จากการที่นายจาตุรนต์ ฉายแสงพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาวิเคราะห์ว่า พันธมิตรฯ สื่อสารออกมาล้าหลัง ตามข่าวตอนหนึ่งดังนี้ “นัยสำคัญที่ทำให้พันธมิตรฯ ประกาศยุติบทบาทอาจจะมองว่าทิศทางการขับเคลื่อนไม่น่าจะง่ายแล้วสำหรับแกนนำพันธมิตรฯ น่าจะเป็นสิ่งที่บอกบางอย่างได้พอสมควรถึงทางออก หากประเมินตามสถานการณ์แล้วต้องบอกว่าขนาด พันธมิตรฯ ที่มีส่วนสำคัญในการเคลื่อนไหวก็ยังยุติบทบาท เพราะถึงอยู่ขับเคลื่อนต่อไปก็ไม่มีหลักประกันว่าจะได้อะไรคืนมา ที่สำคัญเนื้อหาที่ พันธมิตรฯ สื่อสารมาเป็นเนื้อหาที่ล้าหลัง เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดึงให้ประเทศล้าหลังยุติบทบาทไปก็จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นได้ออกมาช่วยกันคิด จะเห็นว่าผู้ที่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปการเมืองตามคำเชิญของรัฐบาลจะเหลือเพียงพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพียงพรรคเดียว”
เราผู้เขียนขอแสดงความเห็นว่า
1. พันธมิตรฯ เป็นกลุ่มพลังมวลชนที่ก้าวหน้าที่สุดในขณะนี้ ความก้าวหน้าที่สุดที่ว่าคือ เริ่มมองเห็นแล้วว่า ระบอบการเมืองปัจจุบันเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ มายาวนาน 81 ปี พันธมิตรฯ จึงได้ปฏิเสธพรรคการเมืองในระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญคือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์
2. พันธมิตรฯ ที่ได้ประกาศสลายตัวหยุดการเคลื่อนไหว เป็นผลดีต่อชาติอย่างมหาศาลและเชิดชูมวลชนอย่างแท้จริง เพราะนั้นคือการปล่อยให้มวลชนพันธมิตรฯ คิดสู้เอง เพื่อให้พันธมิตรฯ ทุกคนเข้มแข็งขึ้น โดยไม่หวังพึ่งแกนนำเพียงไม่กี่คน นี่คือความฉลาดของแกนนำพันธมิตรฯ ที่ต้องการขยายฐานกว้างออกไป และเป็นการให้อิสระในการคิด การศึกษา การต่อสู้แก่มวลสมาชิกพันธมิตรฯ แกนนำพันธมิตรฯ ไม่มีความติดยึดในความเป็น ความมีในความเป็นแกนนำ ผลที่ออกมาคือ ทำให้เกิดแกนนำประชาชนมากขึ้นที่จะต่อสู้กับความเห็นผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย 81 ปี ทั้งๆ ที่ความจริงมันเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญมายาวนาน 81 ปี โดยที่ผู้ปกครองฯ ทุกรัฐบาลต่างก็บิดเบือน โกหก สืบทอดกันมายาวนาน 81 ปี ดังที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ พูดในวันประชุมเปิดสภาปฏิรูปฯ ว่า “เราจะทำอย่างไรให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนี้จะได้พัฒนามั่นคงยิ่งๆ ขึ้น” ที่จริง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ น่าจะพูดว่า เราจะทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนระบอบเผด็จการทุกวันนี้ให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เพราะตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์เอง และคนเขียนสคริป มีความเห็นผิดอย่างร้ายแรงว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ความเชื่อเช่นนี้ เป็นความเชื่อล้าหลังและอันตรายต่อชาติและประชาชน เพราะเป็นความเชื่อที่เห็นผิด ที่ไม่สามารถแก้ไขเหตุวิกฤตชาติได้เลย
