-- จาก “จุดเทียนปัญญา” สู่ “ชูธง” แก้ปัญหาชาติ
(14 ส.ค.56)
เมื่อ “เอาธรรมนำหน้า” “มีใจเป็นประธาน” ทุกย่างก้าวของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล จึงดำเนินไปตามครรลองของ “ธรรมจัดสรร” จาก “จุดเทียนปัญญา” เห็นปัญหาของชาติ สู่ “ชูธง”รวมพลัง “ทุกฝ่าย” แก้ปัญหาชาติ
เป้าหมายคือ ปิดฉากการเมืองชั่ว(ระบบรัฐสภาเดรัจฉาน) ปฏิรูปประเทศไทย !
การพูดของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เมื่อวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ตอกย้ำถึงปมปัญหาของประเทศไทยอีกครั้งและนำเสนอทางออกให้ “ทุกฝ่าย” มีส่วนร่วมอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง มีความเป็นไปได้และเป็นไปตามความเรียกร้องต้องการของคนไทยโดยรวมมากที่สุด
ที่สำคัญคือ จะช่วย “จัดระเบียบ” หรือสร้างความเป็นเอกภาพทางความคิด การเมือง และการจัดตั้ง(แก้ว 3 ประการ)ในขบวนการฯประชาชนครั้งใหญ่ ให้ทุกฝ่ายเลิกติดข้องในเรื่องเล็กๆน้อยๆ หยุมหยิม ไม่หยุดอยู่เพียงแค่การใช้ “ปัญญาฝอย” แก้ไขปัญหาเล็กๆน้อยๆ แต่หันมาสนใจเสริมสร้าง “ปัญญาแกน” แก้ปัญหาใหญ่ๆเพื่อนำไปสู่การสร้าง “อำนาจแกน” เป็นพลังแก่นแกนดึงดูดมวลชนที่เริ่มตื่นรู้ แต่อยู่กันกระจัดกระจายไร้การจัดตั้ง มารวมตัวกันเข้าเป็น “กำปั้นยักษ์” ต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณในห้วงของการทำ “สงครามมวลชน” ยกสุดท้าย ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้
1. เข้าถีงธรรม - สร้างความเป็นเอกภาพทางความคิด
คุณสนธิชี้ให้เห็นว่า ประเทศสชาติมีปัญหา ด้วยระบบการเมืองที่ผลิตนักการเมืองโกงกิน ทำให้นักฉวยโอกาสยกโขยงกันเข้าสภาฯ บัญชาการกลไกอำนาจรัฐได้ตามอำเภอใจ การขับเคลื่อนของกลไกรัฐจึงสนองตอบผลประโยชน์นักการเมือง มากกว่าสนองตอบต่อประเทศชาติประชาชน
ยังผลให้ประเทศไทย ตกอยู่ใน “ความมืดมน” คนไทย “มืดบอด” มานานร่วมศตวรรษ
เป็นการ “จุดเทียน” ส่องแสงสว่าง สลายความมืดที่ครอบคลุมสังคมไทย ให้เห็นถึง “ปม” หรือ “ต้นตอ” แห่งปัญหาอย่างจะแจ้งที่สุด ตรงจุดที่สุด อย่างไม่อ้อมค้อมที่สุด
2. เดินทางธรรม - สร้างความเป็นเอกภาพทางการเมือง
