ASTV ผู้จัดการรายวัน - "จรัมพร"เชื่อผลประชุมQEคาดกระทบตลาดหุ้นน้อยกว่าช่วงพฤษภาคม ส่วนพอร์ตโบรกฯ ชี้มีSROดูแลอยู่แล้ว ฟันธงไม่มีพลังมากพอ เพราะเทรดรวมไม่ถึง20%ของมูลค่าตลาด ส่วนอนาคตอาจปรับลดวงเงินให้เทรดได้ไม่ให้เกิน 50% ขณะที่พรบ.เงินกู้ 2ล้านล้าน หากไม่ผ่านสภากระทบตลาดทุนแค่ระยะสั้น ล่าสุดหุ้นไทยพักฐานปิดลบ 1.33 จุด โบรกฯมองP/E แตะ15เท่าแพงเกิน แนะชะลอลงทุน คาดปรับฐานต่อ
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า จากกรณีการซื้อขายผันผวนที่ผิดปกติในช่วงเวลา 15.30-16.00 น. หรือแก็งค์ 4 โมงเย็นนั้น ทาง ตลท. ได้หารือร่วม 3 ฝ่ายกับทั้งทาง ก.ล.ต. และสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์ในการออกกฏข้อระเบียบเพื่อควบคุมการซื้อขาย โดยสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) เป็นองค์กรกำกับดูแลตนเองหรือ SRO (Self Regulatory Organization) อยู่แล้ว ซึ่งมีกฏเกณฑ์ระเบียบข้อปฏิบัติ และทำหน้าที่กำกับดูแลสมาชิกของตนเอง ซึ่งมีหลักการที่สำคัญคือ จะต้องกำกับดูแลสมาชิกอย่างเท่าเทียมกัน เป็นธรรม โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และมีกลไกที่ปกป้องคุ้มครองผู้ลงทุน
ทั้งนี้จากเดิมที่พอร์ตโบรกฯจะทำการซื้อขายหุ้นได้ 75% ทาง ตลท.อาจจะปรับลดลงเหลือไม่ให้เกิน 50% เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตลาดโดยรวม และกลุ่มนักลงทุนประเภทต่างๆ อย่างไรก็ดีมองว่าถึงแม้ว่าจะมีกฏควบคุมการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์ ที่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย หรือควบคุมวงเงินการซื้อขายต่อวัน ก็จะไม่กระทบต่อวอลุ่มเทรดในตลาดให้ผันผวน เนื่องจากหากพิจารณาภาพรวมตลาดแล้วกลุ่ม Prop Trad มียอดเฉลี่ยซื้อขายต่อวันไม่เกิน 20% ของมูลค่าตลาดรวม ซึ่งถ้าหาก ตลท.จะออกมาตรการควบคุมมากจนเกินไป อาจทำให้สูญเสียสภาพคล่องต่อนักลงทุนต่างประเทศได้
ในขณะที่นักลงทุนกลุ่มซื้อขายรายวัน Day Trad จากการตั้งข้อสังเกตุไม่ได้มีการซื้อขายผิดปกติแต่อย่างใด ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด ไม่ได้มีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นหรือลดลงจนผิดปกติ
ส่วนความวิตกกังวลต่อการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟด ต่อมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE (Quantitative Easing) ที่จะประชุมในวันที่ 17-18 กันยายนนี้ เชื่อว่า อาจจะไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากนักลงทุนและนักพยากรณ์เศรษฐกิจได้วิเคราะห์ออกมาแล้ว ซึ่งวงเงินที่คาดว่าจะลดลงจากเดิม 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ/เดือน ลงมาที่ 7-6.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ/ต่อเดือน ซึ่งยังคงมีสภาพคล่องที่มีความยืดหยุ่นสูงอยู่ และผลกระทบที่คาดว่าจะมีต่อตลาดหุ้นไทยนั้นจะไม่มากเท่ากับเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นใหญ่ และเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศอาเซียน มีบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง มีค่า P/E ต่ำเพียง 15 เท่า และ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่สูงกว่า 12 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีผลตอบแทนจากการปันผลและกำไรที่สูง จึงเป็นแหล่งทุนอันดับต้นๆของเอเซีย ที่นักลงทุนต่างประเทศเลือกที่จะมาลงทุน
ขณะเดียวกันนอกเหนือจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท หรือ BTSGIF ที่เปิดไปแล้ว และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา ก็ยังมีอีก 2 กองทุนที่อยู่ระหว่างรอเปิดการซื้อขายคือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ หรือ ABPIF และ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานพลังงานแสงอาทิตย์เอสพีซีจี SPCGIF ซึ่งเป็นกองทุนในกลุ่มพลังงาน ส่วนจะมีกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอะไรเพิ่มเติมเข้ามาต้องรอดูความสำคัญและจำเป็นว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งอาจจะมีกองทุนประเภทอื่นๆเข้ามาในปีหน้า