3. พันธมิตรฯ เป็นกลุ่มพลังมวลชนที่ได้สอน ให้ยึดมั่น ให้จงรักภักดีในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างสุดจิตสุดใจ นี่เป็นความก้าวหน้าทางการเมืองของพันธมิตรฯ ส่วนพวกที่โจมตีให้ร้ายสถาบันหลักของชาติ เป็นพวกล้าหลังจัญไรที่สุดของชาติ ที่มองไม่เห็นความดีของสถาบันหลักของชาติ การเชิดชูอุดมการณ์แห่งชาติ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นฝ่ายก้าวหน้าที่สุด เป็นเอกภาพที่สุด
4. แกนนำและมวลชนพันธมิตรฯ มากมายที่ต้องการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี่คือความก้าวหน้าที่สุดของการเมืองไทยและโลก เพราะเป็นแนวคิดที่ถูกต้องที่สุดในการทำการเมืองให้เป็นของประชาชนชั่วลูกชั่วหลานอย่างแท้จริง การร่วมใจกันสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย คือการร่วมใจกันสร้างจุดหมาย (เป้าหมาย) ร่วมของปวงชน ทำให้ปวงชนในชาติเป็นเอกภาพ ทำให้ประชาชนถือธรรมเป็นใหญ่ ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้มแข็ง ทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง ทำให้ประชาชนมีความรักชาติ มีความรับผิดชอบต่อชาติ ทำให้ประชาชนมีความสำนึกในการรักชาติ เช่น รู้สึกว่า ตนเองเป็นนักการเมืองที่ดีของชาติ ตนเองเป็นทหาร ตนเองเป็นตำรวจ คอยปกป้องบ้านเมืองและช่วยกันป้องกันที่ชั่วร้ายในสังคมและบ้านเมือง และย่อมทำให้ประชาชนมีเสรีภาพบริบูรณ์ทางการเมือง ทำให้ประชาชนมีความเสมอภาคทางโอกาส ทำให้ประชาชนมีภราดรภาพ ทำให้ประชาชนมีความเป็นเอกภาพ ทำให้เกิดดุลยภาพในทุกภาคส่วนมีความมั่นคงเข้มแข็ง ทำให้ประชาชนมีหลักนิติธรรมในใจของประชาชนทุกคน
ส่วนแนวการเมืองล้าหลังทำลายชาติของฝ่ายพรรคการเมืองต่างๆ เช่นเพื่อไทยคือการเมืองของฝ่ายคุณจาตุรนต์ ยึดถือนั้นเป็นฝ่ายการเมืองที่ล้าหลังที่สืบทอดความจัญไรมายาวนานกว่า 81 ปี
ระบอบเผด็จการ (Dictatorship Regime) หมายถึง ระบอบการเมืองที่ปราศจากหลักการปกครอง หรือปราศจากเนื้อหา แก่นสารของหลักการปกครอง ระบอบเผด็จการคือระบอบการเมืองที่มีแต่รัฐธรรมนูญ หรือระบอบที่เริ่มต้นด้วยการร่างรัฐธรรมนูญ โดยเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย และนี่คือลักษณะสัมพันธภาพของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญไทย 18 ฉบับกล่าวโดยย่อดังนี้
1. คณะราษฎร สร้างระบอบรัฐธรรมนูญขึ้นมา พวกคณะราษฎรเองในตอนนั้น (24 มิถุนายน 2475) พวกเขาก็มิได้บิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย มาบิดเบือนเอาตอนรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 5 โดยจอมพลป. พิบูลสงคราม มาเขียนลงในรัฐธรรมนูญว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย” จากนั้นมาก็มีการบิดเบือนกันมาเรื่อยๆ ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ลัทธิรัฐธรรมนูญ คือระบอบเผด็จการชนิดหนึ่ง เป็นเผด็จการโดยอ้อม เพราะเผด็จการรัฐธรรมนูญใช้ระบบรัฐสภา มีการเลือกตั้งแต่ซื้อเอาและซื้อมากขึ้น จากรองเท้าข้างเดียว กลายเป็นหัวละ 1,000-2,000 บาทในทางภาคอีสาน
2. กฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถสร้างระบอบประชาธิปไตยได้ เพราะตัวกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือ เป็นวิธีการ ในการใช้อำนาจปกครอง แต่ในเมื่อไม่มีการสถาปนาหลักการปกครองฯ หรือไม่มีจุดหมายร่วมของปวงชน มันมีแต่วิธีการ เช่น เดิน วิ่ง นั่งรถยนต์ เครื่องบิน แต่ไม่มีจุดหมายของประชาชน จุดหมายมันก็เลยกลายเป็นของผู้ปกครองคือนักการเมืองและนายทุนพรรคฯ เพียงหยิบมือเดียว เมื่อหลายๆ พรรค ก็หลายๆ จุดหมาย เมื่อหลายกลุ่มก็หลายๆ จุดหมาย มันจึงเกิดการขัดแย้งระหว่างประชาชน ดังนั้น ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงเป็นลัทธิทางการเมืองของนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว จึงเรียกว่าเป็นเผด็จการ และมีรัฐธรรมนูญเป็นตัวถือดุลความเชื่อและการปกครองชนิดนี้ล้าหลังสุด ดังนั้น นายจาตุรนต์และพวก เห็นผิดอย่างร้ายต่อชาติ ซึ่งได้สืบทอดกันมายาวนาน ทำลายประเทศชาติมายาวนาน
แนวคิดที่ว่า “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย” ของทักษิณ ของพรรคเพื่อไทย ของนายจาตุรนต์ เราขอบอกว่า จะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ “สักร้อยครั้งพันฉบับมันก็ไม่มีวันได้ระบอบประชาธิปไตย” มันจะได้แต่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญทุกครั้งไปต่างก็เห็นมากับตากันทุกคนแล้วมิใช่หรือ จาตุรนต์ มันก็แค่คนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มิใช่หรือ หรือมันก็แค่คนตาบอดคลำช้าง
3. เหตุแห่งความบิดเบือนที่เห็นเด่นชัด จากระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญอยู่ๆ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หนึ่งในคณะราษฎร ที่เข้าใจว่า กฎหมายรัฐธรรมรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2492 (มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ซึ่งเป็นการเขียน บัญญัติขึ้นลอยๆ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยปราศจากการเสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยและเปิดเผย ให้ความรู้แก่ประชาชนต่อประชาชนให้รับรู้และสถาปนาขึ้นเป็นหลักการปกครองประชาธิปไตยแห่งชาติ
และที่ซ้ำร้ายก็คือ จอมพล ป.ได้สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ (รูปร่างหน้าตา ความเกี่ยวข้องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นประชาธิปไตยอะไรเลย) ขึ้นมาตรงใจกลางเมืองบนถนนราชดำเนิน แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ตั้งชื่อว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งทำให้ผู้ปกครองรุ่นหลัง นักวิชาการ สื่อมวลชน ผู้คนทั้งหลายต่างก็เข้าใจผิดกันอย่างร้ายแรงและแก้ไขยากที่สุดสำหรับไทยเราว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย จนทำให้มวลชนนักศึกษาในอดีต พรรคเพื่อไทย มวลชนเสื้อแดง ฯลฯ ยึดเอามาเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่มันกลายเป็นเผด็จการรัฐธรรมนูญทุกครั้งไป และ จาตุรนต์ มิใช่หรือเป็นอีกคนหนึ่งที่สืบทอดแนวคิดนี้ จึงได้ว่าแนวคิดนี้ล้าหลังที่สุด
สภาพการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่จริงในขณะนี้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ดุจดังสระน้ำเน่า และจระเข้ในน้ำเน่า คือพรรคการเมืองสองฝ่ายขัดแย้งกันแย่งชิงผลประโยชน์ หากเราฆ่าจระเข้ตัวหนึ่งตาย ตัวใหม่ก็โผล่ขึ้นมาอาละวาดอีก ดังคำกล่าวทั่วไปว่า “อัปรีย์ไป จัญไรมา” เป็นเช่นนี้เรื่อยมา
การปัญหาก็คือถมสระน้ำเน่า เพราะเอาน้ำมาใช่บริโภคไม่ได้ มันเป็นประโยชน์เฉพาะจระเข้ เท่านั้น
ข้อคิดสำคัญ ไม่มีประเทศประชาธิปไตยแท้จริงในโลก ที่เอากฎหมายไปสร้างระบอบประชาธิปไตย จะมีแต่กฎรัฐธรรมนูญเกิดจากระบอบประชาธิปไตย หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นผลของระบอบประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตย คือจุดหมายหรือเป้าหมาย ส่วนกฎหมายรัฐธรรมนูญคือวิธีการไปสู่เป้าหมาย นี่คือความถูกต้อง มวลชนพันธมิตรฯ เสนอในแนวทางนี้จึงได้ปฏิเสธแนวคิดทางการเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ จึงเห็นได้ว่า มวลชนพันธมิตรฯ ก้าวหน้าที่สุด เพราะเห็น คิด คิดทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ไม่เป็นการสืบทอดหลอกลวงประชาชนมายาวนานกว่า 81 ปี
สภาปฏิรูปของฝ่ายรัฐบาลเท่าที่ฟังมาต่างก็มีความเห็นผิดกันทุกตัวคน ในท้ายที่สุด พวกเขาเสนอร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างองค์กรใหม่ เพราะพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ มันคิดกันได้แค่นั้น เพราะมันเป็นลัทธิความเชื่อทางรูปธรรมและวิธีการทางการเมือง ซึ่งเป็นลัทธิเผด็จการของพวกทุนการเมืองเพียงหยิบมือเดียว
ส่วนสภาปฏิวัติฝ่ายพลเมืองจะเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ดุจดังสร้างวัดพระแก้ว ทุกคนก็สามารถไปวัดพระแก้วได้ ก็ไปตามศักยภาพของอาชีพนั้นๆ ไปอย่างมีความสุข ยุติธรรม เป็นภราดรภาพ รู้รักสามัคคีธรรม เป็นดุลยภาพ เป็นหลักนิติธรรมของปวงชนอย่างแท้จริง นี่คือแนวคิดที่ก้าวหน้าที่สุดของชาติ
อยากให้กองทัพแห่งชาติอ่านจังเลย จะได้ไม่จมปลักเน่าๆ เชื่อผิดๆ ไม่อยากให้ใครๆ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว อย่างนายจาตุรนต์ ฉายแสง เสนาบดีมาร ซึ่งล้าหลังที่สุด แต่หารู้ตัวไม่
เราผู้เขียนขอแสดงความเห็นว่า
1. พันธมิตรฯ เป็นกลุ่มพลังมวลชนที่ก้าวหน้าที่สุดในขณะนี้ ความก้าวหน้าที่สุดที่ว่าคือ เริ่มมองเห็นแล้วว่า ระบอบการเมืองปัจจุบันเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ มายาวนาน 81 ปี พันธมิตรฯ จึงได้ปฏิเสธพรรคการเมืองในระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญคือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์
2. พันธมิตรฯ ที่ได้ประกาศสลายตัวหยุดการเคลื่อนไหว เป็นผลดีต่อชาติอย่างมหาศาลและเชิดชูมวลชนอย่างแท้จริง เพราะนั้นคือการปล่อยให้มวลชนพันธมิตรฯ คิดสู้เอง เพื่อให้พันธมิตรฯ ทุกคนเข้มแข็งขึ้น โดยไม่หวังพึ่งแกนนำเพียงไม่กี่คน นี่คือความฉลาดของแกนนำพันธมิตรฯ ที่ต้องการขยายฐานกว้างออกไป และเป็นการให้อิสระในการคิด การศึกษา การต่อสู้แก่มวลสมาชิกพันธมิตรฯ แกนนำพันธมิตรฯ ไม่มีความติดยึดในความเป็น ความมีในความเป็นแกนนำ ผลที่ออกมาคือ ทำให้เกิดแกนนำประชาชนมากขึ้นที่จะต่อสู้กับความเห็นผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย 81 ปี ทั้งๆ ที่ความจริงมันเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญมายาวนาน 81 ปี โดยที่ผู้ปกครองฯ ทุกรัฐบาลต่างก็บิดเบือน โกหก สืบทอดกันมายาวนาน 81 ปี ดังที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ พูดในวันประชุมเปิดสภาปฏิรูปฯ ว่า “เราจะทำอย่างไรให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนี้จะได้พัฒนามั่นคงยิ่งๆ ขึ้น” ที่จริง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ น่าจะพูดว่า เราจะทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนระบอบเผด็จการทุกวันนี้ให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เพราะตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์เอง และคนเขียนสคริป มีความเห็นผิดอย่างร้ายแรงว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ความเชื่อเช่นนี้ เป็นความเชื่อล้าหลังและอันตรายต่อชาติและประชาชน เพราะเป็นความเชื่อที่เห็นผิด ที่ไม่สามารถแก้ไขเหตุวิกฤตชาติได้เลย
3. พันธมิตรฯ เป็นกลุ่มพลังมวลชนที่ได้สอน ให้ยึดมั่น ให้จงรักภักดีในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างสุดจิตสุดใจ นี่เป็นความก้าวหน้าทางการเมืองของพันธมิตรฯ ส่วนพวกที่โจมตีให้ร้ายสถาบันหลักของชาติ เป็นพวกล้าหลังจัญไรที่สุดของชาติ ที่มองไม่เห็นความดีของสถาบันหลักของชาติ การเชิดชูอุดมการณ์แห่งชาติ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นฝ่ายก้าวหน้าที่สุด เป็นเอกภาพที่สุด
4. แกนนำและมวลชนพันธมิตรฯ มากมายที่ต้องการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี่คือความก้าวหน้าที่สุดของการเมืองไทยและโลก เพราะเป็นแนวคิดที่ถูกต้องที่สุดในการทำการเมืองให้เป็นของประชาชนชั่วลูกชั่วหลานอย่างแท้จริง การร่วมใจกันสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย คือการร่วมใจกันสร้างจุดหมาย (เป้าหมาย) ร่วมของปวงชน ทำให้ปวงชนในชาติเป็นเอกภาพ ทำให้ประชาชนถือธรรมเป็นใหญ่ ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้มแข็ง ทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง ทำให้ประชาชนมีความรักชาติ มีความรับผิดชอบต่อชาติ ทำให้ประชาชนมีความสำนึกในการรักชาติ เช่น รู้สึกว่า ตนเองเป็นนักการเมืองที่ดีของชาติ ตนเองเป็นทหาร ตนเองเป็นตำรวจ คอยปกป้องบ้านเมืองและช่วยกันป้องกันที่ชั่วร้ายในสังคมและบ้านเมือง และย่อมทำให้ประชาชนมีเสรีภาพบริบูรณ์ทางการเมือง ทำให้ประชาชนมีความเสมอภาคทางโอกาส ทำให้ประชาชนมีภราดรภาพ ทำให้ประชาชนมีความเป็นเอกภาพ ทำให้เกิดดุลยภาพในทุกภาคส่วนมีความมั่นคงเข้มแข็ง ทำให้ประชาชนมีหลักนิติธรรมในใจของประชาชนทุกคน
ส่วนแนวการเมืองล้าหลังทำลายชาติของฝ่ายพรรคการเมืองต่างๆ เช่นเพื่อไทยคือการเมืองของฝ่ายคุณจาตุรนต์ ยึดถือนั้นเป็นฝ่ายการเมืองที่ล้าหลังที่สืบทอดความจัญไรมายาวนานกว่า 81 ปี
ระบอบเผด็จการ (Dictatorship Regime) หมายถึง ระบอบการเมืองที่ปราศจากหลักการปกครอง หรือปราศจากเนื้อหา แก่นสารของหลักการปกครอง ระบอบเผด็จการคือระบอบการเมืองที่มีแต่รัฐธรรมนูญ หรือระบอบที่เริ่มต้นด้วยการร่างรัฐธรรมนูญ โดยเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย และนี่คือลักษณะสัมพันธภาพของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญไทย 18 ฉบับกล่าวโดยย่อดังนี้
