ASTVผู้จัดการรายวัน - ก.อุตสาหกรรมสั่ง กนอ.เกาะติดสถานการณ์น้ำใกล้ชิดหวั่น 3 นิคมฯเสี่ยงซ้ำรอยปี 54 ยอมรับ "นิคมฯสหรัตนนคร" อยุธยาเสี่ยงสุดเหตุคันกั้นน้ำคืบแค่ 30% "ผบ.ทอ."สั่ง 3 กองบินอีสานช่วยเหลือ พร้อมเตรียม "C-130” ขนกระสอบทรายทำแนวกั้นน้ำคาดแล้วเสร็จใน 1-2 วันนี้ ด้านน้ำท่วมหลายจังหวัดยังอ่วม
วานนี้ (23 ก.ย.) นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยถึงสถานการณ์นิคมอุตสาหกรรมต่อกรณีน้ำเหนือที่กำลังไหลหลากเข้าท่วมหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยาในขณะนี้ โดยยอมรับว่านิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครใน จ.พระนครศรีอยุธยา มีความเสี่ยงมากที่สุดเพราะยังก่อสร้างคันกั้นน้ำไม่เสร็จเพียงแห่งเดียวจากที่เคยถูกน้ำท่วมเมื่อปี 2554 โดยมีความคืบหน้าการก่อสร้างเพียง 30% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ไปติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแล้ว โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงอย่าง จ.พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และ จ.ปราจีนบุรี
"นิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่เคยเจอปัญหาน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 ที่ทาง กนอ.จับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดขณะนี้มีอยู่ 3 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร และนิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค)"
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ส่วนกระแสข่าวที่ว่าขณะนี้เริ่มมีกระแสน้ำไหลเอ่อไปถึงนิคมไฮเทคกบินทร์ อินดัสเตรียล จ.ปราจีนบุรี แล้วนั้นทางกระทรวงฯยังไม่ได้รับรายงานเข้ามา เนื่องจากเป็นนิคมที่ขยายเพิ่มมาจากนิคมฯบ้านหว้าที่มีประสบการณ์มาแล้ว และตั้งอยู่บนพื้นที่สูง รวมทั้งยังไม่มีการเปิดดำเนินการจึงไม่น่าจะมีปัญหา
ล่าสุด กนอ.ได้รายงานเข้ามาว่าได้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับรองผู้ว่าการไปประจำการเพื่อคอยติดตามสถานการณ์น้ำที่ จ.พระนครศรีอยุธยาอย่างใกล้ชิดแล้ว ขณะเดียวกันก็เตรียมพร้อมเขื่อนกั้นน้ำชุดเคลื่อนที่เร็ว ที่มีความยาว 20 กิโลเมตรจำนวน 1 ชุด ซึ่งขณะนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนกระจายอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมบางพลี นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร เตรียมพร้อมขนส่งไปยังพื้นที่นิคมที่มีความเสี่ยงแล้ว
