xs
xsm
sm
md
lg

เตือน!“นิคม”ยุติชนอำนาจศาล 4ส.ว.-ปชป.ยื่นศาลรธน.ส่อขัดม.68

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้(17 ก.ย.56) เวลา 10.40 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา โดยมีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นประธาน โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายวันชัย สอนศิริ ส.ว.สรรหา ได้หารือว่า จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯที่ผ่านมา ถ้ามีการลงมติในวันที่ 24 ก.ย.นี้ หลังจากนั้นจะมีต้องมีการเลือกตั้ง เมื่อพิจารณาแล้วจะเหลือเวลาที่ท่านประธานฯกับตนอีก 6 เดือนเท่านั้นที่จะต้องตายจากกันไปแล้ว ตนถือว่าประธานฯ มีส่วนสำคัญในการที่ทำให้งานตรงนี้เดินไปอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และประโยชน์ต่อประชาชน ถ้าหากดูการประชุมเมื่อวันที่ 16 ก.ย.ทีผ่านมาจะเห็นรอยปริ รอยร้าวเล็กๆ เริ่มขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดี รังแต่จะเกิดความเสียหายต่อองค์กร เหนือสิ่งอื่นใดคือส่งผลต่อการทำงานให้กับประชาชน
“อยากเรียนต่อท่านประธานฯด้วยความเคารพรักซึ่งกันและกัน ผมคิดว่าคนที่จะเป็นคนกลางในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ถ้าท่านประธานเป็นคนสร้างปัญหาหรือสร้างความขัดแย้งเสียเอง รังแต่จะทำให้บานปลายยิ่งขึ้น จะต้องถือไม่ให้มีการแบ่งแยก จะต้องเป็นผู้ประสานรอยร้าวต่างๆเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้น”นายวันชัย
ด้านนายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ตามที่ประธานให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่เชื่อฟังศาล จะใช้กลไกของรัฐสภาขับเคลื่อนต่อไป จึงข้อเสนอต่อประธานฯว่า คำพิพากษาของศาลผูกพันทุกองค์กรและทุกคนที่เกี่ยวข้อง ประการสำคัญ บัตรประจำตัวของพวกเราไม่ได้บอกว่าเป็นส.ส. หรือส.ว. เท่านั้น แต่หลังบัตรยังบอกว่า ท่านคือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา ข้อกฎหมาย ท่านประธานฯคงเห็นแล้วว่า ที่ผ่านมาใครไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ผลก็คือคิดคุก ใครที่ไม่อยากติดคุก ก็ต้องหนี ซึ่งหนีไปแล้ว 4 คน ตาย1คน ตนจึงเรียกร้องประธานฯได้โปรดกอบกู้ ฟื้นฟู เกียรติภูมิศักดิ์ศรีวุฒิสภากลับมา มีท่านเพียงคนเดียวเป็นความหวังกับประชาชน ขอได้กรุณายุติแนวทางที่จะใช้รัฐสภาหรือวุฒิสภาต่อสู้กับศาลต่อไป
ช่างบ่าย ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นายคำนูน สิทธิสมาน พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา และนายสุรจิต ชิรเวทย์ ส.ว.สมุทรสงคราม ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งระงับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ให้ส.ว.200 คนมาจากการเลือกตั้ง และให้ยุบ 6 พรรคร่วมรัฐบาลที่ส.ส.ในสังกัดร่วมลงชื่อเห็นชอบกับการแก้ไข และสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารของ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเป็นเวลา 5 ปี พร้อมขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวฉุกเฉินสั่งประธานรัฐสภา และเลขาธิการรัฐสภาให้ระงับการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 โดยการยื่นคำร้องครั้งนี้ได้นำเอกสารที่เป็นคำแนะนำของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งระบุว่า กระบวนการนี้เป็นการทำลายการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐมาเสนอต่อศาลด้วย