1. คณะราษฎร สร้างระบอบรัฐธรรมนูญขึ้นมา พวกคณะราษฎรเองในตอนนั้น (24 มิถุนายน 2475) พวกเขาก็มิได้บิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย มาบิดเบือนเอาตอนรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 5 โดยจอมพลป. พิบูลสงคราม มาเขียนลงในรัฐธรรมนูญว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย” จากนั้นมาก็มีการบิดเบือนกันมาเรื่อยๆ ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ลัทธิรัฐธรรมนูญ คือระบอบเผด็จการชนิดหนึ่ง เป็นเผด็จการโดยอ้อม เพราะเผด็จการรัฐธรรมนูญใช้ระบบรัฐสภา มีการเลือกตั้งแต่ซื้อเอาและซื้อมากขึ้น จากรองเท้าข้างเดียว กลายเป็นหัวละ 1,000-2,000 บาทในทางภาคอีสาน
2. กฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถสร้างระบอบประชาธิปไตยได้ เพราะตัวกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือ เป็นวิธีการ ในการใช้อำนาจปกครอง แต่ในเมื่อไม่มีการสถาปนาหลักการปกครองฯ หรือไม่มีจุดหมายร่วมของปวงชน มันมีแต่วิธีการ เช่น เดิน วิ่ง นั่งรถยนต์ เครื่องบิน แต่ไม่มีจุดหมายของประชาชน จุดหมายมันก็เลยกลายเป็นของผู้ปกครองคือนักการเมืองและนายทุนพรรคฯ เพียงหยิบมือเดียว เมื่อหลายๆ พรรค ก็หลายๆ จุดหมาย เมื่อหลายกลุ่มก็หลายๆ จุดหมาย มันจึงเกิดการขัดแย้งระหว่างประชาชน ดังนั้น ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงเป็นลัทธิทางการเมืองของนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว จึงเรียกว่าเป็นเผด็จการ และมีรัฐธรรมนูญเป็นตัวถือดุลความเชื่อและการปกครองชนิดนี้ล้าหลังสุด ดังนั้น นายจาตุรนต์และพวก เห็นผิดอย่างร้ายต่อชาติ ซึ่งได้สืบทอดกันมายาวนาน ทำลายประเทศชาติมายาวนาน
แนวคิดที่ว่า “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย” ของทักษิณ ของพรรคเพื่อไทย ของนายจาตุรนต์ เราขอบอกว่า จะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ “สักร้อยครั้งพันฉบับมันก็ไม่มีวันได้ระบอบประชาธิปไตย” มันจะได้แต่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญทุกครั้งไปต่างก็เห็นมากับตากันทุกคนแล้วมิใช่หรือ จาตุรนต์ มันก็แค่คนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มิใช่หรือ หรือมันก็แค่คนตาบอดคลำช้าง
3. เหตุแห่งความบิดเบือนที่เห็นเด่นชัด จากระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญอยู่ๆ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หนึ่งในคณะราษฎร ที่เข้าใจว่า กฎหมายรัฐธรรมรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2492 (มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ซึ่งเป็นการเขียน บัญญัติขึ้นลอยๆ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยปราศจากการเสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยและเปิดเผย ให้ความรู้แก่ประชาชนต่อประชาชนให้รับรู้และสถาปนาขึ้นเป็นหลักการปกครองประชาธิปไตยแห่งชาติ