คุณสนธิยืนหยัดมั่นคงในการเดิน “แนวทางมวลชน” ถือเอาขบวนการฯประชาชนเป็นตัวตั้ง สามัคคี “ทุกฝ่าย” แบบไร้เส้นไร้สี มาร่วมกันขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้ปลอดพ้นจากสภาวะมืดมน ในการนี้ พร้อมร่วมมือกับนักการเมือง “ทุกพรรค” ที่ยินดีสลัดคราบนักการเมือง สลัดทิ้งระบบรัฐสภา มาร่วมกับประชาชน เป็น “เจ้าภาพ” กำหนดหลักการปกครองและออกแบบระบบ “รัฐสภา” ของประชาชนขึ้นมา (อีกนัยหนึ่งก็คือระบบ “สภาประชาชน”) ขับเคลื่อนประเทศไทยไปในทิศทางที่ดี มีความเจริญก้าวหน้าทั่วด้าน คนไทยส่วนใหญ่ได้รับใช้ประโยชน์สูงสุด
แนวทางสายนี้ จะโน้มนำให้ผู้เข้ามาร่วมเป็น “เจ้าภาพ” กำหนดอนาคตของประเทศไทย ยึดมั่นในผลประโยชน์ชาติและประชาชนได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ใดแสดงพฤติกรรมในทางที่ดี ยินดีเสียสละโอกาสมีโอกาสได้เฉพาะตัว แต่มุ่งสร้างสรรค์สิ่งดีที่ยังประโยชน์แก่ส่วนรวม จะได้รับการส่งเสริม สนับสนุนอย่างรอบด้านจากระบบ กลไก ต่างๆ ที่เราได้ร่วมกันประดิษฐ์คิดสร้าง (นวัตกรรม)ขึ้นมาใหม่ ส่วนผู้มีพฤติกรรมในทางตรงกันข้าม ก็จะค่อยๆถูกจำกัดบทบาท และถูกกันออกไปจากระบบโดยปริยาย
ถ้ามองกว้างมองไกลด้วยสายตาประวัติศาสตร์ เราก็จะพบว่า การ “เดินทางธรรม” เช่นนี้ ก็คือกระบวนการ “เตรียมคน” ซึ่งก็คือ “กองทัพมวลชนตื่นรู้” อันเป็นเหตุปัจจัยสำคัญ ที่จะนำไปสู่การอุบัติขึ้นของระบบ “ปัญญาแกน” และ “อำนาจแกน” ครั้งใหญ่ของสังคมไทย ในบริบทของสังคมโลกยุคปัจจุบัน ที่เริ่มหลอมรวมกันเข้าเป็นกลุ่มประเทศใหญ่ๆบริหารจัดการตัวเอง เช่น กลุ่มประเทศอาเซียน สหภาพยุโรป สหภาพแอฟริกา และลาตินอเมริกา เป็นต้น บทบาทของประเทศไทยภายหลังการ “ปฏิรูปใหญ่” ที่นำโดยขบวนการฯประชาชน ด้วย “ปัญญาแกน” และ “อำนาจแกน” ที่ก่อตัวขึ้นมาในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองครั้งใหญ่นี้ ก็คือการฟื้นคืนความรุ่งโรจน์อีกครั้งขึ้นบนดินแดนที่เคยเป็นอู่อารยธรรมสุวรรณภูมิมาก่อนในอดีตกาล ให้เป็น “อารยธรรมแก่นแกน” ยุคใหม่ ของกลุ่มประเทศอาเซียน
“กองทัพมวลชนตื่นรู้” ที่จะพัฒนาเติบใหญ่ไปตามการขับเคลื่อนประเทศไทยนี่เอง คือหลักประกันอันดับต้นๆ ให้สังคมไทยพัฒนาก้าวหน้า เจริญรุ่งเรืองรอบด้าน คนไทยอยู่ดีมีสุข ได้ ต่อเนื่องยาวนานไปอีกนับร้อยนับพันปี และเป็น“เหตุปัจจัยภายใน” สะท้อน “ปัญญาแกน” และ “อำนาจแกน” ของคนไทยยุคใหม่ที่จะขับเคลื่อนตัวเอง ร่วมไปกันกับเพื่อนร่วมโลก บนดาวโลกดวงนี้ได้อย่างกลมกลืน