นายคำนูณ กล่าวว่า คำร้องนี้แตกต่างกับคำร้องของ นายบวร ยสินทร แกนนำกลุ่มราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน ที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องไป เนื่องจากคำร้องของ นายบวร นั้น ได้ยื่นขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่ผ่านวาระ 2 แต่ขณะนี้มีการผ่านวาระ 2 แล้ว และจะเข้าสู่วาระ 3 ซึ่งไม่สามารถไปแก้ไขในรายละเอียดได้ จึงอยากให้ศาลพิจารณาได้ทัน ในวันที่ 26 ก.ย.นี้ ที่จะครบ 15 วัน ในการลงมติวาระ 3 เพราะหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ จะส่งผลให้ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวผ่านโดยเสียงข้างมากได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมดังกล่าว ได้แนบเอกสารซึ่งเป็นคำร้อง และคำแนะนำของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ที่มี นายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ที่ระบุว่า ร่างดังกล่าวเป็นการทำลายระบบถ่วงดุลอำนาจที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตามต่อจากนั้นนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ในฐานะทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ได้เข้ายื่นคำร้องจำนวน 47 หน้าขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นเดียวกัน โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งระงับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของส.ว. แต่ไม่ได้ขอให้สั่งยุบ 6 พรรคร่วมรัฐบาลและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค ซึ่งนายวิรัตน์ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาส.ว.ดังกล่าวประเด็นแก้ไขที่เห็นว่าร้ายแรง ก็คือการให้ส.ว.สรรหาไม่ต้องลาออกมาลงสมัครรับเลือกตั้ง หากลงแล้วไม่ได้รับเลือกตั้งก็กลับมาเป็นส.ว.สรรหาต่อไปได้ การให้ส.ว.เลือกตั้งสามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ เป็นสามี ภรรรยา ของส.ส. ได้ ตรงนี้จะทำให้การเป็นองค์กรตรวจสอบถ่วงดุลถูกทำลาย จึงอยากให้มีส.ว.สรรหาต่อไป ถ้าจะมาจากการเลือกตั้งก็ต้องมาจากสาขาวิชาชีพต่างๆ เช่น แพทย์ ทนายความ เอ็นจีโอ ซึ่งถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้สำเร็จ ผลที่จะตามมา ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง คณะกรรมการป.ป.ช. จะหายไป เราเข้าใจดีว่ารัฐสภามีอำนาจเต็มที่จะยกร่างกฎหมายแต่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ 50 และเมื่อทำอย่างไรแล้วก็ต้องไม่ปิดกั้นองค์กรอื่นในการตรวจสอบ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า การที่ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลระบุว่าสามารถเดินหน้าโหวตวาระ 3 ได้ทันทีนั้น เห็นว่าเรื่องนี้หากศาลไม่มีคำสั่งอะไรก็สามารถทำได้ แต่หากมีคำสั่งแล้วก็เกรงว่าจะเป็นการทำผิดซ้ำซาก ทั้งนี้ยืนยันว่าการยื่นคำร้องดังกล่าวเป็นคนละส่วนกับกลุ่ม 40 ส.ว. ที่จะยื่นคำร้องเช่นกัน นอกจากนึ้ คาดว่าวันที่ 18ก.ย.นี้ จะยื่นถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็ดี คงต้องมีการประสานไปยังนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เพื่อนัดเวลาที่ชัดเจนอีกครั้ง
ส่วนการประชุมคณะประสานภารกิจพรรคเพื่อไทย มี่นายโภคิน พลกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย เป็นประธานประชุมหารือถึงเรื่องการลงมติวาระ 3 ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาส.ว. ว่าจะลงกันในวันใด เมื่อครบกำหนด 15 วัน คือวันที่ 27 ก.ย. โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปประสานส.ส.และส.ว.ให้เตรียมพร้อมลงมติดังกล่าวไปตามขั้นตอน แม้จะมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก็ตาม
อีกด้านร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภัควัตร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ หรือ คอ.นธ. ต่อข้อเสนอ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เสนอให้นำ รธน 2540 มาเป็นตัวเลือก คือให้กำหนดประเด็นว่า "สมควรให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่" โดยให้ระบุว่าหากประชาชนมีมติเห็นสมควร รัฐบาลจะนำ รธน. 2540 มาปรับปรุงแก้ไขหรือเป็นต้นแบบในการยกร่าง 2. การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาโดยเฉพาะผู้ถูกกล่าวหาในคดีการเมือง ศาลยุติธรรมควรใช้ดุลยพินิจในกรอบของหลักเมตตาธรรม
