xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เปิดใจ “มิ้งค์ ปอรรัชม์ ยอดเณร” กับมรสุม “ข่าวลือ” และสัมพันธ์ “บรรหาร ศิลปอาชา”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มิ้งค์ - ปอรรัชม์ ยอดเณร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงปลายปี พ.ศ. 2551 เกี่ยวกับคดียุบพรรคการเมืองส่งผลให้ “มิ้งค์ ปอรรัชม์ ยอดเณร” ในฐานะหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคชาติไทยถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลาถึง 5 ปีเต็ม ในช่วงนั้นผลงานในวงการบันเทิงของมิ้งค์นั้นแทบไม่มีแล้ว เมื่อถูกตัดสิทธิทางการเมือง เราจึงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าของมิ้งค์ตามสื่อต่างๆ ไปโดยปริยาย ตลอดเวลา 5 ปีเต็มที่ผ่านมา อดีตนักแสดง พิธีกร และนักเมืองสาวสวยคนนี้ทำอะไร ตลอดจนถึงข่าวความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย “บรรหาร ศิลปอาชา” ที่มิ้งค์ไม่เคยออกมาแก้ข่าว วันนี้ "ผู้จัดการสุดสัปดาห์” เจาะลึกถึงเรื่องราวที่ไม่เคยออกจากปากเธอมาก่อนให้ได้รู้กันเป็นที่แรกและที่เดียว

+ ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง

จริงๆ ไม่ได้หายไปไหนนะคะ ก็ยังทำงานอยู่ตามปกตินะคะ ที่ทำอยู่หลักๆ จะเป็นงานด้านการสอน จะมีสอนเต้น ศิลปะการเต้นในวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็ทำมาตลอด ยังไม่ได้หยุด แล้วก็จะมีงานสอนนิสิต นักศึกษาในมหาวิทยาลัยน่ะค่ะ ก็เป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยต่างๆ ด้วยค่ะ

+ สอนวิชาอะไร

จะสอนทางด้านนิเทศศาสตร์นะคะ เช่น วิชาที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อ วิชาการสื่อสาร การพัฒนาบุคลิกภาพ สำหรับการสื่อสาร Body Language อะไรต่างๆ เหล่านี้น่ะค่ะ ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารการแสดงและก็วาทะวิทยาน่ะค่ะ ก็ใช้สิ่งที่เรียนมาแล้วก็ประสบการณ์ที่ผ่านงานด้านสื่อมา เอามาแบ่งปันกับเด็กๆ ค่ะ

+ จริงๆ งานสอนเต้นและสอนในมหาวิทยาลัยก็ทำมานานแล้ว

ใช่ค่ะ ก็ทำมาตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าสู่การเมืองแล้วระหว่างการเมืองก็ยังทำอยู่ด้วย จนตอนนี้ถูกพักบทบาททางการเมือง ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองน่ะค่ะ ก็ยังทำอยู่ต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้น่ะค่ะ

+ คุณเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่างานในวงการบันเทิงคงไม่ทำแล้ว

งานด้านบันเทิงก็ไม่ค่อยมีให้ทำแล้วนะคะ เอาตรงๆ เช่น เล่นละคร เพราะมันต้องใช้เวลาเยอะมากในการเล่นละคร เราต้องทุ่มเทน่ะค่ะ แต่ว่างานบันเทิงส่วนอื่นๆ อย่างเช่นการเป็นพิธีกรอะไรแบบนั้นก็ยังมีอยู่ จะเป็นพิธีกรอีเวนต์อะไรต่างๆ แต่ก็จะเป็นอีเวนต์ ที่ไม่ใช่อีเวนต์ที่บันเทิงมาก จะเป็นอีเวนต์ที่วิชาการหน่อย เป็นผู้ดำเนินการเสวนาหรืองานที่เกี่ยวข้องกับวิชาการหน่อยก็จะได้เห็นกันอยู่บ้างประปรายนะคะ ก็รับเรื่อยๆ ไม่ถึงกับหายไปเลย เพราะว่าเราไม่ต้องใช้เวลามากไงคะ แต่ถ้าเล่นละครแบบนี้ก็ไม่ไหวจริงๆ แต่ที่ผ่านมาก็มีละครเวที ก็ไปเล่นละครเวทีด้วย ก็มีบ้างคะ ไม่ถึงกับหายไปเสียหมดเลยสำหรับบันเทิงเพียงแต่ว่าเราเลือกส่วนงานบันเทิงที่เหมาะกับเวลาของเรามากกว่าค่ะ

