ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เห็นตัวอย่างบิ๊กข้าราชการที่รับใช้ตระกูลชินวัตร ได้ดิบได้ดีกันเป็นทิวแถว บางรายใหญ่ถึงขั้นขึ้นเป็นปลัดกระทรวง บางรายถูกปลด ถูกไล่ ออกจากราชการแล้ว ก็ยังมีโอกาสได้กลับเข้ามามีอำนาจวาสนาอีกครั้ง แต่พวกซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา เป็นข้าแผ่นดิน เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดูเหมือนจะอยู่ยากขึ้นทุกที ไม่เชื่อก็ลองไปถาม นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งถูกโยกมานั่งตบยุงในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี หรือนางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องรัฐบาลปิดตัวเลขสต็อกข้าวไม่ลง ว่าวันนี้ยังอยู่สุขสบายดีอยู่หรือไม่ ?
อาจจะด้วยเหตุนี้ บิ๊กข้าราชการบางรายที่ยังอยากอยู่ในตำแหน่งต่อไปนานๆ จึงเปลี่ยนปรัชญาและแนวทางการทำงานจากการรับใช้ประชาชน ทำงานเพื่อแผ่นดิน มารับใช้นักการเมืองหรือลูกหลานนักการเมืองผู้มีอำนาจ ดังเช่นกรณีของ น.ส.จิตรา พรหมชุติมา ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ที่ถูกสังคมมองว่า เด้งรับออกหน้ามาเชลียร์ นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายท่านอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นช.หนีคดีระหกระเหินอยู่ต่างประเทศ แต่กลับเป็นผู้มีอำนาจตัวจริงในการบริหารประเทศไทย
“พญาโอ๊ค” เหยีบบเมืองปราจีนบุรี ไปตรวจน้ำท่วม เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 56 นั้น ไปด้วยฐานะอะไร เหตุไฉนผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนฯ จึงสละเวลาบริหารราชการแผ่นดินมาต้อนรับพญาโอ๊ค พร้อมกับพานำตรวจสภาพน้ำท่วม หากจะ บอกว่า ก็ “พญาโอ๊ค” อุตส่าห์มีน้ำใจลงมาดูแลทุกข์สุขชาวปราจีนฯ ก็ต้องให้การ ต้อนรับบ้างไม่เห็นจะเป็นอะไร ก็ต้องถามกลับว่า แล้วคนอื่นๆ ที่มีน้ำใจลงไป เยี่ยมชาวปราจีนบุรี แม่เมืองปราจีนฯ ได้ออกมาต้อนรับขับสู้อย่างพญาโอ๊คหรือไม่ ก็เปล่า
ทีมพญาโอ๊คและเพื่อน ที่เดินทางไปแจกน้ำดื่ม ข้าวสารอาหารแห้งให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในอ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี คราวนี้ ไม่ได้เป็นแค่อีเว้นต์สร้างภาพออกสื่อ สร้างความสนใจ สร้างราคาให้แก่ตัวเอง เท่านั้น แต่ยังอวดโอ่ด้วยโดยเรียนท่านผู้ว่าฯ ปราจีนฯ ว่า "หากต้องการสิ่งใด หรือขาดเหลือสิ่งใด ก็สามารถบอกผมได้ จะช่วยเหลือเต็มที่" ไม่นับว่า พญาโอ๊ค ได้ควักเงินบริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ไปยังผู้ประสบภัยน้ำ ท่วมในโอกาสนี้ด้วย แต่ข่าวไม่ได้บอกว่าเท่าไหร่ สมกับฐานะที่ร่ำรวยล้นฟ้า ของลูกชายอดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่
นอกจากนั้น ที่ไอดี Instargram oak_ptt ยังเผยแพร่ภาพการแจกสิ่งของที่จังหวัดปราจีนบุรี โดยมีข้อความว่า "Live update จากกบินทร์บุรีครับ ขอบคุณพี่ๆ จากทางจังหวัด พี่ทหาร และพี่ๆ จากหน่วยงานต่างๆ" และ "วันนี้พาทีมเพื่อนโอ๊ค มาเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่กบินทร์บุรีครับ" ขึ้น Instargram โชว์กิจกรรมช่วยเหลือสังคมกันอย่างนี้แล้วแต่ไม่รู้ว่าของที่นำไปแจกชาวบ้านผู้ประสบภัยน้ำท่วมนั้น เป็นข้าวของที่พญาโอ๊คและเพื่อนๆ ควักเงินส่วนตัวไป จัดซื้อจัดหามา หรือว่าเป็นของหลวงที่จังหวัดจัดให้ แล้วพญาโอ๊ค ก็ไปรับสมอ้างนำไปแจกชาวบ้านเอาหน้าโดยไม่ลงทุนแม้สักแดงเดียว