**ปราจีนบุรีอ่วมน้ำทะลักท่วมเกือบ2ม.
ด้านสถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดยังวิกฤต โดยเฉพาะที่ จ.ปราจีนบุรี หลายอำเภอได้ถูกน้ำท่วมอย่างหนักจนทางจังหวัดได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติน้ำท่วมแล้ว 4 อำเภอ คือ อ.นาดี อ.กบินทร์บุรี อ.ศรีมหาโพธิ และ อ.เมืองปราจีนบุรี โดยระดับน้ำสูงกว่า 1-2 เมตร ทำให้ทางเรือนจำกบินทร์บุรี ต้องขนย้ายผู้ต้องขังไปที่เรือนจำจังหวัดสระแก้ว และเรือนจำจังหวัดปราจีนบุรี และบ้านเรือนถูกน้ำท่วมสูงจำนวนมาก จนประชาชนไม่สามารถพักอาศัยอยู่ภายในบ้านได้ต้องพากันอพยพทิ้งบ้านนำผู้สูงอายุรวมทั้งทรัพย์สินบางส่วนขึ้นเรือของเจ้าหน้าที่เดินทางไปอาศัยอยู่กับบ้านญาติ
เวลา 16.00 น. นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ได้เดินทางมาที่บริเวณเขตเทศบาลตำบลกบินทร์บุรี และเข้าเจรจากับกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกันปิดถนนสุวรรณศร เรียกร้องให้มีการเปิดประตูระบายน้ำที่ประตูน้ำเพชรเอิม ต.วังดาล อ.กบินทร์บุรี เพื่อระบายน้ำที่ท่วมอยู่ในพื้นที่ อ.กบินทร์บุรี เข้าไปในพื้นที่นาของเกษตรกร ซึ่งนายปลอดประสพ ได้รับปากว่าจะดำเนินการให้ ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมพอใจและได้สลายตัวในเวลาต่อมา
**คาดอีก 4-5 วันอยุธยาอ่วมแน่นอน
ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ปริมาณน้ำจากทางเหนือหลายจังหวัดและเขื่อนต่างๆ เร่งระบายทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ป่าสัก ลพบุรี และแม่น้ำน้อย ที่ไหลผ่านอยุธยามีระดับน้ำเพิ่มขึ้น 20-30 ซม.ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน วัดใน จ.พระนครศรีอยุธยา 23 วัดและโบราณสถาน ที่หนักสุด อ.บางบาล แม่น้ำน้อย เป็นคลองสาขาของแม่น้ำเจ้าพระยาไหลเข้าท่วมบ้าน วัด และโรงเรียน ที่วัดอัมพวา หมู่ 1 ต.บางหัก อ.บางบาล น้ำท่วมบริเวณวัด และพระอุโบสถสูงกว่า 1 เมตรต้องขนของหนีน้ำ และที่วัดกอไผ่ หมู่ 3 ต.บางหลวงโดด อ.บางบาล พระและเณรเดือดร้อนต้องเดินลุยน้ำออกบิณฑบาต
นายอุดมศักดิ์ ขาวหนูนา หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำว่า ในพื้นที่ อ.บางบาล ผักไห่ เสนา พระนครศรีอยุธยา บางปะอิน และบางไทร ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น 10-15 ซม.สาเหตุเนื่องจากน้ำผ่านเขื่อนนครสวรรค์ 1,564 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพิ่มขึ้น 108 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ผ่านสิงห์บุรี 2,044 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพิ่มขึ้น 84 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ผ่านอ่างทอง 2,028 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที คลองบางบาล 183 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเพิ่มขึ้น 13 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงมีผลทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอีก คาดว่าจากนี้ไปอีก 4-5 วันน้ำจะเพิ่มขึ้นอีก 50 ซม.
