xs
xsm
sm
md
lg

“วุฒิฯ-ปชป.” ยื่นศาลฯ ระงับรื้อรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว.ขัด ม.68

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“4 ส.ว.-ปชป.” ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยแก้ รธน.ที่มา ส.ว.เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ ม.68 ระบุกระบวนการพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย การแก้ไขเข้าข่ายเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐ มั่นใจคำร้องชัดเจน รัดกุม เพื่อให้ศาลฯ สั่งรับพิจารณา


วันนี้ (17 ก.ย.) นายคำนูณ สิทธิสมาน พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา และนายสุรจิต ชิรเวทย์ ส.ว.สุมทรสงคราม ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งระงับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ให้ ส.ว.200 คน มาจากการเลือกตั้ง และให้ยุบ 6 พรรคร่วมรัฐบาลที่ ส.ส.ในสังกัดร่วมลงชื่อเห็นชอบกับการแก้ไข และสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารของ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเป็นเวลา 5 ปี พร้อมขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวฉุกเฉินสั่งประธานรัฐสภา และเลขาธิการรัฐสภาให้ระงับการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 โดยการยื่นคำร้องครั้งนี้ได้นำเอกสารที่เป็นคำแนะนำของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งระบุว่ากระบวนการนี้เป็นการทำลายการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐ มาเสนอต่อศาลด้วย

พล.อ.สมเจตน์กล่าวว่า เหตุที่ต้องมายื่นคำร้องเนื่องจากเห็นว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว.ของรัฐสภา ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวบรัด ตัดตอน ที่สำคัญการแก้ไขคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็น ส.ว.โดยไม่ห้ามการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง การเป็นสามี ภรรยา กับ ส.ส. หรือการไม่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง ทำให้วุฒิสภามีฐานทางการเมืองเหมือนกับ ส.ส. ขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้วุฒิสภาเป็นองค์กรตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจรัฐ จึงถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครอง และเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68

ผู้สื่อข่าวถามว่า ส.ส.เสียงข้างมากระบุว่าจะเดินหน้าลงมติวาระ 3 ไม่สนอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ หากคำสั่งระงับ พล.อ.สมเจตน์กล่าวว่า ที่ผ่านมาฝ่ายเสียงข้างมากพูดตลอดว่าบ้านเมืองปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แล้วเมื่อกติกาบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่รับอำนาจของศาล จะพูดได้ว่าเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร

ขณะที่นายคำนูณกล่าวว่า คำร้องที่ยื่นครั้งนี้แตกต่างจากคำร้องของ นายบวร ยสินทร เครือข่ายราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน ที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งยกคำร้องไปก่อนหน้านี้ เพราะขณะที่นายบวร ยื่นรัฐสภายังพิจารณาวาระ 2 ไม่แล้วเสร็จ จึงยังไม่มีความชัดเจนในประเด็นที่มีการแก้ไข แต่การยื่นของพวกตน รัฐสภาได้ลงมติวาระ 2 เสร็จแล้ว ถือว่าเนื้อหาที่จะมีการแก้ไขนั้นมีความชัดเจน รออีกเพียง 15 วันก็จะมีการลงมติในวาระที่ 3

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาแม้ศาลจะเคยมีคำวินิจฉัยที่ 18-22 เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ว่าไม่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคหนึ่ง แต่ในคำวินิจฉัยครั้งนั้น ศาลก็ไม่ได้มีการระบุรายละเอียดออกมาว่าการกระทำแบบไหนอย่างไร ที่ถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองและรูปแบบของรัฐ ซึ่งทาง ส.ว.ก็อยากจะได้ความชัดเจน ในครั้งนี้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้จะถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองและรูปแบบของรัฐหรือไม่

“เราไม่ได้คัดค้าน ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งทั้ง 200 คน แต่เราคัดค้านเกี่ยวกับการแก้ไขคุณสมบัติของ ส.ว.3-4 ประการที่จะทำให้องค์กรวุฒิสภาพสิ้นสภาพการเป็นองค์กรตรวจสอบ ถ่วงดุล สิ้นสภาพองค์กรที่จะมาสรรหากรรมการในองค์กรอิสระอย่างเป็นกลาง ซึ่งการแก้ไขที่มาของส.ว.ครั้งนี้ถือว่าไปไกลกว่ารัฐธรรมนูญปี 40 เสียอีก”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ในฐานะทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้ายื่นคำร้อง จำนวน 47 หน้าขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นเดียวกัน โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งระงับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว. แต่ไม่ได้ขอให้สั่งยุบ 6 พรรคร่วมรัฐบาลและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค

นายวิรัตน์กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว.ดังกล่าวประเด็นแก้ไขที่เห็นว่าร้ายแรง ก็คือการให้ ส.ว.สรรหาไม่ต้องลาออกมาลงสมัครรับเลือกตั้ง หากลงแล้วไม่ได้รับเลือกตั้งก็กลับมาเป็น ส.ว.สรรหาต่อไปได้ การให้ ส.ว.เลือกตั้งสามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ เป็นสามี ภรรยาของ ส.ส.ได้ ตรงนี้จะทำให้การเป็นองค์กรตรวจสอบถ่วงดุลถูกทำลาย จึงอยากให้มี ส.ว.สรรหาต่อไป ถ้าจะมาจากการเลือกตั้งก็ต้องมาจากสาขาวิชาชีพต่างๆ เช่น แพทย์ ทนายความ เอ็นจีโอ ซึ่งถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้สำเร็จ ผลที่จะตามมา ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะหายไป เราเข้าใจดีว่ารัฐสภามีอำนาจเต็มที่จะยกร่างกฎหมายแต่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ 50 และเมื่อทำอย่างไรแล้วก็ต้องไม่ปิดกั้นองค์กรอื่นในการตรวจสอบ





กำลังโหลดความคิดเห็น