ASTV ผู้จัดการรายวัน - “เอ็มเค สุกี้” ชี้เข้าตลาดหุ้นช่วยสร้างความโปร่งใส -น่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ยืนยันเข้าซื้อขาย 15ส.ค.นี้ แม้สถานการณ์การเมืองในประเทศร้อน ผู้บริหารย้ำยอดขายโตทุกปี
นายฤทธิ์ ธีระโกเมน กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ผู้ประกอบการ "เอ็มเค สุกี้" เปิดเผยว่า เหตุผลที่บริษัทตัดสินใจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อยกระดับมาตรฐานของบริษัทให้สูงขึ้น เพื่อสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ อีกทั้งการข้าตลาดหลักทรัพย์ยังช่วยเพิ่มภาพรวมโปร่งใสและธรรมาภิบาลของบริษัทจากเดิมที่เป็นธุรกิจข้อครัว ทำให้ได้รับความเชื่อถือจากต่างประเทศ เพราะมองว่าในอนาคตความร่วมมือระหว่างประเทศจะมีมากขึ้น นั่นเหมือนถึงโอกาสของบริษัทในการร่วมลงทุนกับประเทศต่างๆก็เพิ่มขึ้นเช่น
นอกจากนี้ การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯถือเป็นโอกาสใหมม่ของบริษัท โดยเฉพาะด้านการระดมทุน ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตรองรับสาขาที่เพิ่มขึ้น จากการก่อสร้างโรงงานครัวกลางแห่งใหม่ บนถนนบางนา-ตราด กม.22 ที่จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตในการจัดส่งสินค้าให้กับทุกสาขาของบริษัท ทั้งเอ็มเค สุกี้ และร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิได้ถึง 1,000 สาขาจากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 500 สาขา
“ไม่เคยมีปีไหนที่เราขยายตัวน้อยกว่าปีก่อนหน้า โรงงานครัวกลางใหม่มูลค่า 1,000 ล้านจะช่วยรองรับการเพิ่มสาขาของเราได้อีกเท่าตัว และเป็นการใช้เงินเพียง10% และเป็นการใช้เงินเพียง10%ของเม็ดเงินที่รับจากการระดมทุน”
โดย ณ ไตรมาส 1/56 บริษัทมีร้านเอ็มเค สุกี้ 359 สาขา และยาโยอิ 95 สาขา และมีแผนจะขยายเพิ่มขึ้นอีกรวม 65 สาขาในปีนี้ ตามการเปิดสาขาใหม่ของห้างสรรพสินค้า และดิสเคาน์สโตร์ ขณะเดียวกันบริษัทยอมรับอัตราการเติบโตของยอดขายนั้นอ้างอิงตามสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งโดยรวมในปี 2556 ตั้งเป้าเติบโต 10-15% Net Margin 14-15%
“โดยรวม3 ปีที่ผ่านมาเราเติบโตเฉลี่ย 17% และมีอัตราการกำไรสูงสุด หากเทียบกับร้านอาหารประเภทเดียวกันทั่วโลก ที่มีอัตรากำไรตั้งแต่ 5-20% ซึ่งต้นทุนหลักของเรา 30% คือต้นทุนอารหารวัตถุดิบ 20๔เป็นต้นทุนแรงงาน ซึ่งยอมรับว่านโยบายการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขึ้นต่ำของรัฐบาลในปีก่อนมีผลกับบริษัทในต้นทุนแรงด้วย โดยปรับขึ้นอีก20% แต่เราได้ส่วนชดเชยในเรื่องภาษีที่ลดลงเหลือ23% และจะลดลงเหลืออีก20%ในปีหน้า เข้ามาช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการปรับขึ้นราคาสินค้า ทำให้เราสามารถรักษาระดับกำไรของเราไว้ได้”
นายฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยืนยันกำหนดเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 15 ส.ค.นี้ โดยมีช่วงราคาเบื้องต้นในการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)ที่ 45-49 บาท/หุ้น ก่อนจะสรุปราคาขายจริงประมาณวันที่ 2 ส.ค.ซึ่งจะเป็นวันเซ็นสัญญาแต่งตั้งอันเดอร์ไรต์เตอร์ โดยจะจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 185.85 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หรือ 20% วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้ก่อสร้างโรงงานครัวกลางแห่งใหม่ 1,000 ล้านบาท ใช้ขยายสาขาเพิ่มอีก500-600 ล้านบาท และนำเงินไปใช้หนี้ธนาคาร หลังจากกู้เงินมาเพื่อจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น โดยขณะนี้มีหนี้คงค้างอยู่ 800 ล้านบาท จาก 1,070 ล้านบาท
สำหรับแผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศ กรรมการผู้จัดการ เอ็มเคฯ กล่าวว่า บริษัทสนใจที่จะขยายสาขาออกไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ตั้งเป้าผลักดันสัดส่วนรายได้จากการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพียงแต่ต้องการเข้าไปศึกษาตลาด และลู่ทางในการประกอบธุกริจในอนาคต โดยปัจจุบันบริษัทร้านเอ็มเค สุกี้ให้บริการอยู่ในประเทศ ญี่ปุ่น เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ที่สร้างรายได้ได้เพียงเล็กน้อย
ส่วนความกังกวลเรื่องสถานการณ์การเมืองที่มีความร้อนแรงเพิ่มขึ้น ใกล้เคียงกับช่วงที่บริษัทจะเข้าซื้อขายในกระดานหลักทัพย์ ผู้บริหารยืนยันว่าไม่มีความกังวลมากเท่าใด เนื่องจากเคยมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว และบริษัทสามารถจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไปได้
“เราไม่กังวลต่อสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เราโตด้วยศักยภาพ เคยผ่านมาแล้วทั้งเหตุการณ์น้ำท่วมโรงงาน ร้านสุกี้โดนเผา ไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู เรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหาของเรา”