3. สร้างทางธรรม - สร้างความเป็นเอกภาพทางการจัดตั้ง
มาบัดนี้ คุณสนธิได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการ “ชูธง” นำทัพ “ขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” เชิญชวนให้
“ทุกฝ่าย”มาร่วมขบวนฯ แก้ไขปัญหาประเทศชาติ โดยถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง
“ทุกฝ่าย” ที่ว่า ก็คือผู้ที่ 1. ไม่เอา ระบอบทักษิณ 2. ไม่เอาระบบรัฐสภา “เดรัจฉาน”
“ทุกฝ่าย”ที่ว่า หมายถึงกลุ่ม องค์กร ต่างๆในขบวนการฯประชาชน นักการเมืองที่ประกาศลาออกจากความเป็น ส.ส. เข้าร่วมกับขบวนการฯประชาชน รวมไปถึงกลุ่มคนเสื้อแดงที่เกิดความ “เห็นแจ้ง” ในทางออกที่แท้จริงของประเทศไทย
------------------------
ภาคผนวก
สาระและข้อความบางตอนที่คุณสนธินำเสนอในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ประจำวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2556 เกี่ยวกับนักการเมืองและกลุ่มคนเสื้อแดง(มีการตัดต่อบ้างบางจุด เพื่อให้เกิดความกระชับ)
1. พรรคประชาธิปัตย์ต้องไม่ไปร่วมสังฆกรรมกับพรรคเพื่อไทยอีกต่อไปในระบบรัฐสภา ภายหลังแพ้มติ พ.ร.บ.นิรโทษฯในวาระแรก แล้วประกาศลาออกจากความเป็น ส.ส. มาร่วมกับขบวนการฯประชาชน
“ไปให้ความชอบธรรมเขาในกรรมาธิการอีก ประชาธิปัตย์ไม่ควรให้ เพราะว่ากรรมาธิการมันตั้งมาก็พวกมันทั้งนั้น ยกมือให้ พ.ร.บ.ผ่านก็พวกมันทั้งนั้น ทีนี้การที่จะทำเช่นนี้คนต้องคิดทะลุกรอบ และคนต้องพร้อมที่จะเสียสละ เพื่อที่จะเข้ามาเดินการเมืองทางมวลชน
“รัฐสภาทุกวันนี้เป็นรัฐสภาของการนับคะแนนเสียง ไม่ได้ฟังเหตุผล เมื่อไม่ได้ฟังเหตุผลแล้ว นี่คือเผด็จการรัฐสภา ถือว่าเสียงข้างมากจะทำอะไรก็ได้ ออกกฎหมายอะไรก็ได้ เราไม่เห็นด้วย ทีนี้ประชาธิปัตย์นอกจากตกหลุมพราง กับดักในเรื่องความคิดแล้ว ยังตกหลุมพราง กับดักในเรื่องการหลงตัวเอง ว่าตัวเองพูดเก่ง พูดแล้วคนจะฟัง เขาตกหลุมพราง 2 หลุมพราง เห็นหรือยัง เพราะฉะนั้นตรรกะที่เขาใช้อ้างว่า 1. เขาต้องเข้าไปสู้ในสภา เพื่ออย่างน้อยที่สุด คัดค้านเต็มที่ แล้วยังไง เพราะว่าในสภามันใช้หลักคณิตศาสตร์คิดกัน มันไม่ได้ใช้หลักรัฐศาสตร์ มันไม่รู้จักใช้หลักนิติศาสตร์ ไม่ได้ใช้หลักสังคมศาสตร์ ไม่ได้ใช้หลักตรรกศาสตร์ มันใช้คณิตศาสตร์ กี่เสี่ยง ... ชนะ ...
“(ต้อง)ทำอะไรที่นอกกรอบ เพราะสิ่งที่ผมจะแนะนำทางออกของประเทศ ผมก็เลยจะแนะนำให้เขาคิดนอกกรอบ จากนี้ไป ซึ่งไม่รู้จะได้หรือเปล่า แต่ถ้าเขาฉลาดและถ้าเขาคิดเป็น เอาอย่างนี้เติมศักดิ์ มนุษย์เรานี่ คุณเดินกับผมไป ไปถึงแล้วไปเจอทางตัน คำถามมีอยู่คำถามเดียว คุณจะทำยังไงต่อไป ให้คุณเลือก 2 ทาง ทางแรกคือ คุณก็โง่เอาหัวชนกำแพงไปเรื่อยๆ ชนไปอย่างนั้น มันตันก็ปึ้ง กลับมา ปึ้ง กลับมา นั่นคือทางแรก
“ทางที่ 2 คุณต้องมองซ้าย มองขวา มีทางอื่นจะไปได้มั้ย ประชาธิปัตย์เลือกชนอย่างเดียว รู้ว่าไปไม่ได้ก็เลือกชน เพราะอะไร เพราะประชาธิปัตย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบเดรัจฉานในสภา ถูกมั้ย คิดให้ดีๆ ประชาธิปัตย์ไม่กล้าแหกกรอบตรงนี้ เพราะกลัว เพราะตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ระบบนี้คือระบบอะไร ระบบคณิตศาสตร์ไง แล้วที่ประชาธิปัตย์ด่าเขาน่ะ สมัยประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ประชาธิปัตย์ทำหรือเปล่า ทำเหมือนกัน ประชาธิปัตย์ก็ทำเหมือนกัน ไอ้พรรคเพื่อไทย รัฐบาลชุดนี้มันประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ถามว่า 158 วัน มันประกาศที่เราชุมนุมอยู่ตรงนั้น เรื่องเขาพระวิหาร มันประกาศความมั่นคงกับเรามั้ย ก็ประกาศความมั่นคง ถูกมั้ย เพราะฉะนั้นอะไรที่เพื่อไทยทำ ประชาธิปัตย์ก็เคยทำ เพราะฉะนั้นแล้ว ซ.ต.พ. ทั้งประชาธิปัตย์ ทั้งเพื่อไทย คือเดรัจฉานในสภา ที่คิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน เป็นเพียงแต่งวดนี้ คณิตศาสตร์ของเพื่อไทย ตัวเลขมันมากกว่าคณิตศาสตร์ของประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง เลยต้องพึ่งมวลชน ต้องอ้างมวลชน แล้วให้พันธมิตรฯ เป็นทัพหน้า แล้วตัวเองต่อข้างหลัง แล้วคอยฉกฉวยโอกาสทีหลัง
“ทีนี้พอเราไม่ออก ประชาธิปัตย์ก็เลยจำเป็นต้องสร้างมวลชนของตัวเองขึ้นมา บางคนเรียกคนใต้ขึ้นมา บางคนขับปิกอัพมา นั่งรถไฟมา แค่เนี้ย! คือไปให้ความหวังเขามาก มากจนกระทั่งเขามีความรู้สึกว่าเขาผิดหวัง แค่นี้เหรอ...?? ไป .. บางคน คนใต้บางคนขับรถปิกอัพกลับแบบไม่สนใจเลยนะ เรียกมาไม่ได้อีกแล้ว เพราะประชาธิปัตย์ไปติดหลุมพรางกับดักตรงนี้
“ประชาธิปัตย์วันนี้ ผมพูดเนี่ยผมอยากจะพูดให้สาวกพรรคประชาธิปัตย์ฟัง ให้ตั้งใจฟังกันให้ดีๆ คุณอยากจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองมั้ย คำว่าเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองต้องหมายความว่า ต้องไม่ยอมรับระบบเดรัจฉานในสภานี้ หมายความว่ายังไง หมายความว่าต้องพิจารณา หาทางที่จะให้ทุกฝ่ายมานั่งคุยกัน วิธีเดียวที่จะหาทางให้ทุกฝ่ายมานั่งคุยกันได้คือ พรรคประชาธิปัตย์ทุกคนต้องลาออกหมดเลย ลาออกมาเดินเกมการเมืองนอกสภา แล้วการเดินเกมการเมืองนอกสภา ถ้าลาออกมา มีจิตใจบริสุทธิ์ เข้าใจ แล้วประกาศ เห็นชัดเจนเลยว่าระบบนี้ไม่เวิร์ก ก็มันไม่เวิร์กจริงๆ วันนี้ถ้าประชาธิปัตย์บอกระบบการเมืองปัจจุบันเวิร์กนี่นะ เขาต้องถอดรองเท้าตัวเองแล้วตบปากตัวเขาเอง เพราะเขาเป็นคนพูดเองนี่ ยกทั้งมือทั้งตีนก็ไม่ชนะ ก็เขาพูดเอง แสดงว่าเขาเชื่อแล้วว่าระบบนี้ไม่เวิร์ก ระบบคณิตศาสตร์แบบนี้ไม่เวิร์กแน่นอน ถ้าเขารู้ว่ามันไม่เวิร์ก เขาต้องออกมา ก็คือเดินไปทางตันแล้ว ต้องหาทางออกทางอื่นแล้ว ก็มาหามวลชน ถ้าอย่างนั้น ข้อแรก ผมพร้อมจะร่วม พันธมิตรฯ พร้อมจะร่วม แต่คุณต้องลาออกนะ
พันธมิตรฯ พร้อมจะร่วม ให้คุณนำ ผมไม่ต้องการนำ ผมเป็นผู้ตามคุณ ผมยินดีตามพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าคุณกล้าทำอย่างนี้ อาการเจ็บหลังของผมที่ผมโดนแทงทั้งหลัง และเจ็บหัวที่โดนยิงหัว ผมลืมได้ ผมทิ้งไว้ข้างตัวเลย เอาชาติมาก่อน ถ้าอย่างนั้นแล้ว ระดมคนทั่วประเทศไทย 7 วันต้องมีคนเป็นล้านมา วันนั้นเพื่อไทยต้องเคาะประตูแล้วขอคุยด้วย เพราะเขาต้องขอคุยด้วยทันทีเลย ขอคุยด้วยตอนนั้นล่ะ คือการที่จะมากำหนดกติกาทางการเมืองที่มีภาคประชาชนเป็นส่วนร่วม ที่ไม่ใช่พึ่งพาหลักคณิตศาสตร์ วันนั้นเป็นวันที่เจรจาได้หมดทุกอย่าง และวันนั้นอาจจะเป็นวันที่บอกว่าให้ทหารมาตั้ง หรือให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งรัฐบาลรักษาการชั่วคราว 2 ปี เพื่อมาตกลงกติกา วิธีการกันใหม่ นี่คือทางออกของประเทศไทย ... ประชาธิปัตย์ถึงเวลาต้องมาเล่นการเมืองกับภาคประชาชน ต้องลาออกเลย สละระบบการเมืองนี้ไป ผมพร้อมจะเข้ามาร่วมและผมพร้อมจะเดินตามแกนนำประชาธิปัตย์ ให้ประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ และผมไม่จำเป็นต้องมีแกนนำ ผมพร้อม จะให้ผมขึ้นเวทีพูดปราศรัยผมจะขึ้น ไม่ให้ขึ้น ผมก็ไม่ขึ้น แต่ผมจะไปแสดงความบริสุทธิ์ใจของผม ถ้าเราจะทำอย่างนี้เพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อชาติ แต่ต้องไม่มีพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าประชาธิปัตย์อยากจะปฏิรูปการเมือง อยากทำการเมืองให้ดี ประชาธิปัตย์ลาออกมาแล้วนำไปเลย จะให้ แม้กระทั่งอภิสิทธิ์อยากนำ นำไป สุเทพอยากนำ นำไปไม่เป็นไร ผมไม่ว่า แต่คุณลาออกมาได้ไหม พิสูจน์ตรงนี้ให้ผมดูหน่อย เสียสละให้ผมดูก่อน อย่าใช้นโยบายตีกินเหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นแล้วผมเชื่อ อย่างน้อยที่สุด ส่วนตัวผม และผมเชื่อว่าผมพูดกับพี่ลอง ผมพูดกับพี่พิภพ หรือ อ.สมเเกียรติ ทุกคนเอาด้วย เพราะทุกคนพวกผม และพันธมิตรฯ เป็นคนที่ไม่มีผลประโยชน์กับใคร แต่เอาชาติเป็นหลัก... วิธีนี้เท่านั้นเองที่จะทำให้ทุกอย่างกลับไปสู่ที่ศูนย์แล้วเริ่มกันใหม่ด้วยความแฟร์