คล้อยหลังจากนายโอ๊ค ลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมที่ปราจีนบุรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็เอาบ้าง นำทีมนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค นางสาวเยาวลักษณ์ โตอนันต์ ผู้สมัคร สส.ปราจีนบุรี พร้อมทีมงานพรรค เดินทางไปเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วม อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี และมอบเงินจากมูลนิธิเสนีย์ ปราโมทย์ ให้แก่ผู้ประสบภัย พร้อมกับลุยเข้าเยี่ยมประชาชนที่ยังพักอาศัยอยู่ในบ้านท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายไม่หยุด
งานนี้ นอกจากจะแย่งซีนจากผู้นำรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ไม่ย่างกรายไปกรวดน้ำท่วมเป็น กำลังใจให้กับชาวบ้าน กระตุ้นหน่วยงานราชการเร่งมือให้ความช่วยเหลือชาวบ้านเลย ดีแต่แอ่นระแน้ไปเที่ยวต่างประเทศ ชาวบ้านเดือดร้อนเธอหาได้สนใจไม่ แล้ว ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่า เป็นการลงพื้นที่เพื่อมิให้คะแนนนิยมที่มีต่อนายพานทองแท้พุ่งปรี๊ดจนเกินไปหลังจากเสียหน้าที่ถูกลูกชายอดีตนายกฯ ทำคะแนนไปกระบุงโกย
เรียกว่า ทำสงครามสร้างภาพและหาเสียงกับคนปราจีนบุรีกันอย่างดุเดือดทีเดียว
ทั้งนี้ กล่าวสำหรับสถานการณ์น้ำท่วมปีนี้ ถึงแม้จะไม่รุนแรงเท่าปี 54 ที่ผ่านมา แต่น้ำท่วมจ.ปราราจีนบุรีปีนี้ ก็วิกฤตไม่น้อยโดยเกิดจากฝนตกหนักในพื้นที่ส่งผลให้มีน้ำหลากเข้าท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ คือกบินทร์บุรี ศรีมหาโพธิ์ เมืองปราจีนบุรี นาดี ประจันตคาม 39 ตำบล 210 หมู่บ้าน 1 เทศบาลตำบล 7 ชุมชน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 5,293 ครัวเรือน ถนน 20 สายสะพาน 1 แห่งวัด 18 แห่ง โรงเรียน 16 แห่ง นาข้าว 600 ไร่ น้ำไหลเข้าท่วมในเขตตลาดกบินทร์บุรี
ส่วนภาพรวมสถานการณ์น้ำท่วม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ย. 56 ถึงปัจจุบัน เกิดอุทกภัย 27 จังหวัด 172 อำเภอ 926 ตำบล 6,647 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 499,270 ครัวเรือน 1,798,270 คน บ้านเรือนเสียหาย 4,069 หลัง พื้นที่การเกษตรเสียหาย 659,077 ไร่ ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 2 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี และชุมพร
ส่วนจังหวัดอื่นๆ ที่ประสบอุทกภัย เช่น จ.อ่างทอง ปริมาณน้ำได้เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจนล้นตลิ่ง ในบริเวณหมู่ 5 ต.โผงเผง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ชาวบ้านต้องเร่งจับกบที่เลี้ยงไว้หลังบ่อจมน้ำ หลังน้ำที่ทะลักข้ามแนวป้องกันน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ติดริมคลองโผงเผง หมู่ 5 ต.โผงเผง
จ.สุโขทัย เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนชาวบ้านและท่วมนาข้าวในพื้นที่หมู่ 1, หมู่ 2 และหมู่ 3 ต.สามพวง อ.คีรีมาศ ได้รับความเสียหายกว่า 6,000 ไร่ ทำให้เกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวข้าว ด้าน จ.พิจิตร น้ำป่าหลากลงลำคลองสาขา ทะลักเข้าท่วมพื้นที่นากว่า 2,000 ไร่ ชาวนาลงขันจ้างรถแบ็กโฮขุดดิน สร้างคันกั้นน้ำและติดตั้งเครื่องสูบน้ำระบายน้ำออกจากพื้นที่นา
ขณะที่ จ.นครสวรรค์ ฝนที่ตกหนักสะสมประกอบกับน้ำป่าจากเพชรบูรณ์ไหลบ่าเข้าท่วมตลาดเทศบาลอำเภอหนองบัว จ.นครสวรรค์ ย่านการค้าพื้นที่การเกษตรเสียหาย รวมทั้งชาวบ้านเขตอำเภอชุมแสงต้องเร่งเก็บผักตบชวาเพื่อเปิดทางระบายน้ำ ส่วน จ.พระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้วัดพนัญเชิงวรวิหาร ต้องระดมคนงานยกบังเกอร์ป้องกันน้ำท่วม โดยมีท่วมพื้นที่ 10 อำเภอ ได้แก่ บางบาล, เสนา, ผักไห่, บางไทร, พระนครศรีอยุธยา, บางปะอิน, ท่าเรือ และนครหลวง บางปะหันและมหาราช รวมพื้นที่ 80 ตำบล 405 หมู่บ้าน บ้านเรือนริมฝั่ง 12,000 หลังคาเรือน วัด 7 แห่ง