+ ไม่คิดถึงวงการบันเทิงเหรอ

มันผ่านเวลามาพอสมควรแล้ว อายุก็เยอะขึ้นแล้วถ้าพูดตามตรงนะคะ จะให้มา ยู้ฮู ทีมๆ (หัวเราะ) เด็กๆ ก็คงจะบอกว่าป้า ป้าเป็นอะไรเปล่า (หัวเราะ) ก็คงจะไม่เหมาะกับบทบาทตัวเอง ก็เลยเลือกมาอีกแบบนึงดีกว่าที่เราเริ่มโตขึ้น ที่เราทำกับมัน อยู่กับมันแล้วรู้สึกว่าไม่ขัดเขินดีกว่าค่ะ

+ ดูเหมือนว่าตัวคุณในอดีตกับตอนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

คนที่รู้จักอาจจะเห็นพัฒนาการมั้งคะ ก็เลยไม่ค่อยมีใครทัก แต่ว่าโดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าเราต้องโตขึ้นล่ะ จะสตาฟฟ์ตัวเองอยู่แค่ยู้ฮู ทีม วากุ วากุ ก็คงไม่ไหวแล้ว เท่านั้นเองค่ะ

+ เวลาไปสอนนักศึกษามีคนจำได้ไหมว่าคุณเคยเป็นดารา พิธีกร

น้อยมากค่ะ (หัวเราะ) เด็กๆ คงจะห่างกันเยอะน่ะค่ะ ห่างกันเป็น 10 ปี เขาก็คงจำไม่ค่อยได้แล้วนะคะ ยกเว้นว่าพูดให้ฟังหรือเปิดหนังให้ดูนิดหน่อย เด็กๆ ก็จะ อ๋อ นี่ครูเหรอ ก็มีตกใจ นี่ครูจริงๆ เหรอ ก็มีตกใจบ้าง แต่ก็ใช้สิ่งต่างๆ เหล่านี้แหล่ะค่ะเป็นสื่อในการที่จะสอนเขา ว่าเออเห็นไหมคนเราทำอะไรหลายๆ อย่าง ลองเลือกดู ก็ใช้แบบนี้พลิกวิกฤตมาเป็นโอกาสเลย เอาผลงานเก่าๆ ของตัวเองมาสอนบ้าง แล้วก็เอางานอื่นๆ เหล่านี้มาให้เขาดูบ้าง ให้เขาได้เห็นโลกกว้างเหมือนอย่างที่เราเคยได้เห็นนะคะ แค่นั้นเองไมได้มีประเด็นอะไรเลย

+ ปัจจุบันทำงานทั้ง 7 วันเลยหรือเปล่า

ไม่นะคะ ก็มีวันหยุดพักผ่อนเหมือนกันค่ะ ก็เลือกวันที่ต้องหยุดบ้าง เพราะสภาพร่างกายก็ไม่ค่อยไหวแล้วนะคะ ก็ต้องหยุดพักบ้าง หยุดอยู่เฉยๆ บ้าง ทำงานอยู่กับบ้านบ้าง ไม่ต้องออกไปไหนบ้าง ก็มีเหมือนกัน ไม่ถึงกับเจ็ดวันลุยอย่างเดียวค่ะ

+ ตอนนี้มีครอบครัวหรือยัง

ยังไม่มีครอบครัวเป็นของตัวเอง มีแต่ครอบครัวของคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ (มีแฟนหรือยัง) มีคนที่คบหาอยู่ค่ะ (ยังไม่มีแพลนแต่งงาน) แพลนยังไม่มีค่ะ คงคบหากันไปเรื่อยๆ ก่อน ดูก่อนว่าจะพัฒนาขึ้นหรือพัฒนาลงอย่างไรในอนาคตน่ะค่ะ ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ

+เคยบอกว่าที่บ้านอยากให้แต่งงานตั้งแต่เรียนจบไม่ใช่เหรอ

มันก็เหมือนเป็นความฝันของเด็กสาววัยรุ่นแหล่ะนะว่าเราเรียนจบ เราก็อยากแต่งงานอะไรแบบนั้น แต่ว่าในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเนอะ คนดีดีที่เรารู้สึกว่าเราจะอยู่ด้วยมันก็ไม่ได้หาง่ายๆ เราก็รู้สึกว่า เออ ไม่เป็นไรหรอกใช้เวลาไปเรื่อยๆ พอมาถึงตอนนี้ก็มีแต่คนถามว่า อ้าว อายุเท่านี้แล้วยังไม่คิดจะแต่งงานอีกเหรอ เราก็รู้สึกว่า เออ เรายังแฮปปี้ดีอยู่น่ะค่ะ เรารู้สึกว่าอยู่ตรงนี้เราก็ยังไม่ได้เดือดร้อน แล้วเราก็ยังไม่รู้ด้วยว่าถ้าเรามีครอบครัวต่อไปในอนาคตเราจะรับผิดชอบดูแลได้หรือเปล่า มันเป็นเรื่องที่เราต้องคิดเยอะน่ะ เพื่อนๆ หลายคนแต่งงานมีลูกแล้ว ก็เห็นว่า โอ้โห พอเป็นแม่คนแล้วนี่ทุกคนนี่เปลี่ยนบทบาทไปหมดอย่างสิ้นเชิง เราก็รู้สึกว่า โอ้ย ตายแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้หรือเปล่า ก็เลย ไม่ต้องรีบแล้วกัน ถ้ามันถึงเวลาจริงๆ ก็ให้มันเป็นไปตามเวลาน่ะค่ะ

+อยากมีลูกไหม

ไม่ค่อยอยากนะคะ โดยส่วนตัวแล้ว(หัวเราะ)

+ อีกไม่นานก็จะพ้นกำหนดการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองแล้ว คิดจะกลับมาทำงานการเมืองอีกไหม

คงต้องรอดูโอกาสก่อน ถ้ามีโอกาสก็คงจะได้ทำงานในบทบาทหน้าที่ที่ใกล้เคียงกับการเมือง ก็คงต้องดูก่อนน่ะค่ะ แต่ว่างานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็กึ่งๆ เป็นการเมืองอยู่พอสมควร เช่น งานสอน แล้วก็มีโอกาสเป็นวิทยากร ไปบรรยายเรื่องการพัฒนาผู้นำ การสื่อสารสำหรับผู้นำอยู่บ้างน่ะค่ะ ทุกครั้งที่สอน โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยก็จะพยายามสอดแทรกเรื่องสิทธิ หน้าที่ การเป็นพลเมือง ก็จะสอดแทรกเรื่องเหล่านี้เข้าไปอยู่ในเนื้อหาของการสอนด้วยนะคะ

เพราะเรามองว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวนะคะ โดยส่วนตัวมีความเชื่อว่าการเมืองมันเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก แล้วเราสามารถทำได้ แล้วยิ่งพอเรามีโอกาสได้ทำงาน ได้มีประสบการณ์จริงกับทางการเมืองด้วย ได้มาอยู่ในแวดวงการศึกษาด้วย มันเลยยิ่งรู้สึกว่าทุกอย่างมันขาดออกจากกันไม่ได้เลยน่ะค่ะ ดังนั้นเราก็เลยพยายามที่จะสอดแทรกอะไรเหล่านี้ลงไป เพราะเราชื่อว่าการศึกษามันก็คือการพัฒนาคน คนก็ต้องไปพัฒนาประเทศ พัฒนาประชาธิปไตยต่อไป เราก็เลยคิดว่าอยู่ตรงไหนเราก็ทำงานได้ แต่ว่าทำในบทบาทหน้าที่ที่มันเหมาะสมกับโพซิชั่นหรือตำแหน่งที่เราวางตัวเองเอาไว้ แบบนั้นน่าจะเป็นนิยามในการทำงานการเมืองของตัวเองมากกว่าที่จะต้องมีตำแหน่งทางการเมืองจริงจังมากกว่าค่ะ

+ หมายความว่าคุณไม่ได้มุ่งหวังที่จะกลับไปมีตำแหน่งทางการเมือง

ใช่ค่ะ ถ้ามีโอกาส แล้วเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมหรือว่าเป็นส่วนงานที่เราถนัดและทำได้อย่างที่ผ่านมาก็คงจะมีโอกาสได้ทำ แต่ว่าถ้าเป็นตำแหน่งงานที่ไม่เหมาะสมเพราะเราเริ่มรู้แล้วค่ะ พอเราเข้าไปก็เริ่มรู้ว่าเราทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นงานที่ไม่เหมาะหรือว่าไม่ถนัดก็คงจะไม่รับที่จะทำ เพราะคิดว่าถ้าทำแล้วไม่ดีก็ไม่ทำดีกว่า(หัวเราะ)

+ พอได้มาทำงานการเมืองจริงๆ แล้วเป็นอย่างที่เคยคิดเอาไว้หรือเปล่า

พอมาทำงานการเมืองมันได้เห็นอะไรที่เป็นของจริงมากขึ้นนะคะ เห็นภาพการเมืองจากที่เราคิดแค่ว่า เรารู้สึกอึดอัด เราอยากทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง อยากทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง คิดใหญ่เกินตัว พอได้มาสัมผัสจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่า เออ บางอย่างทำด้วยตัวเราคงไม่ได้แล้วล่ะ มันต้องอาศัยหลายๆ คนแต่ว่ายังโชคดีที่งานในส่วนการเมืองที่มิ้งค์สัมผัสมันก็เป็นส่วนที่เรามีความถนัด คุ้นเคย อย่างเช่น ได้อยู่ในส่วนของการเป็นโฆษก เช่น เป็นรองโฆษกพรรค เป็นโฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มันก็อยู่ในส่วนของสื่อที่หนึ่ง เราใกล้ชิด เรารู้ธรรมชาติของสื่อ เราได้มีโอกาสศึกษาทฤษฎีต่างๆ ทางด้านสื่อ เราก็เลยเลือก เพราะเราเข้าใจ เราก็เลยอยู่กับตรงนี้ได้ เราไม่รู้สึกอึดอัดมากเท่าไหร่ แต่ถามว่ามีอะไรที่นอกเหนือจากการควบคุมได้ไหม มันมีเยอะแยะไปหมด มันมากกว่างานด้านบันเทิงที่เราเคยเห็นมา มันไม่สามารถใช้ทฤษฎีอะไรมาอธิบายได้น่ะค่ะ เราก็ต้องทำใจยอมรับและเข้าใจมันมากกว่า อันนี้ก็คือการที่เราเข้าสู่วงการการเมือง

ก็ต้องบอกว่าขอบคุณคุณแบมที่ให้โอกาสตรงนี้น่ะค่ะ ให้เข้ามาทำงานกับคุณแบมในกองโฆษกของพรรคชาติไทย พอเข้ามาปุ๊บก็ได้ตำแหน่ง ได้ความไว้วางใจให้ทำงานกับคุณแบมเลย ก่อนที่จะไปตัดสินใจลงสมัครเลือกตั้งอะไรก็เกิดขึ้นทีหลัง ก็เลยรู้สึกว่า เออ มันเป็นงานที่ไม่ไกลตัวเราเกินไป แต่ต้องบอกว่าเรื่องจริงมันยิ่งกว่านิยายน่ะค่ะ การเมืองจริงๆ มันยิ่งกว่านิยาย มันมีอะไรน้ำเน่าที่เราเล่ากันว่าการเมืองน้ำเน่า โอ้โห มันเน่ากว่านั้นอีกเยอะ แล้วก็เป็นของจริงด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องที่พูดๆ กันเท่านั้นน่ะค่ะ

