xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดอิฐมวลเบาร้อนระอุ “ตราเพชร” ดัน บ.ลูกทุ่ม 200 ล. ซื้อ รง. จับตา “สงครามราคา”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อัศนี ชันทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ “DRT”
“ตราเพชร” ประกาศเป็นผู้เล่นรายใหญ่อีกรายในตลาดอิฐมวลเบา หลังความต้องการในตลาดพุ่ง เดินหน้าดันบริษัทลูก “ไดมอนด์ วัสดุ” ซื้อกิจการโรงงานอิฐมวลเบามูลค่า 200 ล้านบาท กำลังการผลิต 1.5 ล้าน ตร.ม.ต่อปี หนุนกำลังการผลิตรวมพุ่ง 5.2 ล้าน ตร.ม.ต่อปี วางยุทธศาสตร์ใช้เป็นฐานการผลิตอิฐมวลเบาเพื่อจำหน่ายในเขตพื้นที่ภาคเหนือ รองรับการเติบโตตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ ขยับรายได้จากการจำหน่ายอิฐมวลเบาโดยรวมเพิ่มขึ้น 40% หนุนเป้ารายได้รวมโต 15% จากปีก่อน
คงต้องจับตามองถึงการแข่งขันในตลาดวัสดุก่อสร้างประเภทคอนกรีตมวลเบา หรืออิฐมวลเบา ที่ในปี 2556 จะเห็นกลยุทธ์ของแต่ละค่ายในการเปิดเกมรุก เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด หลังจากมีผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาแชร์ตลาดมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนน่าจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคที่มีทางเลือกในการเลือกซื้อสินค้าอิฐมวลเบา แทนที่จะถูกกำหนดราคาจากผู้ผลิตในตลาด

โดยผู้เล่นในตลาดหลักๆ จะได้แก่ คิวคอน ในเครือเอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 2) ซุปเปอร์ บล๊อก 3) สมาร์ทบล็อค ของบริษัทผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือซีซีพี บริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการประเมินว่า กำลังรวมน่าจะไม่ต่ำกว่า 20 ล้าน ตารางเมตร (ตร.ม.) ต่อปี

ล่าสุด บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ “DRT” ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ พื้นไม้ลามิเนต แผ่นบอร์ด ยิปซัม และบริการหลังการขาย ภายใต้แบรนด์ ‘ตราเพชร’ ประกาศกลยุทธ์เชิงรุกในตลาดอิฐมวลเบา โดย นายอัศนี ชันทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัทฯ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2556 ได้อนุมัติจัดตั้งบริษัท ไดมอนด์ วัสดุ จำกัด (Diamond Materials Co.Ltd.) เป็นบริษัทย่อย ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เพื่อเข้าดำเนินการซื้อกิจการโรงงานอิฐมวลเบาของบริษัท พีซีซี ออโต้เคลฟคอนกรีต จำกัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีกำลังการผลิตรวม 1.5 ล้าน ตร.ม.ต่อปี
ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าว ได้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน และการทำตลาดอิฐมวลเบาตราเพชร โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือ ที่มีอัตราการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ดี และมีการหันมาใช้อิฐมวลเบาก่อสร้างผนังทดแทนอิฐมอญ เพื่อช่วยควบคุมด้านต้นทุนการก่อสร้างทั้งค่าแรง และระยะเวลาก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“การลงทุนครั้งนี้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจของ DRT ที่จะลงทุนในด้านที่เกี่ยวข้องกับวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้มีสินค้าหลากหลายครบถ้วน พร้อมจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในแบรนด์เดียว โดยอิฐมวลเบานั้น ตราเพชรก็ได้ลงทุนสร้างโรงงานใหม่ไปแล้ว เมื่อรวมกับการเข้าซื้อโรงงานแห่งนี้ จะทำให้มีกำลังการผลิตอิฐมวลเบารวม 5.2 ล้านตารางเมตรต่อปี สามารถรองรับความต้องการใช้อิฐมวลเบาที่มีอัตราการขยายตัว 20-25% ต่อปี” นายอัศนีกล่าว

ทั้งนี้ การตั้งบริษัทย่อยและเข้าซื้อโรงงานอิฐมวลเบาครั้งนี้ ใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ซึ่งจะได้รับตอบแทนกลับคืนมาทันที เพราะโรงงานนี้รับจ้างผลิตอิฐมวลเบาอยู่แล้ว เป็นโรงงานที่มีมาตรฐานการผลิตสูง โดย DRT วางแผนที่จะใช้โรงงานดังกล่าวเป็นฐานผลิตอิฐมวลเบาเพื่อจำหน่ายในเขตพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด ซึ่งรายได้จากโรงงานที่ซื้อเข้ามาใหม่นี้ คาดว่าจะทำได้ประมาณ 100 ล้านบาทในปีนี้

ส่วนโรงงานอิฐมวลเบาที่สระบุรี จะเป็นฐานผลิตสินค้าป้อนความต้องการสินค้าในเขตภาคกลาง ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการด้านการผลิต และการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำยอดขาย และกำไรจากการดำเนินธุรกิจอิฐมวลเบาให้สูงที่สุด ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายของอิฐมวลเบาจะหนุนให้รายได้รวมของบริษัทในปี 2556 นี้เติบโต 15% จากปีก่อน

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2555 บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6.65% ประกอบด้วย รายได้จากการขายสินค้า จำนวน 3,631.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 148.65 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.27% จากการขายสินค้ากระเบื้องคอนกรีต รุ่นอดามัส และสินค้าทดแทนไม้ ประเภทไม้ระแนงและไม้รั้วที่เพิ่มสูงขึ้น รายได้จากการให้บริการ จำนวน 252.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 41.81 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19.89% เนื่องจากรายได้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้น 22.42 ล้านบาท และรายได้ค่าบริการอื่นเพิ่มขึ้น 19.39 ล้านบาท กำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ถาร จำนวน 58.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 54.63 ล้านบาท เนื่องจากมีกำไรจากการขายที่ดินที่ไม่ได้ใช้งาน จำนวน 57.10 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 545.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 85.78 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 18.64% เนื่องจากกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น มีกำไรจากการขายที่ดินที่ไม่ได้ใช้งาน จำนวน 43.97 ล้านบาท (หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล) และอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดลงจาก 30% เป็น 23% บริษัทฯ มีกำไรสุทธิต่อหุ้นละ 0.53 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหุ้นละ 0.07 บาท หรือเพิ่มขึ้น 15.22 % เนื่องจากกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น