ในภาคอีสาน มีหลายจังหวัดที่ประสบอุทกภัย เช่น อุบลฯ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ โดยที่ จ.อุบลฯ ทางจังหวัดได้ประกาศเขตภัยพิบัติฉุกเฉินกรณีน้ำท่วม แล้ว 16 อำเภอ มีพื้นที่ประสบภัย 67 ตำบล 2 เทศบาล 503 หมู่บ้าน อพยพแล้ว 981 ราย พื้นที่เกษตรกรรมเสียหายกว่า 1.5 แสนไร่ วัด 6 แห่ง โรงเรียน 5 แห่ง บ้านเรือนถูกน้ำท่วมเสียหาย 2,040 หลัง สะพาน 14 แห่ง ถนน 81 สาย
ส่วนศรีสะเกษ ซึ่งเกิดน้ำท่วมในเขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษนั้น มีบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจำนวนทั้งสิ้น 46 ชุมชน 1,720 หลังคาเรือน ขณะนี้ยังไม่สามารถดำเนินการสำรวจและประเมินความเสียหายเป็นตัวเลขได้ ขณะที่ จ.บุรีรัมย์ มีราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย ในพื้นที่อำเภอบ้านกรวด อำเภอละหานทราย และอำเภอปะคำ รวม 1,250 ครัวเรือน
สำหรับพื้นที่ภาคใต้ หลายจังหวัดได้ประกาศเตือนชาวบ้านพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่มให้เฝ้าระวัง เช่น จ.กระบี่ จ.ระนอง เป็นต้น
ถึงแม้อุทกภัยจะเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วทุกภาค แต่ปีนี้ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ปีนี้น้ำจะไม่ท่วมเหมือนปี 2554 เพราะไม่มีน้ำเหนือไหลลงมา แต่สิ่งที่ต้องติดตามหลังจากนี้คือ พายุจาก คาบสมุทรแปซิฟิกที่อาจจะเข้ามาจากนี้ถึงสิ้นปี ที่ตามสถิติจะมีพายุเกิดขึ้น 5-10 ลูก และร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนบน ซึ่งจะมีผลต่อพื้นที่ภาคกลางตอนบน อาทิ ชัยนาท นครสวรรค์ รวมถึงน้ำทะเลหนุนสูงที่สูงกว่าปกติ 10-30 เซนติเมตร ก็จะส่งผลต่อพื้นที่กรุงเทพมหานครโดยเฉพาะฝั่งธนบุรี
อย่างไรก็ตาม ถึงเวลานี้ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ก็ยังไม่แสดงอาการปริวิตกกับปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ แต่อย่างใด ทั้งที่ บางสายเอาแค่ฝนโปรยปรายลงมาก็กลายเป็นทะเลให้รถโต้คลื่นกันแล้ว
นายรอยล จิตรดอน ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ส่งเสียงเตือนโดยประเมินว่า น้ำปีนี้มากกว่าปี 55 แต่ยังน้อยกว่าปี 54 แต่ที่น่ากังวลคือ ในวันที่ 25-29 ก.ย.นี้ มีร่องมรสุมพาดผ่านเข้ามาทางภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างอีกรอบ ซึ่งจะทำให้มีฝนตกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคกลาง กทม.และปริมณฑล และภาคตะวันออก
ส่วนปริมาณน้ำในเขื่อนที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิดคือ เขื่อนขุนด่านปราการชล ซึ่งขณะนี้มีน้ำอยู่ 92% ของความจุ สามารถรับได้อีกแค่ 17 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนลำนางรองมีน้ำอยู่ 81% ของความจุ หากฝนตกลงมาอย่างหนักอีกรอบ จะทำให้น้ำจากเขื่อนลำนางรองจะทะลักออกไปทางจังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนตัวพื้นที่น่า เป็นห่วงคือ จ.อุบลราชธานี ที่จะต้องรับน้ำจาก จ.สุรินทร์ และ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งหากเกิดฝนตกในพื้นที่จะทำให้เกิดน้ำล้นตลิ่งได้
ศึกน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้นระหว่างสองพรรคใหญ่ยังไม่มีเค้าลางให้เห็นในปี นี้ จะมีก็แต่การลุยตรวจน้ำท่วมสร้างภาพระหว่างลูกชายอดีตนายกฯ กับ “หล่อใหญ่” ใครจะได้ใจประชาชนมากกว่า และบรรดาบิ๊กข้าราชการจะเสนอหน้า ชเลียร์กันจนเกินงามอย่างที่เกิดขึ้นที่เมืองปราจีนฯ หรือไม่