“ วันนี้คุณต้องพิสูจน์จิตใต้สำนึกคุณว่า คุณไม่ใช่นักการเมืองแบบพรรคเพื่อไทย คุณไม่ใช่เดรัจฉานทางการเมือง คุณไม่ใช่เดรัจฉานในสภาฯ ออกมาชำระตัว ชะล้างเสียใหม่ ไม่ใช่คุณเป็นคนบริสุทธิ์ คุณก็ทำอะไรผิดพลาดเยอะในอดีต แต่ไม่เป็นไรพวกเราพร้อมให้อภัย ถ้าคุณพร้อมที่จะออกมา แล้วบอกว่าขอเกิดใหม่ ขอทำการเมืองให้มันสะอาด ขอทำการเมืองให้มันโปร่งใส ขอทำการเมืองให้ภาคประชาชนร่วมด้วยได้หมด คุณออกมาสิ และคุณนำเลย ผมไม่ต้องการแย่ง ผมพร้อมจะเดินตามก้นคุณ ผมพร้อมจะเป็นลูกน้องคุณ และผมพร้อมจะลืมเรื่องมีดที่แทงหลังผม และปืนที่ยิงหัวผมไม่เป็นไร ช่างมัน ทิ้งไปเลย ผมไม่สนใจเอาชาติไว้ก่อน เอาประชาชนคนไทยไว้ก่อน
“วันนี้เขาต้องยอมรับว่า ระบบการเมืองแบบคณิตศาสตร์แบบนี้มันไปไม่ได้แล้วในประเทศไทย เขาเห็นมาตั้งกี่ยุคกี่สมัยแล้วล่ะ เขาเห็นมาตั้งแต่สมัยยุคทักษิณ ปี 2544 ครั้งแรก ทักษิณ 2 ใช่ไหม สมัคร สมชาย หรือแม้กระทั่งยุคที่อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ มันก็การเมืองแบบเดียวกันเป๊ะเลย ใครมีอำนาจก็ทำแบบนี้ แต่เผอิญเพื่อไทยมันบริหารงานถึงลูกถึงคนมากกว่า
(เมื่อประชาธิปัตย์ลาออกจากสภาฯแล้วมาร่วมกับประชาชน) “ มวลชนจะเยอะมากเป็นล้าน อย่างน้อยที่สุดผมเชื่อว่า พันธมิตรฯ ไปแน่ ล้านนึงไม่ใช่ว่าขั้นต่ำนะ เผลอ 2-3 ล้านคนเลยนะ ปักหลักกันเลย และคุณจะเห็นยิ่งกว่าอียิปต์ คุณจะเห็นถนนราชดำเนินนี่นะ คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ตั้งเต็นท์กันวางกันเต็มไปหมดเลย ยาวไปจนถึงโน่น สนามหลวง...และผมพร้อมนะ ผมลืมความแค้นเก่าได้ และผมพร้อมจะเป็นลูกน้องคุณให้คุณนำ
“...ผมพร้อมจะเข้าร่วมในการต่อสู้ทางการเมือง ให้การเมืองมันดีขึ้น โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ต้องการเป็นแกนนำ ให้คุณเป็นแกนนำเลย”
2. หากพรรคประชาธิปัตย์ทำได้เช่นนั้น การเมืองนอกสภาฯ ก็จะมีพลังมาก