+ เรื่องจริงที่คุณเจอในวงการการเมืองทำให้คุณท้อใจบ้างไหม

มันทำให้เข้าใจมากกว่าค่ะ ทำให้เข้าใจระบบการทำงานมากกว่าว่าเออ โดยตัวเราคนเดียวเราคงทำอะไรไม่ได้เยอะมากไปกว่านั้น แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า แล้วเราจะทำอะไรที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเราคนเดียวมากกว่า อันนี้เป็นสิ่งที่เราได้จากการเมือง การเข้าไปมีประสบการณ์ตรงนี้มากๆ ไม่ใช่เราเป็นคนเปลี่ยนโลกน่ะค่ะ เราไม่ได้เป็นมือที่ไปผลักแล้วโลกมันเปลี่ยน แต่เราต้องเปลี่ยนตัวเราเองให้มันเป็นไปตามโลกแล้วก็วางจุดที่เราจะสามารถอยู่ตรงนั้นได้โดยที่เราไม่เปลี่ยนอุดมการณ์มากกว่า เลยเลือกที่จะมาทำด้านการสอนน่ะค่ะ เพราะว่ารู้สึกว่า เออ นี่แหล่ะเป็นจุดที่เราทำได้ แล้วเราก็เข้าถึงมัน แล้วเราก็เข้าใจ แล้วเราก็สามารถที่จะสร้างอะไรใหม่ๆ ด้วยตัวเราเอง หรือว่าเราเห็นอะไรใหม่ๆ น่ะค่ะ ก็เลยได้จุดนี้มามากกว่าค่ะ

+ การร่วมงานกับคุณบรรหารเป็นอย่างไรบ้าง

ก็ดีนะคะ ฯพณฯ ท่านบรรหารเป็นหัวหน้าหรือเราเรียกว่าท่านเป็นหัวหน้าพรรค บทบาทของเราก็คือท่านเป็นหัวหน้าพรรค เราเป็นลูกพรรค หรือเหมือนกับเป็นผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างนี้น่ะค่ะ ทำงานที่ได้รับมอบหมายตามวาระที่ได้รับมอบให้ดีที่สุดเท่านั้นน่ะค่ะ อย่าทำให้พลาดเพราะว่าฯพณฯ ท่านบรรหารนี่เป็นคนที่มีความละเอียดอ่อนมากนะคะ แล้วก็ท่านจะลงลึกในทุกข้อมูล เลยต้องส่งผ่าน ซึ่งไม่ใช่เราเป็นคนส่งได้เองด้วย ต้องส่งไปให้หน้าห้องท่าน ท่านจะต้องตรวจงานตามลำดับขั้นน่ะค่ะ จะไม่มีการข้ามขั้นเด็ดขาด ทำงานจะต้องไม่ผิดพลาดก็ได้เรียนรู้จากท่านหลายอย่างในเรื่องของการทำงานที่ละเอียดรอบคอบน่ะค่ะ

+ เกร็งไหม

แรกๆ ก็ไม่ได้เกร็งนะคะ เพราะว่าอยู่ห่างจากท่านมากน่ะค่ะ คือไม่ได้ไปใกล้ชิดเพราะว่างานในส่วนของเราก็คือจะอยู่ในส่วนโฆษก แล้วถ้ามีเรื่องอะไรก็จะเสนอ ผ่านคุณแบม ผ่านท่านนิกร ตามลำดับขั้นขึ้นไป คือเราไม่มีสิทธิ์ที่จะสนทนาหรือเข้าไปคุยกับท่านโดยตรงได้ง่ายนักน่ะค่ะ ต้องผ่านหลายขั้นตอน ก็เลยไม่ได้เกร็งอะไรมาก แต่ว่าการทำงานทำให้อึดอัดไหม ก็ไม่อึดอัดนะคะ เพราะเวลาเข้าประชุมก็เข้าประชุมร่วมกันทั้งหมด ทั้งพรรคน่ะค่ะ ทุกระดับเลย ท่านหัวหน้าก็จะเป็นประธานของที่ประชุมน่ะค่ะ แล้วก็ไล่ระดับมา เป็น ส.ส. กรรมการบริหารพรรคจนถึงสมาชิกพรรค ก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินมากแต่ว่าเราก็ไม่ได้ใกล้ชิดมากน่ะค่ะ

