xs
xsm
sm
md
lg

“ปฐมพงษ์” ชี้ จอมพลเผด็จการ ยังไม่ขายชาติ รักสถาบัน ปลุก น้องทหารยึดคำถวายสัตย์ฯ ปรามล้างผิดยกเข่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการ - อดีต ปธ.ที่ปรึกษากองทัพไทย ชื่นชม “พ.ท.ณรงค์เดช” เสือน้อยตำนานทหารเสือราชินี จงรักภักดีสูง เป็นตัวอย่างรุ่นหลัง ย้อนบรรดาจอมพลเผด็จการ ยังรักชาติ เทิดทูนสถาบัน ทะเลาะกันไม่ทำให้ชิบหาย จี้ อย่าจงรักภักดีแต่ปากต้องรู้เพราะอะไร ชี้ ทหารรุ่นพี่น้องรักกันได้ ต้องยึดชาติ ทำตามคำปฏิญาณ บางเรื่องห้ามยอม เห็นใจครอบครัวธุวธรรม ปรามล้างผิดยกเข่ง ปลุกผู้บัญชาการอย่านิ่ง อย่าให้ตัวเองถูกตราหน้าอยู่แล้วไม่ทำอะไร ชี้ พ.ร.บ.นิรโทษฯ มีผลต่อล้างผิดผู้กระทำผิดมาตรา 112 หมิ่นสถาบัน อย่าใช้รัฐสภาฉ้อฉล ทำให้ กม.ฉบับนี้เกิดความอัปยศ



พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย และประธานองค์กรอุณาโลม ร่วมรายการ “เพื่อชาติและราชบัลลังก์ มีอะไรไหม เป็นไงเป็นกัน” ออกอากาศทางช่องเอเอสทีวี ทีวีของประชาชน เมื่อวานนี้ (10 ส.ค.) มี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย ดำเนินรายการ โดย พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวตอบคำถามถึงที่มาขององค์กรอุณาโลม ว่า จัดตั้งขึ้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งช่วงนั้นตนได้เป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ทำกฎหมายออกมา 3 ฉบับ ร่วมกับพวกทหารด้วยกัน ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องสิทธิประโยชน์กำลังพลชั้นผู้น้อย และได้ติดตามผลักดันเพื่อให้เป็นกฎของกระทรวงต่างๆ หลังมี พ.ร.บ.ออกมาแล้วโดยพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่งผลให้ปัจจุบันที่เห็นหลักๆ คือ พลทหารรับเงินประจำเดือน 9 พันบาท ส่วนทหารผ่านศึกที่พิการ ได้รับเงินจำนวน 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเมื่อก่อนน้อยมาก ได้แยะขึ้นมา รวมถึงเรื่องบําเหน็จตกทอด และพวกติดขั้นเงินเดือน เพราะไม่มีตำแหน่ง เมื่อรับตำแหน่งแล้วก็ยืดขั้นออกไปให้ เพื่อรับเงินเดือนที่สูงขึ้นไป

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวต่อว่า องค์กรอุณาโลม มี 4 ประเด็นที่จะปฏิบัติ คือ 1.ปลูกฝังอุดมการณ์ให้คนภายในชาติ ให้จงรักภักดี ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2.ผลักดันเรื่องของกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.ทั้ง 3 ฉบับ มีผลต่อสิทธิประโยชน์กำลังพลกองทัพไทย 3.เชิดชูคนดีในสังคมไทย ที่ทำประโยชน์ต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 4.แนะนำรัฐบาลในการใช้กองทัพ ยกตัวอย่างเช่น ให้ข้อพิจารณาในการซื้อบอลลูนตรวจการณ์, จีที 200 ควรใคร่ครวญให้มากกว่านี้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นภารกิจหลักองค์กรอุณาโลม

ขณะเดียวกันยังเผยว่า พบปะบรรดาทหารอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงต้องตามเรื่องให้ตามที่ร้องขอ ในฐานะเป็นพลเอกนอกราชการ และมีบทบาทในเรื่องทำกฎหมาย โดยทำเรื่องถึงผู้บัญชาการหน่วยต่างๆ เพราะทหารมีการโยกย้ายบ่อย โดยถือว่าเป็นการช่วยเสริมงาน และเป็นขวัญกำลังใจให้ทหาร ระบุเป็นอีกองค์กรที่ช่วย หากยื่นเรื่องเองอาจมีปัญหาเยอะ

