xs
xsm
sm
md
lg

พรรคประชาธิปัตย์ที่น่าเสียดาย

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

น่าเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์ด่วนปฏิเสธข้อเสนอของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เสนอให้พรรคประชาธิปัตย์ ลาออกมาร่วมสู้บนท้องถนนกับประชาชน

ทั้งๆ ที่คุณสนธิบอกว่า พร้อมจะลืมความเจ็บปวดที่ถูกพรรคประชาธิปัตย์แทงข้างหลังปล่อยข่าวตลอดเวลาว่า รับเงินทักษิณ และลืมรอยลูกปืนที่ยิงถากศีรษะไป

สิ่งที่คุณสนธิเสนอเช่นนั้น เพราะเห็นว่า มีพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่ต่อสู้กับพรรคเพื่อไทยได้ ประชาธิปัตย์มีมวลชนถึง 12 ล้านคน และมีศักยภาพพร้อมในทุกด้าน ทั้งขุนพลนักปราศรัย ทุนทรัพย์ และสื่อทีวีของพรรคถึง 2 ช่องคือบลูสกายกับทีนิวส์ ในขณะที่พันธมิตรฯ มีมวลชนเพียง 2 ล้านคนจากผลของโหวตโน และมีความพร้อมทุกด้านเทียบกับประชาธิปัตย์ไม่ได้เลย

แถมคุณสนธิยังเปิดใจกว้างว่า พร้อมเดินตามให้ประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ จะให้ร่วมขึ้นเวทีปราศรัยหรือไม่ก็ได้ แต่จะประกาศให้มวลชนออกมาร่วมต่อสู้กับประชาธิปัตย์

ดูเหมือนคำปฏิเสธของพรรคประชาธิปัตย์จะอยู่ในท่วงทำนองว่า ถ้าพรรคลาออกพรรคเพื่อไทยก็สามารถทำอะไรได้ตามใจ สามารถผ่านกฎหมายต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่เข้าใจนัยของแกนนำพันธมิตรฯ

บางคนเลยเถิดไปถึงว่า ถ้าลาออกแล้วสมัครรับเลือกตั้งใหม่ก็เหมือนแซมยุรนันท์ที่ชาวบ้านไม่เข้าใจว่าลาออกจาก ส.ส.มาสมัคร ส.ส.ทำไม ซึ่งเป็นการแสดงความเห็นแบบฟังไม่ได้ศัพท์ ใครเขาจะไปเรียกร้องให้พวกคุณลาออกเพื่อลงสมัครใหม่ไปเพื่ออะไรครับ เขาเรียกร้องให้ทิ้งการเมืองในสภาฯ มาสู้กับพรรคเพื่อไทยนอกสภาฯ ต่างหาก

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพรรคเพื่อไทยกำลังใช้เสียงข้างมากกระทำในสิ่งที่ไม่ชอบธรรม ทำลายหลักนิติธรรมนิติรัฐ ล้างผิดให้เป็นถูก และเขากำลังอ้างความชอบธรรมว่า เป็นเสียงข้างมากในสภาฯ แม้จะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยมีพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นเสียงข้างน้อยเป็นตรายางประทับความชอบธรรมให้กับพรรคร่วมรัฐบาล

พรรคประชาธิปัตย์บอกว่า ถ้าพรรคลาออกจาก ส.ส.ทั้งหมดใครจะเป็นปากเสียงให้ประชาชน ใครจะไปขัดขวางพรรคเพื่อไทยในสภาฯ ถามว่าแล้ววันนี้พรรคประชาธิปัตย์สามารถขัดขวางอะไรพรรคเพื่อไทยได้บ้าง นอกจากตีฝีปากโวหารตีรวนในสภาฯ อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ถนัด

ทั้งที่ข้อเสนอของคุณสนธิ ก็คือ เมื่อรัฐบาลกระทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม และใช้เสียงข้างมากอย่างบิดเบือน ก็เป็นสิ่งชอบธรรมที่พรรคประชาธิปัตย์จะต่อสู้บนท้องถนนเพื่อยับยั้งและล้มล้างกระบวนการทางสภาฯ ที่ไม่ชอบธรรม เป็นการย้อนรอยพรรคเพื่อไทยที่ใช้มวลชนล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์มาแล้ว

สู้บนหนทางที่มีโอกาสจะชนะ ดีกว่าสู้บนทางที่รู้อยู่ว่าแพ้

ด้วยมือที่น้อยกว่าในสภาฯ แม้จะมีฝีปากเป็นอาวุธอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ถนัด ต่อให้พูดกันจนปากเปียกปากแฉะก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะผลลัพธ์ในสภาฯ นั้นจะตัดสินกันด้วยเสียงส่วนใหญ่ ในการอภิปรายร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม คนของพรรคประชาธิปัตย์ก็ลุกขึ้นมาพูดได้แค่ 3 คน แล้วถูกเขาเสนอปิดการอภิปราย

เหตุผลทางคณิตศาสตร์ง่ายๆ แบบนี้เด็กประถมก็คิดได้

ทำไมประชาธิปัตย์ไม่แสดงความกล้าหาญออกมาเหมือนกับที่เคยประกาศบอยคอตการเลือกตั้ง และทำไมถึงมองไม่เห็นว่า เวลานี้การเมืองนอกสภาฯ ที่รวบรวมพลังของประชาชนออกมาต่อสู้เท่านั้น จึงจะทัดทานอำนาจของระบอบทักษิณได้