+ หลังจากที่เกิดข่าวระหว่างคุณกับคุณบรรหารไปเป็นอย่างไรบ้าง

พอได้ยินข่าวแล้วมันขำมากน่ะค่ะ มันเป็นเรื่องตลกน่ะ เพราะมันไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะเกิดขึ้น มันมีโอกาสศูนย์เปอร์เซ็นต์น่ะค่ะ ทุกคนในวงการเมือง พี่ๆ ที่อยู่ในพรรค หรือว่าพี่ๆนักข่าวสายการเมืองที่ได้รับข่าวเขาก็จะโทร. มาคุยแล้วก็ขำๆ ว่าเฮ้ย หน้าเหมือนเหรอ หรืออะไรแบบนี้น่ะค่ะ กลายเป็นเรื่องตลก ทุกคนเห็นอยู่ตลอดเวลาว่าในระหว่างการทำงาน เราทำงานแบบไหน เราทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ สุจริต โปร่งใสน่ะค่ะ พี่ๆ ทุกคนก็เห็นอยู่ คนในวงการเมือง เพื่อนๆ ที่เป็น ส.ส. ทุกคนก็จะ เออ อย่าคิดมากนะ ขำๆ นะ เหมือนกับว่าเป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อะไรทุกคนก็ทราบอยู่ว่ามันเป็นจุดประสงค์เพื่อการดิสเครดิตท่าน ในเรื่องของการที่ท่านเดินหน้าเรื่องสภาปฏิรูป แล้วก็เพียงแค่เหมือนกับมันต้องหาจำเลยหรือต้องหาแพะรับบาปมาสักคน มาบูชายัญ เพื่อให้มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แล้วบังเอิญเราคงจะไปหน้าเหมือนหรืออะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน ก็เลยถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ก็เลยรู้สึกว่าข่าวที่มันไม่มีความจริง ไม่รู้ว่าจะต้องปฏิเสธยังไง เพราะมันไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้น่ะค่ะ แล้วมันก็ไม่มีแหล่งข้อมูลที่จะยืนยันได้ชัดเจนว่าเรื่องนี้มาจากไหน

แต่ที่มันบั่นทอนอีกอย่างก็คือมันไมได้กระจายเฉพาะอยู่ในวงการเมือง วงการเมืองทุกคนรู้ดี ทุกคนก็จะตลกกับมันแล้ว หรือถ้าได้มีโอกาสดูเทปที่ฯพณฯ ท่านบรรหารให้สัมภาษณ์นะคะ ก็จะเห็นว่าพอเขาพูดถึงเรื่องโฆษก ท่านก็ขำกลิ้งเลย คือมันไม่มีโอกาสเป็นไปได้ไง ทุกคนก็ เออ เข้าใจว่าเอาไปโยงได้ยังไง แต่เรื่องที่มันบั่นทอนคือมันกระจายไปสู่วงที่ไม่ใช่การเมือง แล้วที่น่าเสียใจก็คือมีการเสิร์ทประวัติการศึกษา ประวัติครอบครัวที่พาดพิงถึงคนอื่น ในเสิร์ชเอนจิ้นอินเทอร์เน็ต นำไปผนวกด้วย ซึ่งมันมีผลกระทบ คือถ้าเป็นข่าวมิ้งค์คนเดียวมิ้งค์ไม่ซีเรียสเพราะว่าเราต้องทำใจอยู่แล้วค่ะ เข้ามาอยู่ไม่ว่าจะวงการบันเทิงหรือวงการการเมืองมันต้องมีข่าวอยู่แล้ว จะข่าวดี ข่าวไม่ดี แล้วแต่วาระไปนะคะ แต่พอเข้ามาอยู่วงการเมืองนี่ต้องทำใจหนักเลยล่ะ เพราะว่าข่าวดีน้อยมากที่จะเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าระหว่างเวลานั้นเราประคองตัวเอง เรารู้สึกว่าเราเชื่อมั่นว่าเราทำอะไรบ้าง เราไม่ทำให้เกิดข่าวแน่นอน ไม่มีข่าวด้านลบขึ้นมาเพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เข้าไป เราไม่ได้เข้ามายืนเพื่อมีข่าวหรือมีวัตถุประสงค์แอบแฝงจากการทำงานการเมือง

