วานนี้ (26 ส.ค.56) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวอิศรารายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มเพื่อนสวนโมกข์ ได้มีการแชร์ต่อจดหมายเปิดผนึกผ่านทางเฟซบุ๊ค ถึง "เพื่อนสวนโมกข์" เพื่อแจ้งให้ออกมาร่วมกันคัดค้านทิศทางและนโยบายการบริหารสวนโมกข์ในปัจจุบัน โดยระบุว่าทิศทางของสวนโมกข์ที่กำลังเดินอยู่ในปัจจุบันกำลังเดินออกไปจากสิ่งที่พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปัญโญ)หรือ “พุทธทาส” วางไว้ในอดีต
จดหมายเปิดผนึกฉบับดังกล่าว ระบุว่า คณะสงฆ์แตกออกเป็นสองกลุ่มจากการตั้งเจ้าอาวาสคนใหม่มาแทนเจ้าอาวาสคนเก่า แม้พระอธิการสุชาติ ปัญญาทีโป จะเป็นที่ชื่นชอบและเคารพนับถือ แต่หลังจากเข้ามารับตำแหน่งแทน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ สวนโมกข์เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ โดยมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง
“เริ่มจาก การเข้ามาควบคุมจัดการเรื่องเงิน โดยต้องการแยกบัญชีวัดออกจากธรรมทานมูลนิธิ มีการตั้งข้อกล่าวหาว่า ผู้รับผิดชอบรายหนึ่งที่ดูแลเงินวัดตั้งแต่สมัยท่านพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ นำเงินวัดไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยสวนโมกข์ขอกลับไปสู่ความเป็น "วัดธารน้ำไหล" ภายใต้มหาเถรสมาคม วัดมีบัญชีแยกจากธรรมทานมูลนิธิ และพระสามารถบริหารเงินและนำเงินมาใช้ได้อย่างเป็นอิสระโดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากธรรมทานมูลนิธิ”
ล่าสุดมีการริเริ่มโครงการ "ปรับปรุงภูมิทัศน์รอบเขาพุทธทอง" โดยมีพระผู้ใหญ่รายหนึ่งเป็นผู้ควบคุมจัดการเบ็ดเสร็จ โดยที่เจ้าอาวาสคนปัจจุบันและพระมหาเถระรูปอื่นๆ ภายในสวนโมกข์แทบไม่รู้เห็น ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการขุดถมดิน ลงฐานรากคอนกรีตขนานใหญ่ เพื่อเปลี่ยนแปลง "โบสถ์ธรรมชาติแบบสวนโมกข์" ให้ทันสมัย ดูดียิ่งขึ้น
กลุ่มเพื่อนสวนโมกข์ในฐานะคนนอก และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับสวนโมกขพลาราม นอกเสียจากเป็นกลุ่มบุคคลผู้ปรารถนาดีต่อสวนโมกขพลาราม รู้สึกห่วงใยและกังวลต่อสภาพการณ์ดังกล่าวบนยอดเขาพุทธทอง ในทัศนะของกลุ่มเพื่อนสวนโมกข์ พุทธทาสไม่ได้สร้างสวนโมกข์ขึ้นเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง สวนโมกข์นั้นไม่ใช่เป็นทรัพย์สินของวัดหรือของรัฐ ที่ใครคนใดคนหนึ่งคิดจะเปลี่ยนแปลง งานแต่ละชิ้นที่พุทธทาสสร้างขึ้นมีความหมายและจิตวิญญาณในแบบของมัน และหลายอย่างคงไม่สามารถเอากลับคืนมาได้อีกแล้วหากถูกทำลายไป
สวนโมกข์ควรรักษาในฐานะแบบอย่างของความเรียบง่าย ยืนยันความเป็นสังฆะทางสติปัญญาที่เป็นอิสระจากอำนาจคณะสงฆ์ของรัฐ หากจะมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นกับสวนโมกข์ โดยเฉพาะกับทิศทางการดำเนินงานที่ผิดไปจากแนวทางที่พุทธทาสได้วางไว้
เราขอเสนอว่า ควรเกิดขึ้นจากการประชุมทำความตกลงกันในหมู่สงฆ์และสื่อสารกับสาธารณชนในวงกว้างอย่างโปร่งใส มีการถกเถียง เสวนา แลกเปลี่ยนทัศนะที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ ที่สำคัญพระประจำสวนโมกข์ทุกรูปควรรับรู้และรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นร่วมกัน โดยเฉพาะพระที่ทำงานอยู่ใกล้ชิดท่านพุทธทาส การเปลี่ยนแปลงไม่ควรเกิดขึ้นโดยพลการจากเจ้าอาวาส หรือพระที่ถืออำนาจเพียงคนเดียวอย่างที่เป็นอยู่
ดังนั้นการดำเนินงานเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์และการก่อสร้างอย่างเอิกเริกบนยอดเขาพุทธทอง ณ ตอนนี้ เราเห็นว่าควรถูกยับยั้งโดยเร็วที่สุด หากพระในวัดไม่สามารถทัดทานการกระทำครั้งนี้ได้ สาธารณชนก็ควรออกมาช่วยกันแสดงความไม่เห็นด้วย ร่วมกันคัดค้านการดำเนินงานโดยพลการ และขอให้คณะสงฆ์ในสวนโมกข์คลี่คลายความขัดแย้งภายใน หันหน้าเพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนและประชุมกัน เพื่อบรรลุมติที่เห็นชอบร่วมกันของหมู่คณะ ก่อนจะมีการดำเนินการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อทิศทางของสวนโมกขพลารามในปัจจุบันและอนาคต
จดหมายเปิดผนึกฉบับดังกล่าว ระบุว่า คณะสงฆ์แตกออกเป็นสองกลุ่มจากการตั้งเจ้าอาวาสคนใหม่มาแทนเจ้าอาวาสคนเก่า แม้พระอธิการสุชาติ ปัญญาทีโป จะเป็นที่ชื่นชอบและเคารพนับถือ แต่หลังจากเข้ามารับตำแหน่งแทน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ สวนโมกข์เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ โดยมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง
“เริ่มจาก การเข้ามาควบคุมจัดการเรื่องเงิน โดยต้องการแยกบัญชีวัดออกจากธรรมทานมูลนิธิ มีการตั้งข้อกล่าวหาว่า ผู้รับผิดชอบรายหนึ่งที่ดูแลเงินวัดตั้งแต่สมัยท่านพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ นำเงินวัดไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยสวนโมกข์ขอกลับไปสู่ความเป็น "วัดธารน้ำไหล" ภายใต้มหาเถรสมาคม วัดมีบัญชีแยกจากธรรมทานมูลนิธิ และพระสามารถบริหารเงินและนำเงินมาใช้ได้อย่างเป็นอิสระโดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากธรรมทานมูลนิธิ”
ล่าสุดมีการริเริ่มโครงการ "ปรับปรุงภูมิทัศน์รอบเขาพุทธทอง" โดยมีพระผู้ใหญ่รายหนึ่งเป็นผู้ควบคุมจัดการเบ็ดเสร็จ โดยที่เจ้าอาวาสคนปัจจุบันและพระมหาเถระรูปอื่นๆ ภายในสวนโมกข์แทบไม่รู้เห็น ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการขุดถมดิน ลงฐานรากคอนกรีตขนานใหญ่ เพื่อเปลี่ยนแปลง "โบสถ์ธรรมชาติแบบสวนโมกข์" ให้ทันสมัย ดูดียิ่งขึ้น
กลุ่มเพื่อนสวนโมกข์ในฐานะคนนอก และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับสวนโมกขพลาราม นอกเสียจากเป็นกลุ่มบุคคลผู้ปรารถนาดีต่อสวนโมกขพลาราม รู้สึกห่วงใยและกังวลต่อสภาพการณ์ดังกล่าวบนยอดเขาพุทธทอง ในทัศนะของกลุ่มเพื่อนสวนโมกข์ พุทธทาสไม่ได้สร้างสวนโมกข์ขึ้นเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง สวนโมกข์นั้นไม่ใช่เป็นทรัพย์สินของวัดหรือของรัฐ ที่ใครคนใดคนหนึ่งคิดจะเปลี่ยนแปลง งานแต่ละชิ้นที่พุทธทาสสร้างขึ้นมีความหมายและจิตวิญญาณในแบบของมัน และหลายอย่างคงไม่สามารถเอากลับคืนมาได้อีกแล้วหากถูกทำลายไป
สวนโมกข์ควรรักษาในฐานะแบบอย่างของความเรียบง่าย ยืนยันความเป็นสังฆะทางสติปัญญาที่เป็นอิสระจากอำนาจคณะสงฆ์ของรัฐ หากจะมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นกับสวนโมกข์ โดยเฉพาะกับทิศทางการดำเนินงานที่ผิดไปจากแนวทางที่พุทธทาสได้วางไว้
เราขอเสนอว่า ควรเกิดขึ้นจากการประชุมทำความตกลงกันในหมู่สงฆ์และสื่อสารกับสาธารณชนในวงกว้างอย่างโปร่งใส มีการถกเถียง เสวนา แลกเปลี่ยนทัศนะที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ ที่สำคัญพระประจำสวนโมกข์ทุกรูปควรรับรู้และรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นร่วมกัน โดยเฉพาะพระที่ทำงานอยู่ใกล้ชิดท่านพุทธทาส การเปลี่ยนแปลงไม่ควรเกิดขึ้นโดยพลการจากเจ้าอาวาส หรือพระที่ถืออำนาจเพียงคนเดียวอย่างที่เป็นอยู่
ดังนั้นการดำเนินงานเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์และการก่อสร้างอย่างเอิกเริกบนยอดเขาพุทธทอง ณ ตอนนี้ เราเห็นว่าควรถูกยับยั้งโดยเร็วที่สุด หากพระในวัดไม่สามารถทัดทานการกระทำครั้งนี้ได้ สาธารณชนก็ควรออกมาช่วยกันแสดงความไม่เห็นด้วย ร่วมกันคัดค้านการดำเนินงานโดยพลการ และขอให้คณะสงฆ์ในสวนโมกข์คลี่คลายความขัดแย้งภายใน หันหน้าเพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนและประชุมกัน เพื่อบรรลุมติที่เห็นชอบร่วมกันของหมู่คณะ ก่อนจะมีการดำเนินการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อทิศทางของสวนโมกขพลารามในปัจจุบันและอนาคต