จริงอยู่ครับว่า การที่พรรคเพื่อไทยได้รับเสียงข้างมากเป็นการตัดสินของประชาชนทั่วประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะที่ประกาศตัวเสมอมาว่า เชื่อมั่นในระบอบรัฐสภาจะต้องยอมรับฉันทามติของประชาชน แต่เราเห็นอยู่แล้วนี่ครับว่า พรรคเพื่อไทยได้ใช้อำนาจอย่างชอบธรรมหรือไม่

คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า การใช้เสียงข้างมากทำเรื่องผิดให้เป็นถูกนั้นไม่ใช่วิถีทางที่ถูกต้องแน่ การอยู่ในสภาฯ ก็รังแต่จะทำให้เขาใช้เป็นข้ออ้างได้ว่า องค์ประกอบของเสียงข้างมากข้างน้อยนั้น เป็นไปอย่างถูกต้องตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย

แต่ต้องไม่ลืมนะครับว่า การต่อสู้นอกสภาฯ ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย อย่าไปกลัวเลยครับว่า ถ้าไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ในชั้นกรรมาธิการพรรครัฐบาลจะแปรญัตติไปจนสุดซอย ให้ทักษิณกลับบ้าน และให้นักโทษคดี 112 ได้ออกจากคุก เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว ถึงพรรคประชาธิปัตย์จะนั่งอยู่ในกรรมาธิการก็ขัดขวางอะไรไม่ได้อยู่แล้วถ้าเขาจะเอาอย่างนั้น กลายเป็นฝ่ายประทับตราความชอบธรรมให้เขาอีกต่างหาก

ตอนนี้มีเพียงการเมืองบนท้องถนนเท่านั้นครับที่จะหยุดความย่ามใจของเสียงข้างมากได้ ต้องเชื่อมั่นสิครับว่า การเมืองนอกสภาฯ ก็คือวิถีทางหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย

ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ลาออกมาต่อสู้กับภาคประชาชน เท่ากับเป็นการปฏิเสธระบอบการเมืองที่ไม่ชอบธรรม ปฏิเสธการเมืองที่เอาผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเป็นตัวตั้ง การเมืองที่ใช้เงินเป็นใหญ่ซื้อเสียงเข้ามาครอบครองอำนาจรัฐ การเมืองที่ดำเนินนโยบายเพื่อเอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชันและหาประโยชน์เข้าพวกพ้อง

ทำให้โลกได้รู้ว่า รัฐบาลแม้จะเป็นเสียงข้างมาก แต่กลับใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม รัฐสภาแม้จะเป็นเวทีของตัวแทนประชาชน แต่แท้จริงแล้วรัฐสภาถูกใช้เป็นเวทีของกลุ่มทุนพรรคการเมือง กลุ่มทุนเจ้าของพรรค ซึ่งเป็นเหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่อาจร่วมสังฆกรรมได้อีกต่อไป

พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของชนชั้นกลางในเมือง ซึ่งส่วนใหญ่มีการศึกษาและมีความเห็นร่วมกันว่า ต้องการความเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถเป็นตัวแทนของพวกเขาในสภาฯ เพื่อไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นอกจากเป็นตัวรองบ่อนให้พรรคเพื่อไทยใช้อำนาจที่อ้างว่าเป็นเสียงข้างมาก ทำร้ายทำลายประเทศไทยต่อไป

รัฐบาลเองก็รู้ว่า สถานการณ์ในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้นั้นสังคมเรียกร้องการปฏิรูปการเมือง พวกเขาจึงฉวยโอกาสเสนอให้มีสภาการปฏิรูปการเมืองขึ้น แต่เราเห็นแล้วว่า วิธีการของรัฐบาลในการเชิญคนที่มีความเห็นสอดคล้องกับตัวเองขึ้นมาร่วมเวที คนเหล่านั้นไม่ได้มีความชอบธรรมในฐานะตัวแทนของประชาชนเลยนอกจากนั้นยังเป็น “ปฏิกูล” ทางการเมือง ที่จะต้องกำจัดไปให้พ้นจากแวดวงการเมืองอีกต่างหาก

ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ลาออกจะกลายเป็นแรงสะท้อนอย่างมหาศาลกลับไปสู่สังคมว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องออกมาร่วมกันต่อสู้ไม่ปล่อยให้รัฐบาลอ้างเสียงข้างมากทำร้ายสังคมและประเทศชาติอีกต่อไป

แต่น่าเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังคงเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคของนักโต้วาทีและคิดว่าน้ำลายและโวหารจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้ในกติกาที่เขาวัดกันด้วยเสียงข้างมาก

น่าเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เชื่อในพลังของประชาชนว่าจะเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงประเทศได้อย่างแท้จริง

น่าเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธข้อเสนอของคุณสนธิอย่างไม่มีเยื่อใย และเลือกต่อสู้ในแนวทางที่มีผลลัพธ์อยู่แล้วคือความพ่ายแพ้
กำลังโหลดความคิดเห็น