หุ้นไทยพุ่ง 44 จุด รายย่อยขาย 8.7 พันล้าน สถาบัน-ต่างชาติ-พอร์ดโบรกฯชอปสนั่น รับแรงคาดหวังนักลงทุนเฟดลดวงเงิน QE3 น้อย อีกทั้งได้แรงสนับสนุนจากการนำ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เข้าสภา ดันราคาหุ้นรับเหมา-แบงก์ดีดตัว ดึงค่าบาทกลับมาแข็งค่าจากเม็ดเงินไหลเข้า กูรูเตือนอย่าประมาท ชี้เห็นสัญญาณส่อเกิดการพักฐานในอนาคต ส่วนกรณี 4โมงเย็น ตลาดหุ้นย้ำเป็นช่วงคาบเกี่ยวตลาดหุ้นยุโรป ทำให้นักลงทุนเลือกพักฐาน หรือโยกย้ายเม็ดเงินจนหุ้นผันผวน แต่ยังเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด คาดวันนี้ปรับตัวขึ้นต่อ
ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก่อนการประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันนี้ (16 ก.ย.) ปรับตัวในทิศทางบวกต่อเนื่อง โดยปิดที่ระดับ 1,445.11 จุด เพิ่มขึ้น 44.03 จุด หรือ 3.14% มูลค่าการซื้อขาย 55,206.03 ล้านบาท นับเป็นการปรับตัวที่เร็ว และแรงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า การปรับตัวของตลาดหุ้นไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดกลุ่ม TIP (ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) หลังคลายกังวลเรื่องมาตรการผ่อนปรนเชิงปริมาณ หรือ QE3 ทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซีย
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนภายในประเทศ จาก การนำร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เข้าสู่วาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดว่าจะได้รับการเห็นชอบจากที่ประชุมสภาฯ ส่งผลให้มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และหุ้นกลุ่มธนาคารที่จะได้ประโยชน์จากร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,002.67 ล้านบาท สถาบัน ซื้อสุทธิ 4,130.69 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 1,577.27 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 8,710.63 ล้านบาท
เตือนระวังแรงขายฉุดดัชนีพักฐาน
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นเร็ว และแรงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะตลาดกลุ่ม TIP เพราะนักลงทุนคลายความกังวลการลดขนาดมาตรการ QE หลังจากมองว่าคงลดลงไม่มาก ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดฯ ที่เคยถูกถอนเงินลงทุนออกไปก่อนหน้านี้ อย่างตลาดอินโดนีเซีย
“นักลงทุนต้องจับตาการประชุมคณะกรรมการเฟดวันที่ 17-18 ก.ย.เพราะตลาดฯ ยังเป็นกังวลต่อการลดขนาด QE ส่วนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของสภาฯ ในสัปดาห์นี้ ก็เป็นอีกปัจจัยหนุนตลาดฯ อย่างไรก็ตาม เมื่อตลาดฯ หมดความกังวลเรื่องการลดขนาด QE และการเลือกตั้งในเยอรมนี วันที่ 22 ก.ย.นี้ไปแล้ว อาจหมดแรงเก็งกำไร ดังนั้น อาจจะมีการปรับฐานระยะสั้นได้ จึงแนะนำให้ลดพอร์ตการลงทุนเมื่อดัชนีฯ ขึ้นไปแถว 1,460-1,500 จุด แม้ว่าทิศทางยังเป็นขาขึ้นก็ตาม”
โดยแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (17 ก.ย.) ดัชนียังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่ต้องระวังแรงขายทำกำไรในระหว่างทาง ซึ่งแนวต้าน 1,450-1,462 จุด อาจจะมีการปรับฐานได้ ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,390 จุด
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ กล่าวว่า การปรับตัวแรงในแดนบวกของดัชนีหุ้นไทย เกิดจาก นายลอว์เรนซ์ เฮนรี ซัมเมอร์ส หรือลาร์รี ซัมเมอร์ส ถอนตัวจากการคัดเลือกประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้ตัวเต็งอย่าง นางเจเน็ต เยลเลน รองประธานเฟด ที่มีนโยบายผ่อนคลาย QE มากกว่า อาจเข้ารับตำแหน่ง ประกอบกับการโจมตีซีเรีย ยังไม่มีท่าทีในช่วงนี้ที่จะเข้ามาสร้างแรงกดดันให้ตลาดจึงกลายเป็นข่าวดีด้านจิตวิทยาต่อการตัดสินใจของนักลงทุน
ตลท.ย้ำ 4 โมงเย็นเป็นช่วงคาบเกี่ยวตลาดยุโรป
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ของไทย เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค คือ มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 40,003 ล้านบาท ปรับลดลง 12.93% จากเดือนก่อนหน้า ขณะเดียวกัน จากการที่ตลาดหุ้นไทยปิดตลาดหลังสุดกว่าทุกตลาดในทุกภูมิภาค และคาบเกี่ยวกับการเปิดตลาดของตลาดหุ้นยุโรป จึงทำให้นักลงทุนต่างประเทศเลือกที่จะพักฐาน หรือเลือกโอนย้ายการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในช่วงเวลา 15.30-16.00 น. จนเกิดภาวะหุ้นที่ผันผวนขึ้นต่อเนื่อง แต่ทาง ตลท. และ สำนักงาน ก.ล.ต. ได้จับตามองอย่างใกล้ชิด และได้วางมาตรการป้องกันรวมทั้งหาวิธีวิจัยเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคต
จับตา 2 ล้านล. หนุนรับเหมา-แบงก์
ทั้งนี้ ตั้งแต่ท้ายไตรมาสที่ 3 และ 4 นักลงทุนจะต้องจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ว่า จะมีผลดีต่อตลาดมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งหากอัตราค่าแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทปรับตัววอ่อนค่าลง เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อภาคการส่งออกของบริษัทจดทะเบียนเป็นอย่างมาก ซึ่งจะสามารถช่วยชดเชยสถานการณ์ภาวะค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นได้
ส่วนกรณีที่ภายในสัปดาห์นี้ จะมีการยื่นพิจารณา พ.ร.บ.เงินกู้โครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้าน ผู้บริหาร ตลท. เชื่อว่า จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มก่อสร้างขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการกำหนดมาตรการณ์ QE ยังคงต้องติดตามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีแนวโน้วค่อนข้างสูงว่าเฟด จะไม่ยกเลิกมาตรการโดยทันที เพราะอาจจะกระทบต่อภาพการตลาดโลกโดยรวม
“ทาง ตลท.เองก็พยายามที่จะแสวงหานักลงทุนจากหลากหลายแหล่งเพิ่มมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการย้ายฐานเงินทุน ซึ่งกระทบต่อบรรยากาศโดยรวมของนักลงทุนทั้งในระยะสั้น และระยะยาว”