**เมืองสุรินทเริ่มคลี่คลาย-รอบนอกยังอ่วม
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ.สุรินทร์ เริ่มคลี่คลายแล้วโดยเฉพาะพื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์ เหลือเพียงตามชุมชนที่อยู่ติดกับลำห้วยเท่านั้น ในขณะเดียวกันปริมาณน้ำที่ปล่อยออกจากอ่างเก็บน้ำห้วยเสนง ได้ส่งผลกับชาวบ้านที่อยู่ท้ายอ่างอย่างหนักที่บ้านหนองเต่า ซึ่งอยู่ท้ายอ่างเก็บน้ำห้วยเสนง ยังถูกน้ำท่วมขังสูงเกือบ 1 เมตร เจ้าหน้าที่ทหารได้นำเรือท้องแบนเข้าช่วยเหลือชาวบ้าน ในภาพรวม จ.สุรินทร์ แม้ว่าในตัวเมืองน้ำจะลดลงจนเข้าสู่ภาวะปกติแล้วก็ตาม แต่พื้นที่รอบนอกและต่างอำเภอยังถูกน้ำท่วมหนัก เจ้าหน้าที่เร่งเข้าช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมเร่งด่วนแล้ว
**น้ำลำห้วยสำราญทะลักท่วมศรีสะเกษอีก
ส่วน จ.ศรีสะเกษ ยังไม่พ้นวิกฤต หลายชุมชนในเขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษ ยังถูกน้ำจากลำห้วยสำราญล้นตลิ่งเข้าท่วมอีกสูงประมาณ 1-2 เมตร โดยเฉพาะที่ชุมชนโนนสำนักมิตรภาพ เขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษ ต.หญ้าปล้อง อ.เมืองศรีสะเกษ ระดับน้ำได้ไหลเข้าท่วมชุมชนอย่างรวดเร็วและเพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชาวบ้านที่กำลังเก็บข้าวของไม่สามารถขนออกจากบ้านได้ทัน เสียหายทั้งหมด ขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยทางน้ำเร่งช่วยเหลือชาวบ้านในชุมชนอย่างเร่งด่วน เนื่องจากหลายชุมชนอยู่ติดกับลำห้วยสำราญ และเป็นพื้นที่รับน้ำจากเทือกเขาพนมดงรักโดยตรง
นายประทีป กีรติเรขา ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ขณะนี้ จ.ศรีสะเกษมีพื้นที่ประสบอุทกภัยจำนวน 18 อำเภอ 108 ตำบล 1,006 หมู่บ้าน ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจำนวน 75,438 ครัวเรือน 306,596 คน มีชาวบ้านเสียชีวิตแล้วจำนวน 3 ราย ส่วนบริเวณพื้นที่ต้นน้ำ คือ อ.ขุนหาญ และ อ.ภูสิงห์ ระดับน้ำได้ลดระดับลงแล้ว โดยมวลน้ำในขณะนี้กำลังเข้าสู่พื้นที่ตอนกลางของจังหวัด ได้แก่ อ.ขุขันธ์ อ.วังหิน อ.ปรางค์กู่ และ อ.อุทุมพรพิสัย และได้ไหลเข้า อ.เมืองศรีสะเกษ เพื่อลงสู่แม่น้ำมูลที่ อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ต่อไป
**ผู้ว่าฯสระแก้วแจ้ง ปชช.รับมือน้ำท่วม
ที่ จ.สระแก้ว น้ำป่าจากเทือกเขาอุทยานแห่งชาติปางสีดาไหลบ่าท่วมถนนสุวรรณศร สายสระแก้ว-กทม. ข้างที่ทำการขนส่งจังหวัด ระดับน้ำประมาณ 30-50 ซม.นอกจากนี้ คอสะพานคลองลำพุก ม.3 ต.สระขวัญ อ.เมือง ยังถูกน้ำพัดขาดกว้างกว่า 3 เมตร ชาวบ้านต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นชั่วคราว ส่วนสะพานหนองแวง อ.โคกสูง ที่ถูกน้ำพัดคอสะพานขาดก่อนหน้านี้ สามารถสัญจรได้แล้ว หลังเจ้าหน้าที่ได้ทำสะพานแบริ่งเสร็จตั้งแต่วานนี้ และระดับน้ำลดลง เหลือเพียงไม่กี่หมู่บ้านที่เป็นลุ่มต่ำ มีน้ำท่วมขังประมาณ 30 ซม.
นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ซึงได้ติดสถานการณ์น้ำในคลองห้วยพรหมโหด บริเวณสะพานวังชะโด ถนนสายอรัญประเทศ-ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ เนื่องจากปีที่ผ่านมาสะพานแห่งนี้น้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร โดยพบว่าสภาพน้ำขณะนี้ไหลแรง น้ำขึ้นเกือบถึงพื้นสะพาน เหลือไม่ถึง 30 ซม.จึงกำชับนายอำเภออรัญประเทศแจ้งผู้นำชุมชนและชาวบ้าน ต.ท่าข้าม เตรียมรับมือน้ำท่วม รวมทั้งประสานขอกำลังทหารกองกำลังบูรพาเพื่อช่วยเหลือประชาชน คาดว่าจะมีน้ำปริมาณมากไหลเข้ามาในเขตเทศบาลเมืองอรัญประเทศภายใน 1-2 วันนี้