สำหรับความกังวลต่อ พรบ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านที่เตรียมจะยื่นสภาในวาระที่ 3 คาดว่าจะไม่กระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก ถ้าหากพิจารณาผ่านตามวาระ ก็จะได้ประโยชน์กับหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก โทรคมนาคม และขนส่ง โดยจะเป็นไปในลักษณะ ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ แต่ถ้าหากยืดเยื้อไม่ผ่านตามวาระก็อาจจะทำให้ดัชนีหุ้นไทยกลุ่มที่เกี่ยวข้องปรับตัวลดลงในระยะสั้นๆ แต่ถ้าหากเทียบความกังวลต่อมาตรการ QE แล้วจะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในทุกตลาดหุ้นทั่วโลกมากกว่า
หุ้นปิดลบ1.33 จุด
ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นไทย วันนี้ (17 ก.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,443.78 จุด ลดลง 1.33 จุด หรือ 0.09% ซื้อขายเบาบาง 45,749.58 ล้านบาท ด้านสัดส่วนการลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 863 ล้านบาท รายย่อยขาย 2.1 พันล้านบาท สถาบันซื้อ 613 ล้านบาท และบัญชีโบรกเกอร์ซื้อ 651 ล้านบาท ภาพรวมดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบ เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกสลับแดนลบ
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นภูมิภาค เป็นการปรับฐานหลังจากขึ้นมาแรงจนค่า P/E อยู่ที่ 15 เท่า เป็นระดับที่สูงเกินไป อย่างไรก็ตามมองว่าการปรับลดลงของดัชนีฯ ในครั้งนี้ยังไม่มาก และประเมินว่า หลังจากนี้จะเห็นโอกาสปรับฐานลงไปอีก จึงแนะนำว่ายังไม่ควรซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามาในพอร์ต แต่สามารถเข้าเก็งกำไรในช่วงสั้นๆ ได้
ทั้งนี้ แนะนำใติดตามผลการประชุมเฟด และการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่จะเข้าสู้การพิจารณาของสภาฯ ในวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ ส่วนแนวโน้มดัชนีวันนี้ คาดว่าตลาดยังคงผันผวนและปรับตัวลงต่อ พร้อมให้แนวรับที่ 1,420 จุด และแนวต้าน 1,460 จุด
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า จากกรณีการซื้อขายผันผวนที่ผิดปกติในช่วงเวลา 15.30-16.00 น. หรือแก็งค์ 4 โมงเย็นนั้น ทาง ตลท. ได้หารือร่วม 3 ฝ่ายกับทั้งทาง ก.ล.ต. และสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์ในการออกกฏข้อระเบียบเพื่อควบคุมการซื้อขาย โดยสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) เป็นองค์กรกำกับดูแลตนเองหรือ SRO (Self Regulatory Organization) อยู่แล้ว ซึ่งมีกฏเกณฑ์ระเบียบข้อปฏิบัติ และทำหน้าที่กำกับดูแลสมาชิกของตนเอง ซึ่งมีหลักการที่สำคัญคือ จะต้องกำกับดูแลสมาชิกอย่างเท่าเทียมกัน เป็นธรรม โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และมีกลไกที่ปกป้องคุ้มครองผู้ลงทุน
ทั้งนี้จากเดิมที่พอร์ตโบรกฯจะทำการซื้อขายหุ้นได้ 75% ทาง ตลท.อาจจะปรับลดลงเหลือไม่ให้เกิน 50% เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตลาดโดยรวม และกลุ่มนักลงทุนประเภทต่างๆ อย่างไรก็ดีมองว่าถึงแม้ว่าจะมีกฏควบคุมการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์ ที่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย หรือควบคุมวงเงินการซื้อขายต่อวัน ก็จะไม่กระทบต่อวอลุ่มเทรดในตลาดให้ผันผวน เนื่องจากหากพิจารณาภาพรวมตลาดแล้วกลุ่ม Prop Trad มียอดเฉลี่ยซื้อขายต่อวันไม่เกิน 20% ของมูลค่าตลาดรวม ซึ่งถ้าหาก ตลท.จะออกมาตรการควบคุมมากจนเกินไป อาจทำให้สูญเสียสภาพคล่องต่อนักลงทุนต่างประเทศได้
ในขณะที่นักลงทุนกลุ่มซื้อขายรายวัน Day Trad จากการตั้งข้อสังเกตุไม่ได้มีการซื้อขายผิดปกติแต่อย่างใด ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด ไม่ได้มีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นหรือลดลงจนผิดปกติ