นายฤทธิ์ ธีระโกเมน กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ผู้ประกอบการ "เอ็มเค สุกี้" เปิดเผยว่า เหตุผลที่บริษัทตัดสินใจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อยกระดับมาตรฐานของบริษัทให้สูงขึ้น เพื่อสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ อีกทั้งการข้าตลาดหลักทรัพย์ยังช่วยเพิ่มภาพรวมโปร่งใสและธรรมาภิบาลของบริษัทจากเดิมที่เป็นธุรกิจข้อครัว ทำให้ได้รับความเชื่อถือจากต่างประเทศ เพราะมองว่าในอนาคตความร่วมมือระหว่างประเทศจะมีมากขึ้น นั่นเหมือนถึงโอกาสของบริษัทในการร่วมลงทุนกับประเทศต่างๆก็เพิ่มขึ้นเช่น
นอกจากนี้ การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯถือเป็นโอกาสใหมม่ของบริษัท โดยเฉพาะด้านการระดมทุน ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตรองรับสาขาที่เพิ่มขึ้น จากการก่อสร้างโรงงานครัวกลางแห่งใหม่ บนถนนบางนา-ตราด กม.22 ที่จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตในการจัดส่งสินค้าให้กับทุกสาขาของบริษัท ทั้งเอ็มเค สุกี้ และร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิได้ถึง 1,000 สาขาจากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 500 สาขา
“ไม่เคยมีปีไหนที่เราขยายตัวน้อยกว่าปีก่อนหน้า โรงงานครัวกลางใหม่มูลค่า 1,000 ล้านจะช่วยรองรับการเพิ่มสาขาของเราได้อีกเท่าตัว และเป็นการใช้เงินเพียง10% และเป็นการใช้เงินเพียง10%ของเม็ดเงินที่รับจากการระดมทุน”
โดย ณ ไตรมาส 1/56 บริษัทมีร้านเอ็มเค สุกี้ 359 สาขา และยาโยอิ 95 สาขา และมีแผนจะขยายเพิ่มขึ้นอีกรวม 65 สาขาในปีนี้ ตามการเปิดสาขาใหม่ของห้างสรรพสินค้า และดิสเคาน์สโตร์ ขณะเดียวกันบริษัทยอมรับอัตราการเติบโตของยอดขายนั้นอ้างอิงตามสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งโดยรวมในปี 2556 ตั้งเป้าเติบโต 10-15% Net Margin 14-15%
“โดยรวม3 ปีที่ผ่านมาเราเติบโตเฉลี่ย 17% และมีอัตราการกำไรสูงสุด หากเทียบกับร้านอาหารประเภทเดียวกันทั่วโลก ที่มีอัตรากำไรตั้งแต่ 5-20% ซึ่งต้นทุนหลักของเรา 30% คือต้นทุนอารหารวัตถุดิบ 20๔เป็นต้นทุนแรงงาน ซึ่งยอมรับว่านโยบายการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขึ้นต่ำของรัฐบาลในปีก่อนมีผลกับบริษัทในต้นทุนแรงด้วย โดยปรับขึ้นอีก20% แต่เราได้ส่วนชดเชยในเรื่องภาษีที่ลดลงเหลือ23% และจะลดลงเหลืออีก20%ในปีหน้า เข้ามาช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการปรับขึ้นราคาสินค้า ทำให้เราสามารถรักษาระดับกำไรของเราไว้ได้”
นายฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยืนยันกำหนดเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 15 ส.ค.นี้ โดยมีช่วงราคาเบื้องต้นในการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)ที่ 45-49 บาท/หุ้น ก่อนจะสรุปราคาขายจริงประมาณวันที่ 2 ส.ค.ซึ่งจะเป็นวันเซ็นสัญญาแต่งตั้งอันเดอร์ไรต์เตอร์ โดยจะจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 185.85 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หรือ 20% วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้ก่อสร้างโรงงานครัวกลางแห่งใหม่ 1,000 ล้านบาท ใช้ขยายสาขาเพิ่มอีก500-600 ล้านบาท และนำเงินไปใช้หนี้ธนาคาร หลังจากกู้เงินมาเพื่อจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น โดยขณะนี้มีหนี้คงค้างอยู่ 800 ล้านบาท จาก 1,070 ล้านบาท
สำหรับแผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศ กรรมการผู้จัดการ เอ็มเคฯ กล่าวว่า บริษัทสนใจที่จะขยายสาขาออกไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ตั้งเป้าผลักดันสัดส่วนรายได้จากการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพียงแต่ต้องการเข้าไปศึกษาตลาด และลู่ทางในการประกอบธุกริจในอนาคต โดยปัจจุบันบริษัทร้านเอ็มเค สุกี้ให้บริการอยู่ในประเทศ ญี่ปุ่น เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ที่สร้างรายได้ได้เพียงเล็กน้อย
ส่วนความกังกวลเรื่องสถานการณ์การเมืองที่มีความร้อนแรงเพิ่มขึ้น ใกล้เคียงกับช่วงที่บริษัทจะเข้าซื้อขายในกระดานหลักทัพย์ ผู้บริหารยืนยันว่าไม่มีความกังวลมากเท่าใด เนื่องจากเคยมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว และบริษัทสามารถจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไปได้
“เราไม่กังวลต่อสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เราโตด้วยศักยภาพ เคยผ่านมาแล้วทั้งเหตุการณ์น้ำท่วมโรงงาน ร้านสุกี้โดนเผา ไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู เรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหาของเรา”