้ศาลรธน.วินิจฉัย เพื่อให้ศาลรธน.วินิจฉัยว่า ร่างแก้ไขรธน.ดังกล่าว สมควรให้เป็นโมฆะ
พร้อมกันนี้ ฝ่ายประชาธิปัตย์ และกลุ่ม 40 ส.ว. ก็จะรุกต่อเนื่อง โดยในวันจันทร์ที่ 30 ก.ย. ฝ่ายกลุ่ม 40 ส.ว. ก็จะมีการส่งหนังสือต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งว่า ได้มีการยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 (1) ให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว จึงขอให้นายกฯ หากได้รับ ร่าง แก้ไขรธน. จากประธานรัฐสภาแล้ว ขอให้ชะลอการนำร่างดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วก็ให้ใช้ช่องทางตามรธน. มาตรา 154 (2) ที่เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรี สามารถใช้วิจารณญาณ ส่งร่างแก้ไขรธน.ดังกล่าว ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรอ”สมศักดิ์” ที่พวก 40 ส.ว.บอกว่า จะเป็นการช่วยเซฟตัวยิ่งลักษณ์ เองด้วย
นอกจากนี้ กลุ่ม 40 ส.ว. ก็จะมีการส่งตัวแทนเข้ายื่นหนังสือต่อ สำนักราชเลขาธิการ ว่าได้แจ้งต่อนายกฯ แล้ว ให้ชะลอการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป ดังนั้นหากนายกรัฐมนตรีไม่ยับยั้งการทูลเกล้าฯ และไม่ส่งหนังสือคำร้องไปให้ศาลรธน.วินิจฉัย ตามมาตรา154(2) โดยส่ง ร่าง แก้ไขรธน.ดังกล่าวทูลเกล้าฯ ขึ้นมา ราชเลขาธิการ จะได้มีข้อมูลที่ครบถ้วนรอบด้าน ประกอบวิจารณญาณ ต่อไป
**เรื่องนี้จึงเป็นเผือกร้อนในมือของทั้ง สมศักดิ์ ประธานรัฐสภา และ ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ว่าจะว่าอย่างไร
สมศักดิ์ จะส่งเรื่องของส.ส.ประชาธิปัตย์ และส.ว.ไปให้ศาลรธน.วินิจฉัยตาม มาตรา 154 หรือไม่ หรือว่าจะส่ง ร่าง แก้ไขรธน. ที่ผ่านวาระ 3 ไปแล้วให้นายกฯเลย เพื่อให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามขั้นตอน เพราะเห็นว่าไม่สามารถส่งเรื่องที่ ส.ส.ปชป.-ส.ว. ยื่นเรื่องมาให้ส่งไปยังศาลรธน.ได้ เนื่องจากไม่เข้าตาม มาตรา154 เพราะไม่ใช่ ร่าง พ.ร.บ. ดังนั้นก็ต้องส่งร่างแก้ไขรธน.ไปให้ ยิ่งลักษณ์ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน ไม่สามารถปฏิบัติเป็นอย่างอื่นได้
และต้องดูว่า ตัวยิ่งลักษณ์เอง หากกลุ่ม 40 ส.ว. ที่ร่วมกันลงชื่อดังกล่าว ไปยื่นเรื่องแจ้งให้ทราบว่ามีการลงชื่อ ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภา เพื่อให้ส่งคำร้องไปยังศาลรธน.แล้ว ตัวยิ่งลักษณ์ จะว่าอย่างไร จะเห็นตามที่ฝ่ายกฎหมายเพื่อไทย ยืนกรานว่า ไม่สามารถนำ มาตรา 154 มาบังคับใช้ได้ ในการชะลอการนำร่าง แก้ไขรธน.ขึ้นทูลเกล้าฯ ดังนั้นเมื่อสมศักดิ์ ส่งเรื่องมาแล้ว ก็ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป
แต่เมื่อดูจากท่าทีของสมศักดิ์ ที่ไม่สนใจต่อเสียงเรียกร้องของฝ่ายค้าน และส.ว. ที่ให้เลื่อนการโหวต วาระ 3 ออกไป เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จนถูกส.ส.ปชป. เอาพวงหรีดที่มีข้อความ ”สภาทาส”ไปวางในห้องประชุมสภาฯ
แสดงให้เห็นว่า ยังไงเสีย สมศักดิ์ ก็คงหารือกับคนในเพื่อไทยมาหมดแล้วว่า ให้ลุย ไม่ต้องเกรงอะไรทั้งสิ้น จึงประเมินว่า สมศักดิ์ คงนำร่างแก้ไขรธน.ส่งให้ ยิ่งลักษณ์ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไปแน่นอน ส่วนคำร้องของส.ส.ปชป. และส.ว. ก็อาจส่ง หรือไม่ส่งก็ได้ คือ อาจส่งก็ส่งไปในฐานะคนกลางที่ได้รับเรื่องมา ก็ส่งไป แล้วให้ศาลรธน.ไปว่ากันเอง ว่า เข้ามาตรา 154 หรือไม่ แต่บางส่วนก็มองว่า ก็อาจเป็นไปได้ที่ สมศักดิ์ อาจไม่ส่ง เพราะเห็นว่าไม่เข้าข่าย มาตรา 154 ก็ใช้สิทธิในฐานะประธานสภาฯ อาจไม่ส่งเรื่องไปศาลรธน. ก็ได้
ส่วน”ยิ่งลักษณ์” เมื่อดูจากการที่เดินทางเข้าร่วมโหวต เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมีภารกิจตรวจน้ำท่วมที่ปทุมธานี หากจะเลี่ยงไม่เข้าประชุม ก็อาจทำได้ แต่ก็เดินทางเข้าไปร่วมโหวต แบบหลายคนคาดไม่ถึงคิดว่า ปู จะตีกรรเชียงหนี
ก็แสดงให้เห็นว่า ยิ่งลักษณ์ และทักษิณ ชินวัตร ก็เห็นตรงกันว่า ต้องแสดงภาพ”พร้อมลุย” ให้ส.ส.เพื่อไทย และส.ว.ทั้งหมดได้เห็นว่า ไม่คิดจะหลบเลี่ยง หลีกหนี แต่พร้อมจะลุยไปด้วยกัน เพราะเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทย-พรรคร่วมรัฐบาล-ส.ว. ที่ร่วมกันลงมติเห็นชอบร่างแก้ไขรธน.ดังกล่าว มาตั้งแต่ วาระ1 จนถึงวาระ 3 ทำทุกอย่างถูกต้อง หากจะมีปัญหาอะไรขึ้นภายหลัง ก็พร้อมเผชิญหน้าด้วยกัน แบบนี้ ดูแล้ว ยิ่งลักษณ์ คงหวังซื้อใจพวกเดียวกันให้เห็น ว่าอะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด
** ก็อยู่ที่ ศาลรธน.แล้วว่า หลังจากนี้ พร้อมหรือยังจะเผชิญกับแรงกดดันที่จะเข้ามา กับการเร่งขอให้วินิจฉัยคดีให้เสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะให้ได้ข้อยุติก่อนที่ ยิ่งลักษณ์ จะนำร่างดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