ส่วนความวิตกกังวลต่อการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟด ต่อมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE (Quantitative Easing) ที่จะประชุมในวันที่ 17-18 กันยายนนี้ เชื่อว่า อาจจะไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากนักลงทุนและนักพยากรณ์เศรษฐกิจได้วิเคราะห์ออกมาแล้ว ซึ่งวงเงินที่คาดว่าจะลดลงจากเดิม 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ/เดือน ลงมาที่ 7-6.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ/ต่อเดือน ซึ่งยังคงมีสภาพคล่องที่มีความยืดหยุ่นสูงอยู่ และผลกระทบที่คาดว่าจะมีต่อตลาดหุ้นไทยนั้นจะไม่มากเท่ากับเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นใหญ่ และเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศอาเซียน มีบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง มีค่า P/E ต่ำเพียง 15 เท่า และ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่สูงกว่า 12 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีผลตอบแทนจากการปันผลและกำไรที่สูง จึงเป็นแหล่งทุนอันดับต้นๆของเอเซีย ที่นักลงทุนต่างประเทศเลือกที่จะมาลงทุน
ขณะเดียวกันนอกเหนือจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท หรือ BTSGIF ที่เปิดไปแล้ว และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา ก็ยังมีอีก 2 กองทุนที่อยู่ระหว่างรอเปิดการซื้อขายคือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ หรือ ABPIF และ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานพลังงานแสงอาทิตย์เอสพีซีจี SPCGIF ซึ่งเป็นกองทุนในกลุ่มพลังงาน ส่วนจะมีกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอะไรเพิ่มเติมเข้ามาต้องรอดูความสำคัญและจำเป็นว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งอาจจะมีกองทุนประเภทอื่นๆเข้ามาในปีหน้า
สำหรับความกังวลต่อ พรบ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านที่เตรียมจะยื่นสภาในวาระที่ 3 คาดว่าจะไม่กระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก ถ้าหากพิจารณาผ่านตามวาระ ก็จะได้ประโยชน์กับหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก โทรคมนาคม และขนส่ง โดยจะเป็นไปในลักษณะ ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ แต่ถ้าหากยืดเยื้อไม่ผ่านตามวาระก็อาจจะทำให้ดัชนีหุ้นไทยกลุ่มที่เกี่ยวข้องปรับตัวลดลงในระยะสั้นๆ แต่ถ้าหากเทียบความกังวลต่อมาตรการ QE แล้วจะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในทุกตลาดหุ้นทั่วโลกมากกว่า
หุ้นปิดลบ1.33 จุด
ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นไทย วันนี้ (17 ก.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,443.78 จุด ลดลง 1.33 จุด หรือ 0.09% ซื้อขายเบาบาง 45,749.58 ล้านบาท ด้านสัดส่วนการลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 863 ล้านบาท รายย่อยขาย 2.1 พันล้านบาท สถาบันซื้อ 613 ล้านบาท และบัญชีโบรกเกอร์ซื้อ 651 ล้านบาท ภาพรวมดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบ เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกสลับแดนลบ
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นภูมิภาค เป็นการปรับฐานหลังจากขึ้นมาแรงจนค่า P/E อยู่ที่ 15 เท่า เป็นระดับที่สูงเกินไป อย่างไรก็ตามมองว่าการปรับลดลงของดัชนีฯ ในครั้งนี้ยังไม่มาก และประเมินว่า หลังจากนี้จะเห็นโอกาสปรับฐานลงไปอีก จึงแนะนำว่ายังไม่ควรซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามาในพอร์ต แต่สามารถเข้าเก็งกำไรในช่วงสั้นๆ ได้
ทั้งนี้ แนะนำใติดตามผลการประชุมเฟด และการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่จะเข้าสู้การพิจารณาของสภาฯ ในวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ ส่วนแนวโน้มดัชนีวันนี้ คาดว่าตลาดยังคงผันผวนและปรับตัวลงต่อ พร้อมให้แนวรับที่ 1,420 จุด และแนวต้าน 1,460 จุด