**กรมศิลป์ เฝ้าระวังโบราณสถาน 24 ชม.
นายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักศิลปากร 15 แห่งทั่วประเทศ เฝ้าระวังโบราณสถานสำคัญในแต่ละจังหวัดตลอด 24 ชั่วโมงและให้รายงานทุกวัน ซึ่งจากรายงานข้อมูลล่าสุดโบราณสถานใน จ.พระนครศรีอยุธยาพบว่า บริเวณป้อมเพชรมีไหลเข้ามาท่วมบริเวณป้อม ทางเจ้าหน้าที่ได้นำกระสอบทรายมากั้นและสูบน้ำออกแล้ว นอกจากนี้ที่วัดธรรมาราม ก็มีน้ำท่วมขังเล็กน้อยด้วย
ส่วนสถานการณ์ที่วัดไชยวัฒนารามเจ้าหน้าที่ได้เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง โดยเขื่อนบริเวณวัดไชยวัฒนารามยังสามารถรับปริมาณน้ำได้ 1.5 เมตร ส่วนเขื่อนด้านทิศใต้ของวัดไชยวัฒนารามนั้นตอนนี้เจ้าหน้าที่ได้สร้างเขื่อนดินกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามตอนนี้ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่จัดเตรียมกระสอบทรายไว้ประมาณ 3 หมื่นทั้งนี้ในส่วนโบราณสถานที่จังหวัดอื่นๆ ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีน้ำท่วมและได้รับความเสีย
**ทอ.เว่อร์ใช้เครื่องซี-130ขนกระสอบทราย
ด้าน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ.ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ เพื่อประเมินสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และส่วนที่รับผิดชอบ โดยสั่งการให้ 3 กองบินที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ คือ กองบิน 1 จ.นครราชสีมา กองบิน 21 จ.อุบลราชธานี และกองบิน 23 จ.อุดรธานี เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่และเขตใกล้เคียงที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่รับมวลน้ำก้อนใหญ่ และอาจจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่เป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลเป็นพิเศษ โดยใช้กำลังพลและยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่อย่างเต็มความสามารถ พร้อมทั้งใช้อากาศยานออกตระเวนสำรวจพื้นที่ที่ต้องออกช่วยเหลือและเกิดน้ำท่วมหนัก
ผบ.ทอ.กล่าวด้วยว่า ขณะนี้กองทัพอากาศในส่วนกลาง ได้เตรียมทรายและถุงบรรจุทรายบางส่วน เพื่อใช้ทำเป็นแนวกั้นน้ำ แต่อาจจะไม่เพียงพอต่อความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงอาจจะมีการจัดซื้อจัดหาเพิ่มเติม ก่อนจะลำเลียงโดยใช้เครื่องบิน ซี-130 ที่กองทัพอากาศได้เตรียมไว้ โดยคาดว่าภายใน 1-2 วันนี้จะดำเนินการแล้วเสร็จ
"ได้สั่งการให้ทั้ง 3 กองบินเข้าไปช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนแล้ว แต่ยอมรับว่ากำลังพลของกองทัพอากาศมีน้อย ดังนั้นจึงอาจจะมีความล่าช้าไปบ้าง แต่ยืนยันว่ากองทัพอากาศได้พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ซึ่งในเบื้องต้นได้เตรียมเครื่องบินซี-130 ไว้ลำเลียงกระสอบทรายไปช่วยเหลือประชาชนเฉพาะในพื้นที่รับผิดชอบ 3 กองบินก่อน เพราะมีกำลังพลน้อยจริงๆ”พล.อ.อ.ประจิน กล่าว