เอเจนซีส์ – รัฐบาลสหรัฐฯ ส่อเค้า “ถังแตก” ต้องระงับการปฏิบัติงานของข้าราชการหลายแสนคนเป็นการชั่วคราวตั้งแต่วันอังคารนี้ (1 ต.ค.) หลังสภาผู้แทนราษฎรที่ควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน โหวตผ่านร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายชั่วคราวฉุกเฉินซึ่งพ่วงเงื่อนไขชะลอกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข “โอบามาแคร์” โดยไม่ฟังเสียงขู่คว่ำจากวุฒิสภาที่พรรคเดโมแครตมีเสียงข้างมาก และทำเนียบขาว
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติด้วยคะแนน 231-192 ในตอนเช้าวันอาทิตย์ (29) อนุมัติให้บรรจุเงื่อนไขชะลอการบังคับใช้กฎหมายการปฏิรูประบบสาธารณสุข “โอบามาแคร์” ออกไปอีก 1 ปี เข้าไปในร่างกฎหมายงบประมาณใช้จ่ายชั่วคราว ทั้งนี้งบชั่วคราวนี้จะทำให้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลางมีเงินใช้จ่ายเท่ากับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2012/13 ที่หมดอายุลงในวันจันทร์ (30 ก.ย.) ไปพลางก่อนจนกระทั่งถึงวันที่ 15 ธันวาคมนี้
ไม่เพียงเท่านั้น สภาล่างยังโหวตด้วยคะแนน 248-174 ให้ยกเลิกการจัดเก็บภาษีอุปกรณ์การแพทย์ที่มีจุดประสงค์ในการหารายได้ไปอัดฉีดโครงการปฏิรูปโอบามาแคร์ภายใต้กฎหมายปี 2010 โดยถือเป็นเงื่อนไขอีกข้อหนึ่งซึ่งบรรลุไว้ในร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายชั่วคราวเช่นกัน
นอกจากนี้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯลงมติด้วยเสียงเอกฉันท์ เพื่อคงการจ่ายเงินเดือนให้แก่ทหาร กรณีที่รัฐบาลขาดแคลนงบประมาณในการดำเนินการโครงการต่างๆ
สภาล่างยังคงเดินหน้าเช่นนี้ ถึงแม้ ส.ว.แฮร์รี รีด ด ผู้นำเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา กล่าวย้ำในวันเสาร์ (28) ว่า ร่างกฎหมายของสภาล่างซึ่งเป็นการเสี่ยงนำเศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่วิกฤต จะถูกคว่ำในสภาสูงซึ่งกำหนดจะประชุมกันช่วงบ่ายวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่นของอเมริกา
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ยังประกาศใช้สิทธิ์ยับยั้งร่างกฎหมายที่ขัดขวางการปฏิรูประบบสาธารณสุข ซึ่งหากเขากระทำเช่นนั้นจริงๆ ทั้งสภาสูงและสภาล่างต้องรวบรวมเสียงให้ได้ 2 ใน 3 จึงจะสามารถลบล้างอำนาจของประธานาธิบดีได้ ทว่า ในสถานการณ์การเผชิญหน้าระหว่างรีพับลิกันกับเดโมแครตในปัจจุบัน ก็เห็นได้ชัดว่าคงเป็นไปไม่ได้
ในสภาล่างนั้น กว่าที่จะผ่านร่างตามที่พวกผู้นำรีพับลิกันผลักดันได้ ก็ต้องมีการอภิปรายอย่างเผ็ดร้อนตั้งแต่คืนวันเสาร์ลากยาวถึงเช้าวันอาทิตย์ สภาวการณ์เช่นนี้จึงบ่งชี้ว่า มีโอกาสน้อยมากที่ทั้งสองฝ่ายจะทำความตกลงกันใหม่ และผ่านร่างกฎหมายฉบับประนีประนอมกันได้ ก่อนที่ปีงบประมาณปัจจุบันจะสิ้นสุดลงเที่ยงคืนวันจันทร์ (30)
“พวกคุณกำลังถูกจี้โดยกลุ่มทีปาร์ตี้ที่จงเกลียดจงชังประธานาธิบดี และชาวอเมริกันจะไม่มีวันลืมว่า พวกคุณทำให้รัฐบาลต้องระงับการปฏิบัติหน้าที่” เดวิด สก็อตต์ ส.ส.เดโมแครตจากมลรัฐจอร์เจีย ประณามขบวนการต่อต้านรัฐบาลซึ่งเป็นนักการเมืองอนุรักษนิยมสุดขั้วในรีพับลิกัน นำโดยวุฒิสมาชิก เท็ด ครูซ จากเทกซัส และไมค์ ลี จากยูทาห์
“อเมริกันชนควรได้รับโอกาสในการพิจารณาว่า โอบามาแคร์อัปลักษณ์อย่างไร ก่อนที่กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้” จอห์น คัลเบอร์สัน ส.ส.รีพับลิกันจากเทกซัสตะโกนตอบโต้
การประลองกำลังที่มีเดิมพันสูงระหว่างเดโมแครตกับรีพับลิกันระลอกนี้ คาดว่าจะยืดเยื้อไปจนตลอดวันจันทร์ ขณะเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นการโหมโรงสู่การโต้แย้งอย่างดุเดือดในเรื่องต่อไป ซึ่งก็คือ การอภิปรายร่างกฎหมายขยายเพดานการกู้ยืมของรัฐบาล ที่หากไม่ผ่านออกมาภายในกลางเดือนตุลาคม อาจส่งผลทำให้อเมริกาผิดนัดชำระหนี้
ประเด็นโต้แย้งสำคัญในการเผชิญหน้าครั้งนี้คือ “โอบามาแคร์” หรือโครงการปฏิรูประบบสาธารณสุข อันเป็นนโยบายสำคัญของโอบามาที่มุ่งขยายความคุ้มครองด้านสุขภาพไปยังประชาชนนับล้านที่ยังไม่มีประกันสุขภาพ
ทว่า รีพับลิกันโจมตีว่า โอบามาแคร์ที่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นการที่รัฐเข้าไปรุกล้ำบริการรักษาพยาบาลโดยไม่จำเป็น อันจะทำให้ต้นทุนธุรกิจพุ่งโด่งและพนักงานถูกลอยแพ
ขณะเดียวกัน หากไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายอัดฉีดงบประมาณฉุกเฉินเพื่อให้รัฐบาลมีเงินใช้จ่ายในระดับปัจจุบันจนถึงกลางเดือนธันวาคม จะทำให้รัฐบาลต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี ข้าราชการและลูกจ้างของรัฐบาลกลางจำนวนกว่าล้านคนต้องถูกพักงาน
ครั้งสุดท้ายที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องระงับการปฏิบัติหน้าที่คือตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 1995 จนถึงวันที่ 6 มกราคม 1996 เนื่องจากการต่อสู้ระหว่างพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน กับพรรครีพับลิกันที่นำโดยนิวต์ กิงกริช ประธานสภาล่างในขณะนั้น
แต่ผลที่ตามมาคือ ประชาชนลงโทษรีพับลิกันและเลือกคลินตันกลับมาบริหารประเทศอีกครั้งด้วยคะแนนถล่มทลายในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ซึ่งเป็นบทเรียนที่ยังคงฝังใจสมาชิกอาวุโสของรีพับลิกันที่รวมถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร จอห์น โบห์เนอร์
อย่างไรก็ตาม แม้ครั้งนี้โบห์เนอร์พยายามหลีกเลี่ยงการบีบให้รัฐบาลต้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทว่า ไม่สามารถต้านทานสมาชิกเลือดใหม่กลุ่ม “ทีปาร์ตี้” ที่ขยายอิทธิพลในพรรคนับจากชนะการเลือกตั้งในปี 2010
ผู้ช่วยคนหนึ่งของพรรครีพับลิกันฟันธงว่า แนวโน้มที่วุฒิสภาจะปฏิเสธร่างกฎหมายของสภาผู้แทนฯ ขณะที่ปีงบประมาณกำลังจะสิ้นสุดลงภายในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ทำให้สถานการณ์ที่มีโอกาสสูงสุดที่จะเกิดขึ้นก็คือ รัฐบาลต้องระงับการปฏิบัติงานชั่วคราว
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติด้วยคะแนน 231-192 ในตอนเช้าวันอาทิตย์ (29) อนุมัติให้บรรจุเงื่อนไขชะลอการบังคับใช้กฎหมายการปฏิรูประบบสาธารณสุข “โอบามาแคร์” ออกไปอีก 1 ปี เข้าไปในร่างกฎหมายงบประมาณใช้จ่ายชั่วคราว ทั้งนี้งบชั่วคราวนี้จะทำให้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลางมีเงินใช้จ่ายเท่ากับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2012/13 ที่หมดอายุลงในวันจันทร์ (30 ก.ย.) ไปพลางก่อนจนกระทั่งถึงวันที่ 15 ธันวาคมนี้
ไม่เพียงเท่านั้น สภาล่างยังโหวตด้วยคะแนน 248-174 ให้ยกเลิกการจัดเก็บภาษีอุปกรณ์การแพทย์ที่มีจุดประสงค์ในการหารายได้ไปอัดฉีดโครงการปฏิรูปโอบามาแคร์ภายใต้กฎหมายปี 2010 โดยถือเป็นเงื่อนไขอีกข้อหนึ่งซึ่งบรรลุไว้ในร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายชั่วคราวเช่นกัน
นอกจากนี้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯลงมติด้วยเสียงเอกฉันท์ เพื่อคงการจ่ายเงินเดือนให้แก่ทหาร กรณีที่รัฐบาลขาดแคลนงบประมาณในการดำเนินการโครงการต่างๆ
สภาล่างยังคงเดินหน้าเช่นนี้ ถึงแม้ ส.ว.แฮร์รี รีด ด ผู้นำเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา กล่าวย้ำในวันเสาร์ (28) ว่า ร่างกฎหมายของสภาล่างซึ่งเป็นการเสี่ยงนำเศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่วิกฤต จะถูกคว่ำในสภาสูงซึ่งกำหนดจะประชุมกันช่วงบ่ายวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่นของอเมริกา
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ยังประกาศใช้สิทธิ์ยับยั้งร่างกฎหมายที่ขัดขวางการปฏิรูประบบสาธารณสุข ซึ่งหากเขากระทำเช่นนั้นจริงๆ ทั้งสภาสูงและสภาล่างต้องรวบรวมเสียงให้ได้ 2 ใน 3 จึงจะสามารถลบล้างอำนาจของประธานาธิบดีได้ ทว่า ในสถานการณ์การเผชิญหน้าระหว่างรีพับลิกันกับเดโมแครตในปัจจุบัน ก็เห็นได้ชัดว่าคงเป็นไปไม่ได้
ในสภาล่างนั้น กว่าที่จะผ่านร่างตามที่พวกผู้นำรีพับลิกันผลักดันได้ ก็ต้องมีการอภิปรายอย่างเผ็ดร้อนตั้งแต่คืนวันเสาร์ลากยาวถึงเช้าวันอาทิตย์ สภาวการณ์เช่นนี้จึงบ่งชี้ว่า มีโอกาสน้อยมากที่ทั้งสองฝ่ายจะทำความตกลงกันใหม่ และผ่านร่างกฎหมายฉบับประนีประนอมกันได้ ก่อนที่ปีงบประมาณปัจจุบันจะสิ้นสุดลงเที่ยงคืนวันจันทร์ (30)
“พวกคุณกำลังถูกจี้โดยกลุ่มทีปาร์ตี้ที่จงเกลียดจงชังประธานาธิบดี และชาวอเมริกันจะไม่มีวันลืมว่า พวกคุณทำให้รัฐบาลต้องระงับการปฏิบัติหน้าที่” เดวิด สก็อตต์ ส.ส.เดโมแครตจากมลรัฐจอร์เจีย ประณามขบวนการต่อต้านรัฐบาลซึ่งเป็นนักการเมืองอนุรักษนิยมสุดขั้วในรีพับลิกัน นำโดยวุฒิสมาชิก เท็ด ครูซ จากเทกซัส และไมค์ ลี จากยูทาห์
“อเมริกันชนควรได้รับโอกาสในการพิจารณาว่า โอบามาแคร์อัปลักษณ์อย่างไร ก่อนที่กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้” จอห์น คัลเบอร์สัน ส.ส.รีพับลิกันจากเทกซัสตะโกนตอบโต้
การประลองกำลังที่มีเดิมพันสูงระหว่างเดโมแครตกับรีพับลิกันระลอกนี้ คาดว่าจะยืดเยื้อไปจนตลอดวันจันทร์ ขณะเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นการโหมโรงสู่การโต้แย้งอย่างดุเดือดในเรื่องต่อไป ซึ่งก็คือ การอภิปรายร่างกฎหมายขยายเพดานการกู้ยืมของรัฐบาล ที่หากไม่ผ่านออกมาภายในกลางเดือนตุลาคม อาจส่งผลทำให้อเมริกาผิดนัดชำระหนี้
ประเด็นโต้แย้งสำคัญในการเผชิญหน้าครั้งนี้คือ “โอบามาแคร์” หรือโครงการปฏิรูประบบสาธารณสุข อันเป็นนโยบายสำคัญของโอบามาที่มุ่งขยายความคุ้มครองด้านสุขภาพไปยังประชาชนนับล้านที่ยังไม่มีประกันสุขภาพ
ทว่า รีพับลิกันโจมตีว่า โอบามาแคร์ที่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นการที่รัฐเข้าไปรุกล้ำบริการรักษาพยาบาลโดยไม่จำเป็น อันจะทำให้ต้นทุนธุรกิจพุ่งโด่งและพนักงานถูกลอยแพ
ขณะเดียวกัน หากไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายอัดฉีดงบประมาณฉุกเฉินเพื่อให้รัฐบาลมีเงินใช้จ่ายในระดับปัจจุบันจนถึงกลางเดือนธันวาคม จะทำให้รัฐบาลต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี ข้าราชการและลูกจ้างของรัฐบาลกลางจำนวนกว่าล้านคนต้องถูกพักงาน
ครั้งสุดท้ายที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องระงับการปฏิบัติหน้าที่คือตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 1995 จนถึงวันที่ 6 มกราคม 1996 เนื่องจากการต่อสู้ระหว่างพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน กับพรรครีพับลิกันที่นำโดยนิวต์ กิงกริช ประธานสภาล่างในขณะนั้น
แต่ผลที่ตามมาคือ ประชาชนลงโทษรีพับลิกันและเลือกคลินตันกลับมาบริหารประเทศอีกครั้งด้วยคะแนนถล่มทลายในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ซึ่งเป็นบทเรียนที่ยังคงฝังใจสมาชิกอาวุโสของรีพับลิกันที่รวมถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร จอห์น โบห์เนอร์
อย่างไรก็ตาม แม้ครั้งนี้โบห์เนอร์พยายามหลีกเลี่ยงการบีบให้รัฐบาลต้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทว่า ไม่สามารถต้านทานสมาชิกเลือดใหม่กลุ่ม “ทีปาร์ตี้” ที่ขยายอิทธิพลในพรรคนับจากชนะการเลือกตั้งในปี 2010
ผู้ช่วยคนหนึ่งของพรรครีพับลิกันฟันธงว่า แนวโน้มที่วุฒิสภาจะปฏิเสธร่างกฎหมายของสภาผู้แทนฯ ขณะที่ปีงบประมาณกำลังจะสิ้นสุดลงภายในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ทำให้สถานการณ์ที่มีโอกาสสูงสุดที่จะเกิดขึ้นก็คือ รัฐบาลต้องระงับการปฏิบัติงานชั่วคราว