ทีนี้พอมันมีข่าวไปพาดพิงคนสำคัญในครอบครัว คุณแม่หรือว่าพาดพิงสถาบันการศึกษา เลยมีผลกระทบกับคนรอบตัวเรา เขาเริ่มหวั่นไหวกับกระแสที่โถมเข้ามากับเขามากๆ โดยที่เขาไม่ได้ตั้งตัวที่จะรับมือไว้ก่อน มันก็มีบ้างที่จะเครียดหรือรู้สึกบั่นทอน เราก็ต้องเข้าใจกัน ให้กำลังใจกันและกัน แล้วก็เข้าใจว่ามันคือธรรมชาติของสื่อ ของข่าว ของการทำงานในวงการการเมืองตรงนี้ ซึ่งถามว่ามันโอเคไหม ก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเหมือนกัน ต่อบุคคลที่ไม่ได้เกี่ยว แต่สุดท้ายถ้าทุกคนที่ใกล้ชิดหรือรู้จักเราเข้าใจ มันก็น่าจะโอเค น่าจะเป็นการยุติหรือจบได้แล้ว ในความรู้สึกนะคะ ก็เลยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องออกมาพูดอะไรหรอกเพราะว่าคนที่ไม่ได้รับข่าวก็มีอีกเยอะแยะเลย คนที่ไม่รู้เรื่องเลย ไม่ทราบข่าว ไม่ได้รับเลย ไม่มีข่าวนี้เลยอยู่ในหัวก็มีอีกเยอะ คนที่รู้ก็รู้ ถ้ารู้แล้วมีฟีดแบ็กโทร. มาถาม คนที่รู้จักกันนะคะ โทร. มาถาม เจอกันบ้าง หรือบางทีผู้ปกครองของนักเรียนก็มีบ้างที่จะมาถามหรือให้กำลังใจว่า แหม ครูเราเจอกันทุกอาทิตย์เลยนะ เราก็เห็นอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร คุณพ่อคุณแม่ก็จะให้กำลังใจในส่วนนั้นมากกว่า ก็รู้สึกว่าน่าจะพอแล้วสำหรับเราน่ะ เพราะทุกคนที่อยู่รอบตัว ใกล้ชิด รู้จักเรา เห็นตัวเป็นๆ เข้าใจ เราก็รู้สึกว่าพอแล้วล่ะ ไม่ต้องไปพูดอะไรหรอก ยิ่งพูดไป เดี๋ยวยิ่งต่อความยาวสาวความยืด เกิดใครยังไม่รู้ข่าว พอมาเห็นแล้วไปค้นต่อ มันก็เหมือนไม่จบน่ะค่ะ ก็เลยรู้สึกว่าอย่างนั้นเราก็อยู่อย่างเข้าใจดีกว่า พอแล้ว ก็เลยเลือกที่จะไม่ออกมาแถลง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขอบคุณ ASTV ผู้จัดการมากๆ ที่อุตส่าห์ได้ข่าวแล้วสนใจจนมาสอบถาม เพราะเรารู้สึกว่า ASTV เป็นสื่อที่เชื่อมั่นน่ะ เป็นสื่อที่มีผู้ที่ติดตามสื่อสำนักนี้มากพอสมควร แล้วการที่ได้มาสอบถามเราแบบนี้ทำให้ข่าวนี้มันกระจ่างชัดมากขึ้น ก็หวังว่าจะเป็นสื่อที่จะส่งผ่านไปยังสื่ออื่นๆ ที่ไม่ใช่สื่อด้านการเมืองทำให้ทุกคนสามารถที่จะได้รับข้อมูลอีกด้านหนึ่ง แต่ถามว่าจะให้ทุกคนเชื่อเหมือนกับที่เราเชื่อหรือว่าคนใกล้ชิดเราเชื่อได้ไหม มันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้อ่ะนะ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนจะต้องคิดเหมือนกัน แต่ว่าอย่างน้อยก็เปิดใจที่จะรับฟังคนอื่นได้แล้วกันว่าที่ผ่านมาปอรรัชม์เป็นอย่างไร ทำอะไรบ้าง ก็ต้องขอบคุณมากที่ยื่นมือเข้ามาในจุดนี้ ถือเป็นสื่อมวลชนที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ที่สามารถที่จะนำเสนอข้อมูลรอบด้านให้กับประชาชนน่ะค่ะ ขอบคุณมากๆ จริงๆ ค่ะ




กำลังโหลดความคิดเห็น