ASTV ผู้จัดการรายวัน- หุ้นไทยรีบาวนด์ 19 จุด นักลงทุนประเทศคาดหวังตัวเลขส่งออกไทยพุ่ง บาทอ่อนหนุน เข้าช้อน2.7 พันล้านบาท จากการขายของต่างงชาติ และพอร์ตบล. ด้านโบรกฯมองมีโอกาสรีบาวนด์ต่อ แนะหาจังกวะเข้าเก็งกำไรผลงานไตรมาส3 บจ. ชี้ระยะสั้นยังขาลงจากปัจจัยเพดานหนี้สหหรัฐฯ และQEกดดัน แต่แนวโน้มไตรมาสสุดท้ายหุ้นกกลับเป็นขาขึ้น
ตลาดหุ้นไทยวานนี้(25ก.ย.) ปรับตัวผันผวนทั้งแดนบวกและลบ แต่มีแรงซื้อหนุนเข้ามาในช่วงท้ายของการซื้อขาย จนทำให้ปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.13 จุุด ที่ระดับ 1,436.90 จุด หรือ 1.35% มูลค่าการซื้อขาย 36,602.52 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับปิดการซื้อขาย และต่ำสุดที่ระดับ 1,413.63 จุด
ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ2,587.43 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพพย์(บล.) ขายสุทธิ 783.99 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วไปซื้อสุุทธิ 2,776.15 ล้านบาท และสถาบันซื้อสุทธิ 595.26 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนทั้งแดนบวกและลบ เนื่องจากมีแรงซื้อจากนักลงทุนที่คาดหวังจากเรื่องตัวเลขการส่งออกไทยจะดีขึ้นหลังเศรษฐกิจโลกฟื้น และค่าเงินบาทอ่อน อีกทั้งดัชนีฯ ปรับลดลงไปค่อนข้างมาก จึงมีการรีบาวน์กลับขึ้นมา ส่วนเรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐฯยังไม่มีความคืบหน้า และจะสร้างความกดดันให้้นักลงทุนอีกครั้ง รวมถึงทิศทางของมาตรการ QE จึงแนะนำขายเมื่อหุ้นมีการรีบาวนด์ต่อเพื่อทำกำไร และควรหาจังหวะรับผลดำเนินงานไตรมาส3ของบริษัทจดทะเบียน โดยให้แนวรับที่ 1,415 -1,420 จุด แนวต้านที่ 1,440 - 1,450 จุด
นายกวี ชูกิจเกษม นักกลยุทธการลงทุน บล. กสิกรไทย กล่าวว่า ประเด็นที่นักลงทุนกังวลยังเกี่ยวเนื่องกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะการต่อรองการลดรายจ่ายกับการขยายเพดานหนี้ ซึ่งคาดว่าระดับของการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทย น่าจะเริ่มน้อยลงและมีโอกาสใกล้ฟื้นตัวขึ้นบ้างเล็กน้อย เพราะประเด็นสหรัฐฯ เป็นเพียงความกังวลระยะสั้น และสุดท้ายจะผ่านไปได้ เพราะเป็นเพียงข้ออ้างในการขายทำกำไรมากกว่า
ทั้งนี้ให้ติดตามตัวเลขส่งออกไทยและดุลการค้าเดือนสิงหาคม ที่จะประกาศในวันนี้(26ก.ย.) ซึ่งหากออกมาดีกว่าที่คาด Bloomberg คาดว่ายอดส่งออกโต +0.75% เทียบปีต่อปีจาก -1.48% ปีต่อปี และยอดขาดดุลการค้าลดลงจาก -2.28 พันล้านเหรียญ เหลือ -2.15 พันล้านเหรียญ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตามหากดัชนี SET INDEX หลุดแนวรับลงมาต่ำกว่า 1,428 จุดแนวจะมีแนวรับถัดไปคือ 1,400 จุดหรือ 1,380-1,377 จุด แต่ถึงแม้ว่าจะมีการแกว่งตัวที่แรงกว่าที่คาด แต่ยังมองเป็นการปรับตัวลดลงเพื่อดีดตัวขึ้นต่อในไตรมาสที่ 4 มากกว่า ดังนั้นนักลงทุนควรมองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แล้วรอจังหวะเข้าซื้อตามแนวรับ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นกลุ่มน่าจะมีผลต่อปัจจัยการลงทุนและการฟื้นตัวต่อเนื่องโดยมีหุ้นที่โดดเด่นคือ KCE , HANA ,DELTA
