“เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” เผย 2 ปัจจัจบวกหนุนหุ้นไทยพุ่ง แนะติดตาม “เฟด” สรุป “คิวอี” และร่าง พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้าน “เคเคเทรด” เชื่อ “เฟด” ลดขนาด “คิวอี” ลงอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน เชื่อไม่กระทบหุ้นไทยเพราะตลาดรับรู้ข่าวไปแล้ว สะท้อนจากเม็ดเงินเริ่มไหลกลับเข้าภูมิภาค ส่วนภาวะตลาดภาคเช้าปิดบวก 37 จุด ที่ระดับ 1,438 จุด
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (16 ก.ย.) โดยมั่นใจว่า ดัชนีจะผ่านด่านทดสอบ 1,420 จุด หลังนายลาร์รี ซัมเมอร์ส ประกาศถอนตัวออกจากการชิงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ แทน นายเบน เบอร์นานเก้ ที่จะหมดวาระลงในเดือน ม.ค.2557
ประเด็นข่าวดังกล่าว ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเช้านี้อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ และ DJIA Futures บวกกว่า 160 จุด เพราะนายซัมเมอร์ส มีมุมมองต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) ในลักษณะของการชะลอวงเงินให้เร็วที่สุด
ขณะที่ผู้ท้าชิงอีกราย ได้แก่ นางเจเน็ต เยลเลน มีมุมมองเป็นกลางต่อ QE ต้องประเมินอย่างรอบคอบในการลดวงเงิน ซึ่งจะเป็นบวกต่อ US Dollar Carry Trade และสภาพคล่องทางการเงินส่วนเกิน
ทั้งนี้ แม้ว่าเงินทุนต่างชาติอาจไม่โดดเด่นในช่วงสั้น เพราะต้องการรอดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 17-18 ก.ย. ต่อวงเงินโครงการ QE จะลดได้ถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่
นักวิเคราะห์มั่นใจว่า ประเด็นบวกกรณี นายซัมเมอร์ส และโอกาสนำร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท นำเข้าสู่สภาในวันที่ 19-20 ก.ย. นี้ ตามที่วิปรัฐบาลประเมินได้หรือไม่ จะเป็นตัวผลักดันดัชนีหุ้นไทยเดินหน้าบวกได้
ขณะที่ประเด็นซีเรีย และการเจรจาในสภาคองเกรส สหรัฐฯ ต่อร่างงบประมาณปี 2557 และการขยายเพดานก่อหนี้สาธารณะ ยังคงต้องรอความคืบหน้าทั้งสิ้น ดังนั้น ช่วงสั้น 2-3 วันนี้ การเก็งกำไรต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท จะเด่นกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้น
ด้านนักวิเคราะห์ บล.เคเคเทรด จำกัด เชื่อว่าหุ้นไทยสามารถผ่าน 1,420 จุด โดยมองเป้าหมายเบื้องต้นไว้ที่ 1,450 จุด ขณะที่ต้องติดตามประเด็นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด (FOMC) ในวันอังคาร และพุธ
ทั้งนี้ ถ้าผลออกมาโดยมติเฟดตัดสินใจลดขนาดมาตรการ QE ลงเพียง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน มาอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่ Consensus คาด จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวขึ้นของดัชนีฯ เนื่องจากตลาดหุ้นโลกรับรู้ความเป็นไปได้กรณีดังกล่าวไปแล้ว
ประเด็นดังกล่าว สะท้อนออกมาจากการที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (5-11 ก.ย.) มีกระแสเงินทุนไหลกลับเข้ามายังตลาดหุ้นโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์ ถึง 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงที่สุดในรอบ 2 เดือน แม้ว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเอเชียจะยังมีกระแสเงินทุนไหลออกอีก 62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ชะลอตัวลงอย่างมากจาก 1.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสัปดาห์ก่อนหน้า
ขณะที่ตลาดหุ้นทิพ (ไทย, อินโดนีเชีย และฟิลิปปินส์) กลับมามีเงินทุนไหลเข้าอีกครั้ง ประกอบกับการที่ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท จะเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 3 ของสภาฯ ในวันที่ 19-20 ก.ย. 2566 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ ธนาคาร วัสดุก่อสร้าง และที่อยู่อาศัย
ทั้งนี้ ดัชนีปิดตลาดครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,438.36 จุด เพิ่มขึ้น 37.28 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +2.66% มูลค่าการซื้อขาย 28,506.62 ล้านบาท