สิ่งที่นายโทนี่ แบลร์ บอกนายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็คือ ปัญหาของไทยต้องแก้ด้วยคนไทยกันเอง นี่ก็คงเป็นการบอกอ้อมๆ ว่า “แล้วเชิญผมมาทำไม” มีคนบอกว่า ค่าตัวของนายแบลร์ประมาณ 35 ล้านบาทพอๆ กับของหลินปิง
เวลานี้เรากำลังหาทางแก้ไขปัญหาความแตกสามัคคีของคนอยู่ ที่จริงความแตกแยกที่เกิดจากความเห็นไม่ตรงกันนี้ ก็เป็นของธรรมดาสำหรับประชาธิปไตย และไม่เห็นว่าจะก่อให้เกิดปัญหาหนักหนาสาหัสอะไร
แต่ลึกๆ แล้วปัญหาของประเทศไทยเป็นปัญหาที่เกิดจากตัวบุคคลเสียมากกว่า และซ้ำร้ายตัวบุคคลนั้นก็ยังเป็นผู้มีอำนาจเพียงแต่อยู่นอกประเทศเท่านั้น ผมยังสงสัยว่า หากไม่มีรัฐประหาร แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกข้อหากระทำผิดแล้ว จะมีข้ออ้างหรือไม่ที่จะหนีออกไปอยู่นอกประเทศเหมือนอย่างนายวัฒนา อัศวเหม และกำนันเป๊าะ
ความแตกแยกที่แท้จริงและที่เราควรกังวลไม่ใช่เรื่องทักษิณ แต่เป็นเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีการลอบยิงกันอยู่ทุกวัน และไม่มีทีท่าว่าจะสงบ ปัญหาชายแดนใต้นี้นัยว่ามีที่มาจากศาสนา และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เป็นที่น่าสังเกตว่าคนมุสลิมภาคใต้ก็นับถือศาสนาอิสลามมานานแล้ว เหตุใดแต่ก่อนจึงไม่มีปัญหา ทางราชการไทยก็ให้การดูแลชาวมุสลิมอย่างดี เคารพนับถือประเพณีดี บางคนบอกว่าเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงในความคิดของชาวมุสลิมสมัยใหม่ที่มีขบวนการปลดแอกเข้ามาเกี่ยวด้วย ดังนั้น ไม่ว่าทางการจะทำดีอย่างไรก็ตาม การก่อการร้ายก็คงไม่หมดไป
แต่ก่อนไทยเราเคยมีปัญหาความขัดแย้งถึงกับสู้รบกันตอนที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยต่อสู้อยู่ มีข้อน่าสังเกตว่าการต่อสู้นี้อยู่ในยุคของสงครามเย็นที่ไทยเราร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา แต่เมื่ออเมริกาเริ่มญาติดีกับจีน และไทยเริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีน การเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์ก็เบาบางลง และแม้จะไม่มีการเจรจากันอย่างเป็นทางการ เมื่อทางรัฐบาลออกมาตรการ 66/23 มา คอมมิวนิสต์ก็เข้ามามอบตัวหลายคน จนในที่สุดก็ยุติ “สงครามประชาชน” ได้ แต่เงื่อนไขปัจจัยสำคัญก็คือ จีนนั่นเอง จนทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็คือ เครื่องมือการดำเนินนโยบายต่างประเทศของจีนนั่นเอง
เรื่องที่มีการพูดจากันอยู่ทุกวันนี้คืออะไรกันแน่ และการปรองดองโดยเนื้อแท้แล้วเป็นการปรองดองระหว่างใครกับใคร และมีปัญหาขัดแย้งเรื่องอะไร ไม่มีใครพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมาว่า การปรองดองนั้นในบั้นปลายก็คือการช่วยให้ทักษิณพ้นผิดนั่นเอง
มาถึงวันนี้คนเป็นจำนวนมากไม่ชอบทักษิณ และคงไม่ชอบต่อไปเพราะไม่ชอบพฤติกรรมของทักษิณในการอาศัยนโยบายหาผลประโยชน์ ด้านหนึ่งทักษิณก็ออกนโยบายประชานิยมเพื่อหาเสียงกับคนจน แต่อีกด้านหนึ่งก็อาศัยนโยบายเปิดโอกาสให้ตนเอง และบริษัทของพรรคพวกได้ผลประโยชน์โดยไม่ต้องควักกระเป๋าเพราะใช้งบประมาณของประเทศ อย่างเช่นนโยบายรถคันแรก เป็นต้น
ดังนั้น ความขัดแย้งทางการเมืองก็เป็นเรื่องธรรมดา ความขัดแย้งที่เกิดจากความเห็นต่างกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน และไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องหาทางแก้ไข กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา และเป็นธรรมชาติของการเมือง ไม่จำเป็นจะต้องหาทางปรองดอง และไม่จำเป็นต้องตั้งสภาปฏิรูปมาแก้ไข และไม่จำเป็นจะต้องไปขอความร่วมมือจากคุณอานันท์ ปันยารชุน หมอประเวศ หรือสนธิ เพราะไม่รู้ว่า 3 ท่านนี้จะช่วยอะไรได้ นอกจากไปตอกย้ำการที่รัฐบาลต้องการแสดงว่าทุกฝ่ายต่างหันหน้าเข้าหากัน
ตราบใดที่ยังไม่มีการแก้ไขจากตัวทักษิณเอง นั่นก็คือการยอมกลับมาติดคุก การเมืองไทยก็ยังจะไม่สงบต่อไป
เวลานี้เรากำลังหาทางแก้ไขปัญหาความแตกสามัคคีของคนอยู่ ที่จริงความแตกแยกที่เกิดจากความเห็นไม่ตรงกันนี้ ก็เป็นของธรรมดาสำหรับประชาธิปไตย และไม่เห็นว่าจะก่อให้เกิดปัญหาหนักหนาสาหัสอะไร
แต่ลึกๆ แล้วปัญหาของประเทศไทยเป็นปัญหาที่เกิดจากตัวบุคคลเสียมากกว่า และซ้ำร้ายตัวบุคคลนั้นก็ยังเป็นผู้มีอำนาจเพียงแต่อยู่นอกประเทศเท่านั้น ผมยังสงสัยว่า หากไม่มีรัฐประหาร แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกข้อหากระทำผิดแล้ว จะมีข้ออ้างหรือไม่ที่จะหนีออกไปอยู่นอกประเทศเหมือนอย่างนายวัฒนา อัศวเหม และกำนันเป๊าะ
ความแตกแยกที่แท้จริงและที่เราควรกังวลไม่ใช่เรื่องทักษิณ แต่เป็นเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีการลอบยิงกันอยู่ทุกวัน และไม่มีทีท่าว่าจะสงบ ปัญหาชายแดนใต้นี้นัยว่ามีที่มาจากศาสนา และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เป็นที่น่าสังเกตว่าคนมุสลิมภาคใต้ก็นับถือศาสนาอิสลามมานานแล้ว เหตุใดแต่ก่อนจึงไม่มีปัญหา ทางราชการไทยก็ให้การดูแลชาวมุสลิมอย่างดี เคารพนับถือประเพณีดี บางคนบอกว่าเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงในความคิดของชาวมุสลิมสมัยใหม่ที่มีขบวนการปลดแอกเข้ามาเกี่ยวด้วย ดังนั้น ไม่ว่าทางการจะทำดีอย่างไรก็ตาม การก่อการร้ายก็คงไม่หมดไป
แต่ก่อนไทยเราเคยมีปัญหาความขัดแย้งถึงกับสู้รบกันตอนที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยต่อสู้อยู่ มีข้อน่าสังเกตว่าการต่อสู้นี้อยู่ในยุคของสงครามเย็นที่ไทยเราร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา แต่เมื่ออเมริกาเริ่มญาติดีกับจีน และไทยเริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีน การเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์ก็เบาบางลง และแม้จะไม่มีการเจรจากันอย่างเป็นทางการ เมื่อทางรัฐบาลออกมาตรการ 66/23 มา คอมมิวนิสต์ก็เข้ามามอบตัวหลายคน จนในที่สุดก็ยุติ “สงครามประชาชน” ได้ แต่เงื่อนไขปัจจัยสำคัญก็คือ จีนนั่นเอง จนทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็คือ เครื่องมือการดำเนินนโยบายต่างประเทศของจีนนั่นเอง
เรื่องที่มีการพูดจากันอยู่ทุกวันนี้คืออะไรกันแน่ และการปรองดองโดยเนื้อแท้แล้วเป็นการปรองดองระหว่างใครกับใคร และมีปัญหาขัดแย้งเรื่องอะไร ไม่มีใครพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมาว่า การปรองดองนั้นในบั้นปลายก็คือการช่วยให้ทักษิณพ้นผิดนั่นเอง
มาถึงวันนี้คนเป็นจำนวนมากไม่ชอบทักษิณ และคงไม่ชอบต่อไปเพราะไม่ชอบพฤติกรรมของทักษิณในการอาศัยนโยบายหาผลประโยชน์ ด้านหนึ่งทักษิณก็ออกนโยบายประชานิยมเพื่อหาเสียงกับคนจน แต่อีกด้านหนึ่งก็อาศัยนโยบายเปิดโอกาสให้ตนเอง และบริษัทของพรรคพวกได้ผลประโยชน์โดยไม่ต้องควักกระเป๋าเพราะใช้งบประมาณของประเทศ อย่างเช่นนโยบายรถคันแรก เป็นต้น
ดังนั้น ความขัดแย้งทางการเมืองก็เป็นเรื่องธรรมดา ความขัดแย้งที่เกิดจากความเห็นต่างกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน และไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องหาทางแก้ไข กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา และเป็นธรรมชาติของการเมือง ไม่จำเป็นจะต้องหาทางปรองดอง และไม่จำเป็นต้องตั้งสภาปฏิรูปมาแก้ไข และไม่จำเป็นจะต้องไปขอความร่วมมือจากคุณอานันท์ ปันยารชุน หมอประเวศ หรือสนธิ เพราะไม่รู้ว่า 3 ท่านนี้จะช่วยอะไรได้ นอกจากไปตอกย้ำการที่รัฐบาลต้องการแสดงว่าทุกฝ่ายต่างหันหน้าเข้าหากัน
ตราบใดที่ยังไม่มีการแก้ไขจากตัวทักษิณเอง นั่นก็คือการยอมกลับมาติดคุก การเมืองไทยก็ยังจะไม่สงบต่อไป