ตลาดหุ้นไทยวานนี้(25ก.ย.) ปรับตัวผันผวนทั้งแดนบวกและลบ แต่มีแรงซื้อหนุนเข้ามาในช่วงท้ายของการซื้อขาย จนทำให้ปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.13 จุุด ที่ระดับ 1,436.90 จุด หรือ 1.35% มูลค่าการซื้อขาย 36,602.52 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับปิดการซื้อขาย และต่ำสุดที่ระดับ 1,413.63 จุด
ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ2,587.43 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพพย์(บล.) ขายสุทธิ 783.99 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วไปซื้อสุุทธิ 2,776.15 ล้านบาท และสถาบันซื้อสุทธิ 595.26 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนทั้งแดนบวกและลบ เนื่องจากมีแรงซื้อจากนักลงทุนที่คาดหวังจากเรื่องตัวเลขการส่งออกไทยจะดีขึ้นหลังเศรษฐกิจโลกฟื้น และค่าเงินบาทอ่อน อีกทั้งดัชนีฯ ปรับลดลงไปค่อนข้างมาก จึงมีการรีบาวน์กลับขึ้นมา ส่วนเรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐฯยังไม่มีความคืบหน้า และจะสร้างความกดดันให้้นักลงทุนอีกครั้ง รวมถึงทิศทางของมาตรการ QE จึงแนะนำขายเมื่อหุ้นมีการรีบาวนด์ต่อเพื่อทำกำไร และควรหาจังหวะรับผลดำเนินงานไตรมาส3ของบริษัทจดทะเบียน โดยให้แนวรับที่ 1,415 -1,420 จุด แนวต้านที่ 1,440 - 1,450 จุด
นายกวี ชูกิจเกษม นักกลยุทธการลงทุน บล. กสิกรไทย กล่าวว่า ประเด็นที่นักลงทุนกังวลยังเกี่ยวเนื่องกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะการต่อรองการลดรายจ่ายกับการขยายเพดานหนี้ ซึ่งคาดว่าระดับของการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทย น่าจะเริ่มน้อยลงและมีโอกาสใกล้ฟื้นตัวขึ้นบ้างเล็กน้อย เพราะประเด็นสหรัฐฯ เป็นเพียงความกังวลระยะสั้น และสุดท้ายจะผ่านไปได้ เพราะเป็นเพียงข้ออ้างในการขายทำกำไรมากกว่า
ทั้งนี้ให้ติดตามตัวเลขส่งออกไทยและดุลการค้าเดือนสิงหาคม ที่จะประกาศในวันนี้(26ก.ย.) ซึ่งหากออกมาดีกว่าที่คาด Bloomberg คาดว่ายอดส่งออกโต +0.75% เทียบปีต่อปีจาก -1.48% ปีต่อปี และยอดขาดดุลการค้าลดลงจาก -2.28 พันล้านเหรียญ เหลือ -2.15 พันล้านเหรียญ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตามหากดัชนี SET INDEX หลุดแนวรับลงมาต่ำกว่า 1,428 จุดแนวจะมีแนวรับถัดไปคือ 1,400 จุดหรือ 1,380-1,377 จุด แต่ถึงแม้ว่าจะมีการแกว่งตัวที่แรงกว่าที่คาด แต่ยังมองเป็นการปรับตัวลดลงเพื่อดีดตัวขึ้นต่อในไตรมาสที่ 4 มากกว่า ดังนั้นนักลงทุนควรมองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แล้วรอจังหวะเข้าซื้อตามแนวรับ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นกลุ่มน่าจะมีผลต่อปัจจัยการลงทุนและการฟื้นตัวต่อเนื่องโดยมีหุ้นที่โดดเด่นคือ KCE , HANA ,DELTA