ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหลักทรัพย์ฯคาดวอลุ่มเทรดช่วงที่เหลือปี56 หดตัวเหลือ 3.8หมื่นล้านบาท/วัน จาก 7 เดือนก่อนแตะระดับ4.4 หมื่นล้าน/วัน เหตุนักลงทุนชะลอลงทุนรอความชัดเจนมาตรการQE ชี้หากมีการถอนเงินลงทุน จะทำวอลุ่มบางส่วนหาย แต่โดยรวมคาดเป็นไปตามเป้า 4.9 ล้านบาท พร้อมยอมรับ อาจส่งผลบางบจ.ใหม่เลื่อนเทรด ส่วนก.ค. ดัชนีลดลง 1.98% วอลุ่มเทรดอยู่ที่4.5 หมื่นล้าน/วัน
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปี2556 จะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท/วัน จากช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาซึ่งอย่าระดับ 4.4-4.6 หมื่นล้านบาท/วัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉลี่ยทั้งปีเชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตลท.คาดการณ์ไว้ในระดับ 4.8-4.9 หมื่นล้านบาท/วัน แน่
โดยสาเหตุจะมาจากปันจจัยลบทั้งภายฃในและนอกประเทศ ได้แก่การชะลอการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเพื่อรอดูความชัดเจนของการปรับนโยบายการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งเชื่อว่าจะมีการยุติมาตรการ หรือลดวงเงินในการซื้อพันธบัตร และจะทำให้เม็ดเงินจากภายนอกบางส่วนหายไปจากตลาดหุ้น รวมถึงเม็ดเงินบางส่วนของนักลงทุนรายย่อยด้วย
ขณะเดียวกันการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยก็มีผลต่อปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ด้วยเช่นกัน ซึ่งในเดือนก.ค.พบว่าการบริโภคภายในประเทศ และการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศของไทยลดลง นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ทางการเมืองเข้ามาเพิ่มความกังวลต่อนักลงทุนด้วย
"แม้การลงทุนของนักลงทุนทุกประเภทจะเพิ่มขึ้นร่วม1เท่าตัวจากปี 2555 แต่ช่วงที่เหลือนักลงทุนต่างชาติอาจจะชะลอลงทุน เพราะส.ค.เป็นช่วงหยุดพักร้อน อีกทั้งจะมีการ wait & see ของสถานการณ์ในประเทศ และเรื่องมาตรการQE จนมีผลให้ปริมาณซื้อขายลดลง แต่ที่สำคัญต้องติดตามนักลงทุนทั่วไป ที่ปริมาณการซื้อขายลดลง ส่วนตัวมองว่าเกิดจากข่าวหรือปัจจัยที่กระตุ้นหุ้นในกลุ่มnon-Set100 ลดลง และรับรู้ไปมากแล้ว ทำให้ความน่าสนใจลงทุนในหุ้นเหล่านี้ลดลงไป และตอนนี้เริ่มกลับมาเป็น activity ของหุ้นกลุ่มใหญ่ๆมาก โดยข้อมูลต่างๆ บ่งชี้ว่าเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนไม่หวือหวา หรือร้อนแรงไปเพียงบางกลุ่มอย่างเช่นในไตรมาส1ที่ผ่านมา"ดร.ภากร กล่าว
นอกจากนี้ ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯยอมรับ จากภาวะการซื้อขายที่ลดความร้อนแรงลง จะส่งผลต่อการเข้ามาระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนใหม่ด้วย ซึ่งอาจทำให้บางบริษัทเลื่อนการเสนอขายหุ้นIPO และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯออกไป หรือ เลื่อนการเพิ่มทุนออกไปโดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคม เพราะจากการสังเกตุข้อมูลพบว่ามีการปรับตัวลดลงในข้อมูลด้านต่างๆมาก จนใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา
“ต่อจากนี้บริษัทใหม่ต้องดูกันด้วยศักยภาพธุรกิจว่าแข็งแกร่งแค่ไหน ซึ่งจะช่วยให้การเข้าซื้อขายในตลาดหุ้เนได้รับการตอบรับไปตามเนื้อผ้า ถ้าเป็นบริษัทที่มีศักยภาพดีและแข็งแกร่งก็จะไม่กังวลต่อภาวะตลาด โดยในเดือนส.ค.ก็ยังมีหุ้นใหม่เข้าตลาดอยู่”
