“มิลล์คอน” ระบุใกล้ได้พันธมิตรซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามเป้า หลังกลุ่มอิตาลี และนักลงทุนบุคคลตอบรับ คาดสิ้นปีได้ TSSI มาแน่ พร้อมกลับมาเดินเครื่องผลิตกลางปีหน้า ดันรายได้ปี 57 ขึ้นระดับ 2.5 หมื่นล้าน ก่อนโตเป็น 3 หมื่นล้านบาท ในปี 58 ส่วนปีนี้คาดได้เห็น 1.8 หมื่นล้านบาท โต 10-15% ขณะที่ Gross Margin แตะ 8% จากอานิสงส์ความต้องการใช้เหล็กพุ่ง
นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.มิลล์คอนสตีล (MILL) เปิดเผยถึงการเข้าซื้อกิจการของ บมจ.อุตสาหกรรมเหล็กกล้าไทย (TSSI) ว่า อยู่ระหว่างนำเสนอขายหุ้นทุนเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 1,000 ล้านหุ้น ซึ่งตอนนี้พันธมิตรจากประเทศอิตาลี ในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นเดิม 7-8% ตกลงที่เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวแล้ว โดยคาดว่าสัดส่วนถือหุ้นจะเพิ่มขึ้นกว่า 10% ขณะเดียวกัน มีนักลงทุนบุคคล 2-3 ราย ตกลงซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเดินหน้าเจรจากับพาร์ตเนอร์ในอุตสาหกรรมรายอื่นด้วย แต่ยังไม่มีข้อสรุป
“ตามแผนเม็ดเงินในการซื้อหุ้น TSSI จะใช้ทั้งสิ้น 3 พันล้านบาท จะมาจากหุ้นเพิ่มทุน 1.5-2 พันล้านบาท และที่เหลือจะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน”
สำหรับในปีนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ 10-15% จากปี 2555 ที่มีรายได้รวมประมาณ 16,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของภาครัฐ ประกอบกับแนวโน้มการบริโภคเหล็กโดยรวมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 7-8% ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น จะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ 8% จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 5% หลังจากที่โครงการ Green Mill หรือการผลิตเหล็กคุณภาพสูง สามารถเดินเครื่องผลิตในเชิงพาณิชย์ได้เต็มปีในปีนี้
“ปีนี้เราจะมีรายได้ประมาณ 18,000 ล้านบาท จากแนวโน้มอุตสาหกรรมที่ดี บวกกับการรับรู้จากโครงการ Green Mill เต็มปี แต่พอเราได้ TSSI และเริ่มเดินเครื่องกลับมาผลิตใหม่ จะช่วยเพิ่มศักยภาพ หลังมีการ Synergy เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ในครึ่งปีหลังของปี 2557 ทำให้ในปีหน้ารายได้จะอยู่ที่ 25,000 ล้านบาท และจะขึ้นมาเกือบ 30,000 ล้านบาท ในปี 2558”
สำหรับกำลังการผลิตเหล็กของ MILL ปัจจุบันอยู่ที่ 8 แสนตัน/ปี ขณะที่ TSSI มีกำลังการผลิต 5 แสนตัน/ปี และเมื่อการซื้อกิจการแล้วเสร็จ MILL มีแผนจะใช้กำลังการผลิตของ TSSI ในปีแรกเพียง 50% ก่อนเดินเครื่อง 100% เต็มกำลังการผลิตในปี 2558
นายสิทธิชัย กล่าวถึงแนวโน้มไตรมาส 2/56 ว่า เป็นช่วงที่ราคาเหล็กปรับตัวลดลงจาก 21 บาท/กก. มาอยู่ที่ 19 บาท/กก. แต่บริษัทได้เร่งทำสัญญาขายเหล็กไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ไตรมาส 1 ในราคา 21 บาท/กก. ทำให้ภาพรวมราคาขาย และรายได้ไม่ปรับลดลงมาก อีกทั้งเชื่อว่าราคาเฉลี่ยเหล็กทั้งปีจะอยู่ทีระดับ 19.50 บาท/กก.
ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมผู้ถือหุ้น MILL ได้อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 941,025,498 บาท จากเดิมทุนจดทะเบียน 898,658,745.20 บาท เป็น 1,839,684,243.20 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ จำนวน 1,602,563,745 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.40 บาท และการออกหุ้นบุริมสิทธิ จำนวน 750,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.40 บาท
โดยจะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,000,000,000 หุ้น และหุ้นบุริมสิทธิ จำนวนไม่เกิน 750,000,000 หุ้น ให้แก่นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อเตรียมไว้สำหรับรองรับการขยายธุรกิจ, การลงทุนในธุรกิจใหม่, การใช้เป็นทุนหมุนเวียน, การจ่ายคืนหนี้ และใช้ในการเข้าซื้อทรัพย์สิน TSSI รวมถึงจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 465,900,910 หุ้น เพื่อเตรียมไว้สำหรับรองรับการแปลงสภาพของใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) ที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (MILL-W2) ในอัตราส่วน 4 หุ้นเดิมต่อ 1 วอร์แรนต์ โดยมีอัตราแปลงสภาพ 1 วอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้นสามัญ ที่ราคาแปลงสภาพหุ้นละ 2.50 บาท ระยะเวลารวมทั้งสิ้น 3 ปี ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารเพื่อนำวอร์แรนต์เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป