เอเจนซีส์ - โอบามางดแวะมาเลเซียและฟิลิปปินส์ระหว่างเยือนเอเชียสัปดาห์หน้า และยังไม่แน่ว่าจะเข้าร่วมซัมมิตสำคัญในบาหลีและบรูไนหรือไม่ ถือเป็นความเสียหายต่อนโยบาย “ปักหมุด” ในเอเชียของเขา ขณะที่หน่วยงานรัฐหลายแห่งของอเมริกาปิดทำการเป็นวันที่ 2 ในวันพุธ (2 ต.ค.) โดยไม่มีเค้าลางว่า ศึกงบประมาณระหว่างทำเนียบขาวกับรัฐสภาจะหาข้อยุติได้ในเร็ววัน
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา มีกำหนดออกเดินทางจากสหรัฐฯในวันเสาร์ (5) เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ในอินโดนีเซีย และซัมมิตเอเชียตะวันออกที่บรูไน ก่อนเยือนมาเลเซียและฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นหัวใจสำคัญในความพยายามของผู้นำสหรัฐฯที่จะปรับสมดุลในน้ำหนักทางการทูตและทางทหารกันใหม่ โดยที่จะเน้นหนักอาณาบริเวณเอเชีย-แปซิฟิกเพิ่มมากขึ้น
ทว่า เคทลิน เฮย์เดน โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวแถลงเมื่อวันพุธว่า จากสถานการณ์ที่หน่วยงานรัฐหลายแห่งต้องปิดทำการ ทำให้ต้องยกเลิกกำหนดการเยือนมาเลเซียและฟิลิปปินส์ของประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม โอบามาคาดว่า จะสามารถเดินทางเยือนสองประเทศดังกล่าวได้ในระหว่างการรับตำแหน่งสมัยสอง
ในส่วนการร่วมประชุมสุดยอดที่บาหลีและบรูไน ที่โอบามามีเป้าหมายในการผลักดันข้อตกลงการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก รวมทั้งตอกย้ำความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในเอเชียนั้น เฮย์เดนเผยว่า ยังอยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ พร้อมเรียกร้องให้รัฐสภาเร่งแก้ไขความขัดแย้งเพื่อให้หน่วยงานของรัฐเปิดดำเนินการอีกครั้ง
สหรัฐฯ ต้องปิดหน่วยงานรัฐบางส่วนเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีตั้งแต่วันอังคาร (1) หลังจากรัฐสภาไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งด้านงบประมาณได้
สมาชิกพรรคเดโมแครตและสมาชิกอนุรักษนิยมสุดขั้วกลุ่มเล็กๆ ในรีพับลิกันฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร โดยฝ่ายหลังผลักดันอย่างหนักเพื่อต่อรองยอมอนุมัติงบประมาณชั่วคราวฉุกเฉินหลังจากที่ปีงบประมาณ 2012/13 สิ้นสุดลงในตอนเที่ยงคืนวันจันทร์ (30 ก.ย.) แลกเปลี่ยนกับการล้มเลิกหรือชะลอการการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของโอบามาที่ผ่านการรับรองตั้งแต่ปี 2010 เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ชาวอเมริกันนับล้านที่ไม่มีประกันสุขภาพ
รีพับลิกันคัดค้านกฎหมายดังกล่าวที่เรียกขานกันว่า “โอบามาแคร์” สุดกำลัง โดยวิจารณ์ว่า เป็นการสูญเปล่าและลิดรอนเสรีภาพด้วยการบังคับให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องมีประกันสุขภาพ
วันพุธจึงเป็นวันที่ 2 ที่พนักงานลูกจ้างของรัฐบาลกลางจำนวนราว 800,000 คนต้องหยุดงานโดยไม่ได้เงินตอบแทน ซ้ำร้ายยังไม่มีวี่แววว่ารัฐสภาจะตกลงกันได้ในเร็ววัน เนื่องจากทั้งฝ่ายรีพับลิกันและฝ่ายเดโมแครตกับทำเนียบขาวไม่มีทีท่าว่าต้องการเจรจาประนีประนอมเพื่อหาทางออก
โอบามากล่าวหาสส.รีพับลิกันกลุ่มทีปาร์ตี้ว่า “ก่อสงครามศาสนาเชิงอุดมการณ์” ด้วยการตั้งเงื่อนไขผ่านงบประมาณรายจ่ายให้หน่วยงานรัฐบาลแลกกับกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข
ทว่า จอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน ตอบโต้ว่า โอบามาและเดโมแครตต่างหากที่ไม่ยอมเจรจาเพื่อหาทางให้หน่วยงานรัฐบาลสามารถเปิดทำการอีกครั้ง
การเมืองอเมริกันยังคงเป็นอัมพาต หลังจากวุฒิสภาทำตามที่แฮร์รี รีด ผู้นำเสียงข้างมากจากเดโมแครตประกาศไว้ ด้วยการปฏิเสธการร้องขอของสภาล่าง ให้ทั้งสองสภาแต่งตั้งตัวแทนเจรจาอย่างเป็นทางการเพื่อหาทางออกจากวิกฤตงบประมาณ
ศึกครั้งนี้ดูเหมือนเดโมแครตจะมีภาษีดีกว่า โดยผลสำรวจของมหาวิทยาลัยควินนิพิกพบว่า ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 72% ต่อ 22% คัดค้านการใช้การบีบให้หน่วยงานรัฐบางแห่งต้องปิดทำการเพื่อล้มล้างโอบามาแคร์
นอกจากนั้น ร่างกฎหมาย 3 ฉบับของสภาผู้แทนฯ ที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากเสนอเมื่อวันอังคารเพื่อให้หน่วยงานรัฐบางแห่ง ได้แก่ สวนสาธารณะ กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก และบริการของเทศบาลนครวอชิงตัน เช่น การเก็บขยะ เปิดทำการอีกครั้ง ซึ่งเป็นแผนการที่มุ่งหวังหักหน้าเดโมแครตที่ยืนกรานว่า จะไม่เจรจาหาก “ยังถูกปืนจ่อที่ศีรษะ” ก็ถูกสภาสูงปฏิเสธทั้งสามฉบับรวด
เดโมแครตนั้นยืนกรานว่า ไม่เป็นการยุติธรรมที่จะเลือกให้มีบางหน่วยงานเป็น “ผู้ชนะ” ด้วยวิธีนี้ ขณะที่ลูกจ้างพนักงานของรัฐบาลกลางโดยรวมยังคงถูกพักงานโดยไม่ได้ค่าตอบแทน และทั่วประเทศรวมถึงเศรษฐกิจทั้งระบบได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงานรัฐ
ทั้งนี้ เห็นชัดว่าเดโมแครตมองว่าประชาชนส่วนใหญ่กำลังไม่พอใจและกล่าวโทษรีพับลิกันว่าเป็นผู้ผิดที่ทำให้เกิดวิกฤตคราวนี้ขึ้น ดังนั้นจึงใช้วิธีตั้งป้อมขัดขวางทุกความพยายามของรีพับลิกันในการหาทางออกในแบบที่พวกเขาไม่เสียหน้า เพื่อบีบให้โบห์เนอร์ยอมจำนนในที่สุด
โอบามายังเตือนว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลอาจส่งผลร้ายแรงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นในปี 1996 และเพื่อตอกย้ำคำเตือนนี้ ผู้นำทำเนียบขาวได้นัดพบกับประธานบริหารบริษัทชั้นนำบางแห่งของวอลล์สตรีทในวันพุธ