ขณะเดียวกัน ดร.ภากร กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการพิจารณาคุณสมบัติของหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายตรงตามมาตรฐานการนำเข้าคำนวณดัชนี MSCI พบว่าตอนนี้มีประมาณ 10 บริษัทใน SET ที่เข้าข่ายตามคุณสมบัติ อย่างไรก็ตาม คงต้องขึ้นอยู่กับ MSCI ในการเป็นพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์เข้ามาคำนวณในดัชนี
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปี2556 จะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท/วัน จากช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาซึ่งอย่าระดับ 4.4-4.6 หมื่นล้านบาท/วัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉลี่ยทั้งปีเชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตลท.คาดการณ์ไว้ในระดับ 4.8-4.9 หมื่นล้านบาท/วัน แน่
โดยสาเหตุจะมาจากปันจจัยลบทั้งภายฃในและนอกประเทศ ได้แก่การชะลอการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเพื่อรอดูความชัดเจนของการปรับนโยบายการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งเชื่อว่าจะมีการยุติมาตรการ หรือลดวงเงินในการซื้อพันธบัตร และจะทำให้เม็ดเงินจากภายนอกบางส่วนหายไปจากตลาดหุ้น รวมถึงเม็ดเงินบางส่วนของนักลงทุนรายย่อยด้วย
ขณะเดียวกันการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยก็มีผลต่อปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ด้วยเช่นกัน ซึ่งในเดือนก.ค.พบว่าการบริโภคภายในประเทศ และการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศของไทยลดลง นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ทางการเมืองเข้ามาเพิ่มความกังวลต่อนักลงทุนด้วย
"แม้การลงทุนของนักลงทุนทุกประเภทจะเพิ่มขึ้นร่วม1เท่าตัวจากปี 2555 แต่ช่วงที่เหลือนักลงทุนต่างชาติอาจจะชะลอลงทุน เพราะส.ค.เป็นช่วงหยุดพักร้อน อีกทั้งจะมีการ wait & see ของสถานการณ์ในประเทศ และเรื่องมาตรการQE จนมีผลให้ปริมาณซื้อขายลดลง แต่ที่สำคัญต้องติดตามนักลงทุนทั่วไป ที่ปริมาณการซื้อขายลดลง ส่วนตัวมองว่าเกิดจากข่าวหรือปัจจัยที่กระตุ้นหุ้นในกลุ่มnon-Set100 ลดลง และรับรู้ไปมากแล้ว ทำให้ความน่าสนใจลงทุนในหุ้นเหล่านี้ลดลงไป และตอนนี้เริ่มกลับมาเป็น activity ของหุ้นกลุ่มใหญ่ๆมาก โดยข้อมูลต่างๆ บ่งชี้ว่าเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนไม่หวือหวา หรือร้อนแรงไปเพียงบางกลุ่มอย่างเช่นในไตรมาส1ที่ผ่านมา"ดร.ภากร กล่าว
นอกจากนี้ ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯยอมรับ จากภาวะการซื้อขายที่ลดความร้อนแรงลง จะส่งผลต่อการเข้ามาระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนใหม่ด้วย ซึ่งอาจทำให้บางบริษัทเลื่อนการเสนอขายหุ้นIPO และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯออกไป หรือ เลื่อนการเพิ่มทุนออกไปโดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคม เพราะจากการสังเกตุข้อมูลพบว่ามีการปรับตัวลดลงในข้อมูลด้านต่างๆมาก จนใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา
“ต่อจากนี้บริษัทใหม่ต้องดูกันด้วยศักยภาพธุรกิจว่าแข็งแกร่งแค่ไหน ซึ่งจะช่วยให้การเข้าซื้อขายในตลาดหุ้เนได้รับการตอบรับไปตามเนื้อผ้า ถ้าเป็นบริษัทที่มีศักยภาพดีและแข็งแกร่งก็จะไม่กังวลต่อภาวะตลาด โดยในเดือนส.ค.ก็ยังมีหุ้นใหม่เข้าตลาดอยู่”
ขณะเดียวกัน ดร.ภากร กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการพิจารณาคุณสมบัติของหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายตรงตามมาตรฐานการนำเข้าคำนวณดัชนี MSCI พบว่าตอนนี้มีประมาณ 10 บริษัทใน SET ที่เข้าข่ายตามคุณสมบัติ อย่างไรก็ตาม คงต้องขึ้นอยู่กับ MSCI ในการเป็นพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์เข้ามาคำนวณในดัชนี