พล.อ.ปฐมพงษ์ ยังได้อธิบายถึงบทบาทหน้าที่และความเป็นมาของทหารเสือราชินี ว่า ในหน่วยนี้มีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นผู้บังคับการกรมพิเศษ เมื่อก่อนตั้งอยู่ที่สะพานเกษะโกมล และหน่วยนี้ได้มีโอกาสไปรบที่เกาหลี ภายหลังได้ย้ายไปที่ชลบุรี พร้อมเผยว่ามีโอกาสได้สัมผัสตรงนี้ เพราะรุ่นน้องที่เป็นเตรียมทหารรุ่น 8 (พ.ท.ณรงค์เดช นันทโพธิ์เดช) ส่วนตนเป็นรุ่นที่ 7 ซึ่งตนยอมรับในความรู้ความสามารถ ความจงรักภักดี และเคยเป็นผู้ปกครองดูแล ได้เชิญชวนให้มาเรียนรู้โครงการในพระราชดำริ ศิลปาชีพ พร้อมทั้งพาเข้าเฝ้าฯถวายตัว และได้รับพระราชทานสร้อย พระหลวงปู่โต๊ะ จากพระองค์ท่าน ทั้งนี้ยังมีพระราชดำริแก่ทุกคนที่เข้าเฝ้าฯ ซึ่งถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง หลังจากนั้นรุ่นน้อง พ.ท.ณรงค์เดช ได้กล่าวกับตนว่า “พี่ ต่อไปนี้พี่ต้องเป็นทหารเสือกองกำลังพิเศษน่ะ ซึ่งอยู่ในส่วนของทหารเสือ เวลามีอะไรพี่ ก็จะฟังคำสั่งจากผม พี่ต้องมาน่ะแล้วก็ไป การเดินทางอะไรทั้งหลาย พี่ก็ดำเนินการได้เลย เดียวคำสั่งต่างๆ ผมจะดำเนินการให้”

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวต่อว่า เมื่อครั้งที่ พ.ท.ณรงค์เดช เดินทางมาที่ จ.สงขลา นั้น ตนต้องรับ เพราะมาในฐานะผู้แทนพระองค์ มาตรวจดูโครงการพระราชดำริ ซึ่งตนยอมรับรุ่นน้องแบบนี้ ในเรื่องความดีงาม ความรู้ความสามารถ และยอมรับว่าทหารแบบนี้ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ มีความปลอดภัยมั่นคง และยังได้มีการฝึกรุ่นน้องให้เกิดความรู้สึกเข้มแข็งแข็งแกร่ง ทั้งร่างกายและจิตใจ ตนคิดว่าถ้าเขา (พ.ท.ณรงค์เดช ) ยังมีชีวิตอยู่ กองทัพคงไม่เป็นแบบนี้

เพราะว่าผมมั่นใจว่าเขาไม่วอกแวกเรื่องอื่นๆ มั่นคงในหน้าที่เป็นทหารที่ดี จงรักภักดี แต่ว่าธรรมดาของคน ในวันที่เขาโตขึ้นมาในความเข้มแข็ง แข็งแกร่ง ทำให้มีคนอิจฉาแยะ ทุกครั้งที่ตนไปชลบุรีต้องไปกราบคาราวะอนุสาวรีย์ของเขา ที่ ร.21 พัน 2 แม้จะมีทั้งคนชอบไม่ชอบ แต่ที่ประทับใจคือความรู้ความสามารถทางทหาร จิตใจที่แข็งแกร่งกล้าหาญ และความจงรักภักดีสูงมาก ไม่มีอะไรไปสั่นคลอนได้ นี้คือตำนานทหารเสือ ยกย่องให้เป็นเสือเล็ก โดยที่เสือใหญ่เป็น พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์

พล.อ.ปฐมพงษ์ ตอบคำถามกรณีทหารเสือบางคนไปยุ่งกับนักการเมือง หรือไขว้เขว เพราะอามิสสินจ้าง ว่า เป็นทหารโดยทั่วไปก็ไม่ควรเขว ต่ออามิสสินจ้าง เป็นทหารมีเกียรติ เพราะในหลวงรัชกาลที่ 5 มีรับสั่งว่า “เรามีเกียรติ เพราะเป็นทหาร” เพราะหน้าที่ของพวกเรายิ่งเมื่อจบนายร้อยแล้ว จะต้องนำทหารไปรบ นั้นหมายถึงว่า เจ็บตายเหนื่อยหิว ตรงนี้ลักษณะผู้นำทางทหารต้องมี ที่นี้ในการเป็นทหารเสือ เมื่อทหารต่างๆ มีแยะมากขึ้น สิ่งที่ พ.ท.ณรงค์เดช ได้ทำขึ้นมาต้องการทำให้เข้มขึ้นอีกว่า การเป็นทหารเสือคุณต้องมีคุณลักษณะพิเศษเพิ่มเติม เหนือกว่าคนอื่นๆ เหมือนหน่วยซีล เหมือนหน่วยพิเศษ โดยตั้งหลักสูตร ทั้ง ขี้ม้า ยิงธนู อีกหลากหลาย ซึ่งเป็นความสามารถที่คิดว่า ทำให้เกิดการยอมรับทั้งในทหารด้วยกันเอง และคนอื่นๆ ด้วย ทั้งนี้ตนยอมรับไม่มีโอกาสฝึกทหารเสือ แต่เพราะพ.ท.ณรงค์เดช ยกย่องให้โอกาส อีกทั้งตอนนั้นตนก็เป็นทหารอาวุโส จึงต้องฝึกหลักสูตรพิเศษ และได้พาพระราชทานเกียรติยศ

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวถึงการผ่านหลักสูตรทหารเสือ ในเครื่องหมายทหารเสือ ริบบิ้นสีแดง ที่เขียนว่าทหารเสือนั้นเป็นกิตติมศักดิ์ แต่ถ้าผ่านหลักสูตรจะเป็นสีฟ้า และไม่ใช่แต่กำลังร่างกายอย่างเดียว ต้องมีสติปัญญารู้เรื่องโครงการพระราชดำริ ศิลปาชีพ ช่วยพระองค์ท่านดูแล และทหารเสือที่ พ.ท.ณรงค์เดช เล่าให้ฟังและทำเป็นตัวอย่าง คือ เขาไม่ได้ทำว่าตกเป็นทาสใคร หรือว่าไต่ยังไง เป็นตัวของตัวเอง ทำให้ตนคิดว่า ทหารร่างกายเข้มแข็งนำสู่ใจที่เข้มแข็ง และการถวายงานได้เห็นพระราชจิรยวัตร ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ทำให้มีความรู้สึกว่านั้นคือเกียรติยศสูงสุดแล้ว ไม่ใช่เงินทอง เราถวายงานกินนอนสบาย แต่ประชาชนรอตั้งแต่เช้าจรดเย็น เพื่อขอแค่ให้ได้เห็น เราได้ติดตามตลอด เราโชคดีขนาดนี้ในชีวิตจะเอาอะไรหนักหนา ทั้งนี้ตอนหลังได้มีการแปรเปลี่ยนไป หลังจากที่ พ.ท.ณรงค์เดช เสียชีวิต ความเข้มอาจน้อยลงไป แล้วก็กระบวนการของคนที่อาศัยบารมีเก่าที่ พ.ท.ณรงค์เดช ได้สร้างไว้ ยังพยายามจะได้รับเครดิตตรงนี้ ทั้งที่อาจทำไม่ได้เท่าเดิม

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวถึงความจงรักภักดี ว่า อาจมองต่างมุมกันไป บางคนอาจจงรักภักดี เพราะได้ประโยชน์ บางคนจงรักภักดีเป็นเกียรติยศชีวิต บางคนจงรักภักดีคิดว่าภาพพจน์ดี มีหลากหลาย แต่ความเข้มข้นของความจงรักภักดีคืออะไร ยกตัวอย่างบางคน แม้น้ำท่วม หากท่านเสด็จฯขอแค่ให้ได้รองรับพระบาท อันนี้เป็นความรู้สึกสูงสุดที่ว่า เราภาคภูมิใจ หรือการที่พระราชองครักษ์ เข้าเวรท่านเสด็จฯออกมา ก็ปลื้มใจแล้ว นี้คือแบบธรรมเนียมปลูกฝัง คุณเป็นทหารเพื่ออะไร