3. คณะรัฐมตรีควรเป็นผู้ริเริ่มเสนอร่าง พรบ. นิรโทษกรรมเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ เป็นกรณีเร่งด่วน โดยครม.มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการและใช้เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
นอกจากนี้ คอ.นธ ยังเสนอแนวทางสร้างความปรองดองของคนในชาติต่อรัฐบาล เพื่อเพิ่มข้อเสนอต่อที่ประชุมสภาปฏิรูปการเมือง โดยขอให้แก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยยึดหลัก 3 ประการ คือ 1. หลักนิติธรรม 2. หลักความยุติธรรม และ 3. หลักเมตตาธรรม ก่อนที่จะอนุมัติงบประมาณ 15 ล้านบาท ในการดำเนินการของ คอ.นธ
ที่ศูนย์ประสานงานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จ.อุตรดิตถ์ ได้กำหนดจัดกิจกรรมในโอกาส 7 ปี เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 กลุ่มนปช.และคนเสื้อแดงทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ กำหนดจัดกิจกรรมในพื้นที่ เพื่อเป็นการตอกย้ำแสดงจุดยืนให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่ของประเทศไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหาร โดยจะมีกิจกรรมทอล์คโชว์ของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
อีกด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์และแกนนำนปช. กล่าวถึงคำพูด “อีโง่”ที่ออกจากปากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า ดูอาการแล้วเป็นหนักทุกวัน ดูเหมือนไม่มีใครให้สติ หรือบอกให้ทบทวนบทบาทหรือการแสดงออกทางการเมืองได้ ที่ใช้วาจากิริยาหยาบคาย กระทบกระแทกนายกฯ ดังนั้น ตนคุยกับส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งคิดว่าเมื่อนายอภิสิทธิ์ เปิดเวทีซึ่งเป็นเสรีภาพที่ทำได้ แต่ใช้ถ้อยคำแบบนี้ตนก็จะตั้งเวทีบ้าง โดยวันเสาร์ที่ 21 ก.ย.จะเริ่มที่โรงเรียนวัดดอกไม้ เพราะเป็นเวทีที่นายอภิสิทธิ์ผรุสวาทคำว่า “อีโง่” ยืนยันจะปราศรัยสาระทางการเมือง จะใช้ถ้อยคำและท่าทีที่สุภาพ เนื้อหาสาระเป็นหลัก ไม่ใช่การเผชิญหน้าทางการเมือง ไม่ใช่การยั่วยุระหว่าง 2 ฝ่าย ไม่มีหยาบคาย
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เสียดายที่เคยได้รางวัลผู้เป็นต้นแบบอันงดงามในการใช้ภาษาไทย ตนจะทำหนังสือสอบถามกระทรวงวัฒนธรรมว่า เห็นอย่างไรกับการใช้ภาษาที่หยาบคายของนายอภิสิทธิ์ ในฐานะผู้จัดยกย่องเชิดชูเกียรติปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ในปี 2553 จะริบรางวัลคืนหรือไม่
อีกด้านนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะประธานขับเคลื่อนเวทีปฏิรูปการเมือง กล่าวถึงการก่อตั้งสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย 2556 (สปท.) ว่า เป็นเรื่องที่ดี และอยากให้ตั้งหลายๆ สภา และหลายเวที เพื่อจะได้มีความเห็นที่หลากหลาย ทั้งนี้ตนคงไม่เข้าไปประสานกับแกนนำกลุ่มดังกล่าวเพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในเวทีปฏิรูปการเมือง อย่างไรก็ตามในวันที่ 19 ก.ย. จะเข้าพบกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเพื่อนเก่า โดยตนเชื่อว่าการหารืออาจจะมีแนวโน้มที่ดี
“เมื่อเช้านี้ ผมไปพบหมอ หมอบอกว่าท่านบรรหารรับงานนี้เจ็บตัวนะท่าน ผมก็บอกไปว่า เจ็บก็เจ็บจะให้ทำอย่างไรได้ หากผมไม่ทำแล้วใครจะทำ งานนี้ผมมองว่าต้องใช้ความอดทนเพราะมันไม่ง่าย แต่เมื่อประสานทุกฝ่ายแล้วก็ต้องสรุปเป็นความเห็นให้คณะทำงานปฏิรูปการเมืองต่อไป” นายบรรหาร กล่าว
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้ชัดเจนว่า ความคิด ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาถูกทางแล้ว และคิดได้เป็นคนแรก แสดงว่าสังคมไทยเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้กลุ่มอื่นๆที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล อาจจะมีทิฐิในการเข้าร่วม บ้างก็กลัวเสียหน้า เสียฟอร์ม
กำลังโหลดความคิดเห็น