และที่ซ้ำร้ายก็คือ จอมพล ป.ได้สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ (รูปร่างหน้าตา ความเกี่ยวข้องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นประชาธิปไตยอะไรเลย) ขึ้นมาตรงใจกลางเมืองบนถนนราชดำเนิน แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ตั้งชื่อว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งทำให้ผู้ปกครองรุ่นหลัง นักวิชาการ สื่อมวลชน ผู้คนทั้งหลายต่างก็เข้าใจผิดกันอย่างร้ายแรงและแก้ไขยากที่สุดสำหรับไทยเราว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย จนทำให้มวลชนนักศึกษาในอดีต พรรคเพื่อไทย มวลชนเสื้อแดง ฯลฯ ยึดเอามาเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่มันกลายเป็นเผด็จการรัฐธรรมนูญทุกครั้งไป และ จาตุรนต์ มิใช่หรือเป็นอีกคนหนึ่งที่สืบทอดแนวคิดนี้ จึงได้ว่าแนวคิดนี้ล้าหลังที่สุด
สภาพการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่จริงในขณะนี้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ดุจดังสระน้ำเน่า และจระเข้ในน้ำเน่า คือพรรคการเมืองสองฝ่ายขัดแย้งกันแย่งชิงผลประโยชน์ หากเราฆ่าจระเข้ตัวหนึ่งตาย ตัวใหม่ก็โผล่ขึ้นมาอาละวาดอีก ดังคำกล่าวทั่วไปว่า “อัปรีย์ไป จัญไรมา” เป็นเช่นนี้เรื่อยมา
การปัญหาก็คือถมสระน้ำเน่า เพราะเอาน้ำมาใช่บริโภคไม่ได้ มันเป็นประโยชน์เฉพาะจระเข้ เท่านั้น
ข้อคิดสำคัญ ไม่มีประเทศประชาธิปไตยแท้จริงในโลก ที่เอากฎหมายไปสร้างระบอบประชาธิปไตย จะมีแต่กฎรัฐธรรมนูญเกิดจากระบอบประชาธิปไตย หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นผลของระบอบประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตย คือจุดหมายหรือเป้าหมาย ส่วนกฎหมายรัฐธรรมนูญคือวิธีการไปสู่เป้าหมาย นี่คือความถูกต้อง มวลชนพันธมิตรฯ เสนอในแนวทางนี้จึงได้ปฏิเสธแนวคิดทางการเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ จึงเห็นได้ว่า มวลชนพันธมิตรฯ ก้าวหน้าที่สุด เพราะเห็น คิด คิดทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ไม่เป็นการสืบทอดหลอกลวงประชาชนมายาวนานกว่า 81 ปี
สภาปฏิรูปของฝ่ายรัฐบาลเท่าที่ฟังมาต่างก็มีความเห็นผิดกันทุกตัวคน ในท้ายที่สุด พวกเขาเสนอร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างองค์กรใหม่ เพราะพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ มันคิดกันได้แค่นั้น เพราะมันเป็นลัทธิความเชื่อทางรูปธรรมและวิธีการทางการเมือง ซึ่งเป็นลัทธิเผด็จการของพวกทุนการเมืองเพียงหยิบมือเดียว
ส่วนสภาปฏิวัติฝ่ายพลเมืองจะเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ดุจดังสร้างวัดพระแก้ว ทุกคนก็สามารถไปวัดพระแก้วได้ ก็ไปตามศักยภาพของอาชีพนั้นๆ ไปอย่างมีความสุข ยุติธรรม เป็นภราดรภาพ รู้รักสามัคคีธรรม เป็นดุลยภาพ เป็นหลักนิติธรรมของปวงชนอย่างแท้จริง นี่คือแนวคิดที่ก้าวหน้าที่สุดของชาติ
อยากให้กองทัพแห่งชาติอ่านจังเลย จะได้ไม่จมปลักเน่าๆ เชื่อผิดๆ ไม่อยากให้ใครๆ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว อย่างนายจาตุรนต์ ฉายแสง เสนาบดีมาร ซึ่งล้าหลังที่สุด แต่หารู้ตัวไม่