พล.อ.ปฐมพงษ์ ยังตอบคำถามว่า กองทัพปัจจุบันต่างจากแต่ละยุคสมัยอย่างไรว่า ตอบยอมรับว่า บารมีศักดิ์ศรีต่างกันแยะ ซึ่งช่วงวัยเด็กตนเคยเห็นจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เดินถือไม้เท้า มีคนตามอยู่ข้างหลังไกลมาก ขณะนั้นตนยังไม่ทราบว่าใครจึงไปถามบิดา ถึงได้คำตอบ สิ่งที่้ตนเห็นคือว่า ทหารมีพลัง มีความรู้สึกว่าคนยอมรับ เพราะมีความจงรักภักดีอย่างแท้จริง และเมื่อเราอ่านประวัติศาสตร์จะเห็นว่า การที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ก้าวเข้าสู่อำนาจ และพยายามอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด จนสุดท้ายจะไปไม่รอด แม้จะควบคุมด้วยเผด็จการ ก็มาเป็นประชาธิปไตยเลือกตั้ง แต่มาถึงขั้นสุดท้ายก็มีการโกงกัน ตรงนี้ยุคจอมพล ป.ในขั้นสุดท้าย พล.อ.เผ่า ศรียานนท์ ซึ่งอยู่ในทีมจอมพล ป.จอมพลสฤษดิ์ ก็ลาออกจากพรรคเสรีมนังคศิลา เพราะไม่ต้องการให้ทหารมาเกี่ยวข้องทางการเมือง ไม่อยู่ในพรรคการเมือง

พล.อ.ปฐมพงษ์ ระบุว่า ต้องเข้าใจประเด็นทหารเกี่ยวข้องการเมืองตลอด แต่อยู่ที่ว่าจะเกี่ยวแบบไหน ไปใช้สิทธิเลือกตั้งก็เกี่ยว ถ้าการเมืองทำให้บ้านเมืองชิบหายก็เกี่ยว ไม่เกี่ยวไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเมือง ทหาร สัมผัสกันตลอด แต่อย่าไปเล่นการเมืองเท่านั้นเอง แต่ป้องกันไม่ให้การเมืองทำลายกองทัพ ทำลายชาติ ทำลายสถาบันกษัตริย์ และเมื่อจอมพล ป.ถูก ปฏิวัติโดยจอมพลสฤษดิ์ ก็ยอมเพราะรู้กันภายในว่า ชาติจะไม่ชิบหายเพราะเราสู้กัน พร้อมทั้งคุยกันภายในให้ พล.อ.เผ่า ออกไป ทั้งหมดจบก็คือจบ รวมถึงสมัยพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ โดนรัฐประหาร ถูกเนรเทศไปอาร์เจนตินา นี้คือสิ่งที่เรียกว่า ลักษณะผู้นำทหารของจอมพลสฤษดิ์ ชัดเจนว่า อะไรยอมได้ยอมไม่ได้ ยอมได้ทุกเรื่อง แต่ไม่ยอมให้ใครมาหมิ่นในหลวง และในวันที่จอมพลสฤษดิ์ ป่วยหนักมากๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จฯไปเยี่ยมที่เขาสามมุก

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า ทุกคนมีทั้งดีและเลว ใครก็ว่าจอมพลสฤษดิ์ เผด็จการ เราไม่ว่ากัน แต่เผด็จการคนนี้ไม่ขายชาติขายแผ่นดิน จงรักภักดี แต่เผอิญว่าสิ่งที่จอมพลสฤษดิ์ ได้พยายามลองแล้วว่า รัฐประหารมา ให้ นายพจน์ สารสิน เป็นนายกฯแทน ไปไม่ไหวให้ จอมพลถนอม กิตติขจร รับตำแหน่งต่อ และก็ปฏิวัติเข้ามาจัดการทั้งหมด หลังจากนั้นก็มองเห็นว่า บ้านเมืองขณะนี้แล้ว ไม่สมควรมีการปกครองที่นักการเมืองมาโกงกิน จอมพลสฤษดิ์ จึงขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แต่ว่าระยะหลังเนื่องจากอาการป่วย การกำกับดูแลอาจมีช่องว่าง พล.อ.ปฐมพงษ์ ระบุว่า สิ่งที่ตนอย่างบอก จอมพลสฤษดิ์ รัฐประหารที่ ก็ไปหมดตั้งกระทรวงพัฒนา (อีสานเจริญยุคจอมพลสฤษดิ์ นายชัชวาลย์ กล่าว) จากนั้นก็กราบบังคมทูลฯ ทำแผนให้ในหลวง เสด็จฯเยี่ยมทั่วทุกภาค เพื่อให้รู้ว่าในหลวงของเราคือผู้ใกล้ชิดประชาชน

เพราะฉะนั้นที่ในหลวงทรงรับสั่งว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ทิ้งประชาชน” เพราะว่าจอมพลสฤษดิ์ ระลึกอยู่เสมอว่า ที่เป็นปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ทั้งนี้คนที่จงรักภักดี คุณจะต้องไม่จงรักภักดีโดยที่ว่า แค่ข้าพเจ้าจงรักภักดี ต้องศึกษาว่า จงรักภักดีเพราะอะไร ฉะนั้นพูดแล้วต้องระลึกถึงพระกรุณาธิคุณยิ่งใหญ่เหลือเกิน ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวต่อว่า 60 กว่าปี ในวัยของท่าน ทำไมความหนุ่ม ความสง่างาม มีหมดทุกอย่าง หลังท่านตรัสว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ทรงละทิ้งหมด และแนะนำให้ไปดูแต่ละปีที่ทรงพระราชทานบรมราโชวาท ขณะเดียวกันยังกล่าวถึงบูรพาพยัคฆ์ ว่า เกิดจาก พ.อ.อัมพร แก้วกำพล ผู้บังคับการกรมประสมที่ 2 จากหน่วยนี้เป็นบูรพาพยัคฆ์ หลังแปลงสภาพเป็นกองพลที่ 2 หน่วยนี้ฝึกเก่งรบเก่ง มีวินัยดี ต้นกำเนิดคือ พ.อ.อัมพร

พล.อ.ปฐมพงษ์ อธิบายคำว่า วงศ์เทวัญ ในวงการทหาร ว่า วงศ์เทวัญที่ว่าหน่วยนี้คือ ร.1 ในหลวงรัชกาลที่ 5 ส่วน ร.11 ในหลวงรัชกาลที่ 6 นี้คือวงศ์เทวัญ เพราะฉะนั้นจอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม จอมพลประภาส พล.อ.กฤษณ์ จะอยู่ตรงนี้ คือคนที่ต้องมาเป็นใหญ่ต้องผ่าน 2 กรมนี้ เป็น 2 กรมหลักของกองพลที่ 1 ในส่วนระดับอื่นๆ ผส.31 ผส.2 ก็อยู่นอกวงศ์เทวัญ ซึ่งเมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ แต่ระยะหลังก็เกิดการเปลี่ยนแปลง มีการปรับคนในวงศ์เทวัญ ไปอยู่กรมอื่นๆ จนเกิดความขัดแย้งแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งสีแบ่งเหล่าแบ่งรุ่น นี้คือสิ่งที่นำมาสู่ว่า ไม่ได้พิจารณาเรื่องความสามารถ ความรู้ความเหมาะสม กลายเป็นระบบอุปถัมภ์ ต้องยอมรับกองทัพประกอบด้วย คนที่จบจากเตรียมทหาร ร.ร.นายร้อย ร.ร.นายเรืออากาศ จบมหาวิทยาลัย ผู้ที่จบ ร.ร.ทหารประทวนนาย 10 ร.ร.จ่า ทั้งหลาย และมีพลทหารอีก

ต้องยอมรับว่า ต้องให้กองทัพเติบโต โดยการพิจารณาความสามารถ ไม่ใช่เกิดมาดีตลอดทั้งชาติ รุ่นมึงใหญ่เล่นพวก นี้คือความเสื่อมกองทัพ ถ้าเล่นพวกกันมากตรงนี้ แล้วมากัดกันเอง ข้างบนกัดกันเอง จบนายร้อยกัดกันเอง และคนที่ไม่ได้จบจากเตรียมนายร้อย รู้สึกเศร้าใจ ขณะที่ทุกคนสบายมาก รอโอกาส เลื่อยขาเก้าอี้กันตลอด ความเป็นวิชาชีพก็น้อยลงไป กำลังใจก็น้อย ฉะนั้นผู้บังคับบัญชาที่ดี จะต้องทำให้ขวัญกำลังใจผู้บังคับบัญชาดี

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่ให้แต่งตั้งเรา เพราะเติบโตโดยระบบ แต่ต้องมีจิตสำนึกว่า ยอมได้สิ่งที่ควรยอม กตัญญูสิ่งที่ควรกตัญญู แต่ไม่ใช่ยอมทุกเรื่อง พร้อมตอบคำถามนายชัชวาลย์ เรื่องความกตัญญูที่ยกตัวอย่าง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ตั้ง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นผู้บัญชาการทหารบก เพราะพวกเดียวกัน ต่อมาก็ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะกตัญญูในหมู่รุ่นพี่ ว่า เป็นผู้บัญชาการทหารบก เพราะพี่ช่วยยอมรับ แต่ว่าเมื่อมีเหตุการณ์ต้องเผชิญหน้าเกี่ยวกับศักดิ์ศรีกองทัพ หน้าที่ตามที่ปฏิญาณตน บางเรื่องขอไม่ได้ เช่น บอลลูนตรวจการณ์, GT200 เรื่องนี้มาขอไม่ได้ ต้องปฏิเสธเพื่อ กองทัพ ชาติ ชีวิตลูกน้อง ความกตัญญูมีให้ แต่อย่าให้เสื่อมเสียกองทัพ กระทบชีวิตกำลังพล โดยเฉพาะเรื่องมีผลต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะได้ปฏิญาณตนแล้ว “ยอมตาย เพื่อรักษาไว้เพื่อพระบรมเดชานุภาพ”

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวถึงคำปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล ว่า จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบแห่งประเทศ จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา จักรักษาไว้เพื่อพระบรมเดชานุภาพ จักรักษาไว้เพื่อการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทั้งจะปกครองผู้บังคับบัญชาด้วยความยุติธรรม จะไม่แพร่งพรายความลับทางทหาร ทั้งหมดคือให้เห็นว่าคุณต้องเป็นทหารที่ดีแบบนี้ และเมื่อคุณเป็นทหารรักษาพระองค์ต้องปฏิญาณ ว่า “ข้าพพุทธเจ้าถวายคำต่อฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพพุทธเจ้าจักยอมตาย รักษาไว้เพื่อพระบรมเดชานุภาพ แห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ข้าพพุทธเจ้าจะจงรักภักดีถวายความปลอดภัย ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจนชีวิตหาไม่ ข้าพเจ้าจะรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ของทหารรักษาพระองค์ ทั้งจะปฏิบัติตนให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกประการ”

นายชัชวาลย์ ตั้งคำถามถึงทหารที่ไปรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีอาญา พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า ให้ความรู้สึกกับตัวเองที่ดีว่า อาจจะเป็นแผนล่อรึป่าว หลอกให้เชื่อว่ายอมก่อนจัดการทีเผลอ หลังจากนั้นทางรายการได้เปิดคลิปวิดีโอการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ และ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อมา นายชัชวาลย์ ได้ตั้งคำถามถึงท่าที พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยอมรับ พ.ร.บ.นิรโทษฯ อ้างว่าเป็นกระบวนการทางกฎหมาย และหากเป็นพล.อ.ปฐมพงษ์ จะมีท่าทีเช่นไร

พล.อ.ปฐมพงษ์ ระบุว่า ท่าทีแรกต้องรักษาขวัญกำลังใจกำลังพล ให้เกิดความรู้สึกว่าปกป้องเพราะเราสั่งเขา ต้องรักษาขวัญกำลังของครอบครัว ด้วยการออกมาปรามกระบวนการกดดันศาล หรือใช้สื่อกดดัน ต้องการความยุติธรรมความเป็นกลางต้องเคารพกฎหมาย ถ้ามากดดันยอมไม่ได้ ผู้ที่ถูกกดันอย่างศาลรัฐธรรมนูญ ศาลสถิตยุติธรรม ศาลปกครอง องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ถ้าได้รับความกดดัน กองทัพจะต้องปกป้อง ทำเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ารัฐบาล เพราะรัฐบาลได้ถวายสัตย์แล้วต้องทำยังไง ถ้ารัฐบาลเพิกเฉยถือว่าละเลย เราเตือนให้คุณต้องทำตาม เพราะการเตือนให้ผู้บังคับบัญชาถือว่าถูกต้อง มีวิธีการมากมายปรามคนชั่ว ให้กำลังใจคนดี

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า การมีตำแหน่งสำคัญๆ เช่น จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม จอมพลประภาส แม้ใครว่าทรราชย์ต่างๆ แต่ความดีงามที่มีเหลือทำให้กองทัพ ทำให้รู้สึกว่าคนพวกนี้ เรายอมรับ แต่ไม่ใช่ว่าคุณอยู่แล้วไม่ดูแลคนในกองทัพ เมื่อเกษียณไปจะหาที่ไหนเดินในกองทัพ คุณจะไม่มีที่เดิน การดูแลรุ่นพี่รุ่นน้องนั้นดูแลได้ แต่อย่าดูแลจนชาติ กองทัพชิบหาย สิ่งสำคัญทหารต้องมีหน้าที่ชัดเจนต้องทำอะไร ทั้งทหารประจำการ ทหารรักษาพระองค์ ทหารนอกประจำการ ตนอยากเห็นพวกสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ออกมาพูดบ้าง เพราะคุณทำมาแล้ว 5 ข้อ บอกน้องให้ทำต่อ แต่เราก็เห็นแล้วบางคนเอาตัวรอด ทหารพวกนี้ทำกองทัพเสื่อม

พล.อ.ปฐมพงษ์ ยังกล่าวเห็นใจ นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม และดวงวิญญาณ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ระบุว่าหัวหน้าบูรพาพยัคฆ์ พล.อ.ประวิตร ควรเป็นคนแรกที่ต้องออกมา ตามด้วย พล.อ.อนุพงษ์ พล.อ.ประยุทธ์ คุณไปละเมออยู่ที่ไหน นี้คือผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณ แล้วครอบครัวเขายังทุกข์ยาก ถึงตรงนี้สิ่งที่คุณทำ ทำให้คนอื่นระแวงว่า คนแบบนี้จะเป็นรัฐมนตรีกลาโหม หรือ นายกรัฐมนตรี เรายังจำภาพ พล.อ.ประวิตร ที่กระทรวงมหาดไทย ที่เจอเสื้อแดงบุกเข้าไป แม้ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องยังมีอยู่ ความนับถือมันเสื่อมไปเรื่อยๆ อยากเตือนรุ่นน้องที่มีตำแหน่งในปัจจุบัน อย่าให้ตัวเองถูกตราหน้าอยู่แล้วไม่ทำอะไร เพราะฉะนั้น พ.ร.บ.นิรโทษฯ รู้อยู่แล้วมีผลต่อล้างผิดผู้กระทำผิดมาตรา 112 หมิ่นสถาบัน เผาบ้านเผาเมือง ฆ่าทหาร ผู้บัญชาการควรพูดว่า ผมยอมรับกระบวนการรัฐสภา แต่อย่าใช้รัฐสภาฉ้อฉล ทำให้กฎหมายฉบับนี้เกิดความอัปยศ เสียหายต่อความรู้สึกของคนภายในชาติ

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวถึงกฎกระทรวงกลาโหมที่มี ว่า มันจะไปเหนือกว่ามาตรา 70, 71, 73, 77 ของรัฐธรรมนูญไม่ได้ ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และคุณจะรักษาได้อย่างไรเมื่อขวัญกำลังใจกำลังพลอ่อนลง เพราะผู้บัญชาการเป็นเช่นนี้ ควรตรวจสอบในสิ่งที่ถูกตำหนิว่าเพราะอะไร กองทัพมีการจัดการที่ดีมาก มีเทคโนโลยีมากมาย มีคนมีความรู้ แต่ไม่สามารถให้ความจริงได้เพราะอะไร ความกลัวหรือความหวาดระแวง ถ้าคุณตั้งหลักใหม่อีกปีหนึ่งที่เหลือ จะต้องทำให้บ้านเมืองสงบตามคำปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล คุณทำได้ด้วยการออกมาปรามก่อน ขอดูญัตติที่มีการแปรหลังผ่านวาระ 1 รับไม่ได้ต้องปราม เพื่อไม่ไห้ พ.ร.บ.ผ่าน เพื่อไปทำร้ายปล่อยคนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พวกที่ฆ่าทหาร เผาบ้านเผาเมืองออกมา และจะกลายเป็นวัฒนธรรม การเมืองที่สกปรกในอนาคตว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่มีอำนาจในสภาออกกฎหมาย นั้นคือระบอบประชาธิปไตย ในขั้นสุดท้ายแล้วเงินเป็นตัวหลัก ต้องโกง ให้มานั่งในสภา สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาคนที่มีหน้าที่ทำงานไม่กล้าหาญตามหน้าที่ เราเป็นทหารต้องกล้าหาญในการทำหน้าที่ อย่างกรณีของคุณสนธิ ที่กล้าพูด ก็ยอมรับว่ากล้าหาญที่ออกท้าทาย ไม่กลัวอำนาจมืด มีเจตนาที่บริสุทธิ์ ไม่ได้มาเยินยอใคร ตนต้องการคนที่กล้าพูด กล้ากระทำ กล้ายอมรับผิด

พล.อ.ปฐมพงษ์ ยังฝากถึงน้องๆ ในกองทัพ รู้ว่าตอนนี้รับราชการอยู่ ซึ่งที่เขามองน้อง อยากให้น้องทำให้ได้ตามที่ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล สำคัญที่สุดคือว่า เราจะเผชิญหน้าเขาพระวิหาร เผชิญหน้าผลประโยชน์ทางทะเล และต้องดูแลความสงบภายในประเทศ แล้วต้องถวายความจังรักภักดีไม่ให้ใครมาบังอาจ พล.อ.ปฐมพงษ์ ยังกล่าวว่า ถ้าเมื่อก่อนเพลงสรรเสริญคนไหนไม่ลุกเจอกระชากคอให้ยืน เราถือว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ขอให้คนที่อยู่ในกองทัพรีบทำยังมีเวลา เพราะมาถึงจุดวิกฤตสูงสุด

ส่วนคนที่จะมาแทนต่อมาขอให้ทบทวนว่าบุคคลทั้งหลายเขารักชาติบ้านเมืองเป็นอย่างไร อย่าได้ไปคิดว่าวันที่เกษียณไปแล้วเอาบันไดทางการเมืองมาพาดรอนั้นเพื่อตาย ควรเป็นทหารที่สง่างามอยู่ในชีวิตราชการ และการไปเป็นนักการเมืองทั้งหลายช่วยเสริมให้ทหารในกองทัพสง่างาม และก็บรรลุภารกิจ ตามที่ได้ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล ทั้งนี้ยังยืนยันว่าอาเซียน ไทยยังแข็งแกร่งที่สุด แต่เราต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง เคยรบอินโดจีน เราเคยรบชนะทหารฝรั่งเศสมาแล้ว ยึดธงชัยเฉลิมพล ตีเอาเสียมราฐ คืนมาหมด นั้นคือสิ่งที่อ่อนด้อยกว่าฝรั่งเศส แต่ว่าจอมพล ป.มีขีดความสามารถในการเป็นผู้นำ ตนอยากให้ดูบทบาทผู้นำทางทหารที่ดีๆ ในอดีตว่าเขาอยู่กันยังไง



กำลังโหลดความคิดเห็น