“มันจะมีพลัง และจะทำให้ทุกคนเข้ามานั่งคุยกันแล้ว ทุกคนจะนั่งคุย คือหน้าที่ของเราต้องทำการเมืองไม่ให้มีคนอย่างเช่น บรรหาร ศิลปอาชา เข้ามา สุวัจน์ ลิปตพัลลภเข้ามา เสนาะ เทียนทอง เข้ามา มันหมดยุคแล้ว พวกนี้เป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ เป็นขยะทางการเมืองที่ไม่ควรจะเอ่ยถึง ควรจะเป็นคนหนุ่ม คนมีอุดมการณ์ คนมีความโปร่งใส คนที่มีความจริงใจต่อชาติบ้านเมือง และสิ่งที่ผมพูดทุกอย่างต้องกลับไปสู่ความยุติธรรมในสังคมหมด ความยุติธรรมที่เราเรียกไม่ได้จาก ปตท. ความยุติธรรมที่เราเรียกไม่ได้กับชนชั้นอภิสิทธิ์ ความยุติธรรมที่เราเรียกไม่ได้กับกลุ่มทุน พวกนี้จะต้องถูกจัดการหมด และสิ่งที่ผมพูดมันเป็นสิ่งที่พวกเสื้อแดงที่มีปัญญาก็ต้องการไม่ใช่เหรอ ถูกมั้ย เหมือนกันเลย และการสู้ครั้งนี้เราไม่ได้สู้เพื่ออภิสิทธิ์ ไม่ได้สู้เพื่อผม ไม่ได้สู้เพื่อทักษิณ ชินวัตร แต่เรารู้เพื่อประเทศไทยทั้งประเทศ เรารู้เพื่อสถาบันกษัตริย์ให้ยั่งยืน”
3. เปิดใจกับคนเสื้อแดง
“วันนี้ผมไม่ได้พูดเฉพาะเพื่อพรรคประชาธิปัตย์นะ เพื่อสมาชิกสีฟ้านะ คนเสื้อแดงที่มีปัญญาคิดด้วย ผมคิดว่าถ้าคุณก้าวข้ามทักษิณได้ สิ่งที่คุณ ถ้าคุณตัดทักษิณทิ้งไป และคุณยอมรับในสถาบันกษัตริย์ ผมคิดว่าการต่อสู้เพื่อความอยุติธรรม คุณกับผมเหมือนกันไม่ได้ต่างอะไรกันหรอก
(กับกลุ่มคนเสื้อแดง)“ผมยังติดอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกผมคิดว่า คุณต้องก้าวข้ามทักษิณให้ได้ เพราะถ้าไม่งั้นแล้ว คุณทำทุกอย่างในชีวิตเพื่อทักษิณคนเดียว เรื่องที่ 2 ผมเอาสถาบันกษัตริย์ ถ้าคุณไม่เอาก็ช่วยไม่ได้ เราอยู่คนละฟากกัน แต่ถ้าคุณคิดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสถาบันกษัตริย์ยังมีความจำเป็นต่อสังคมไทยอยู่ และคุณก้าวข้ามทักษิณได้ คุณกับผมไม่ได้ต่างอะไรกัน ต่างกันแค่สีเสื้อเท่านั้นเอง และถ้าคุณพร้อมจะไม่เอาการเมืองน้ำเน่าแบบนี้ เราก็คิดเหมือนกัน”
(14 ส.ค.56)
เมื่อ “เอาธรรมนำหน้า” “มีใจเป็นประธาน” ทุกย่างก้าวของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล จึงดำเนินไปตามครรลองของ “ธรรมจัดสรร” จาก “จุดเทียนปัญญา” เห็นปัญหาของชาติ สู่ “ชูธง”รวมพลัง “ทุกฝ่าย” แก้ปัญหาชาติ
เป้าหมายคือ ปิดฉากการเมืองชั่ว(ระบบรัฐสภาเดรัจฉาน) ปฏิรูปประเทศไทย !
การพูดของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เมื่อวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ตอกย้ำถึงปมปัญหาของประเทศไทยอีกครั้งและนำเสนอทางออกให้ “ทุกฝ่าย” มีส่วนร่วมอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง มีความเป็นไปได้และเป็นไปตามความเรียกร้องต้องการของคนไทยโดยรวมมากที่สุด
ที่สำคัญคือ จะช่วย “จัดระเบียบ” หรือสร้างความเป็นเอกภาพทางความคิด การเมือง และการจัดตั้ง(แก้ว 3 ประการ)ในขบวนการฯประชาชนครั้งใหญ่ ให้ทุกฝ่ายเลิกติดข้องในเรื่องเล็กๆน้อยๆ หยุมหยิม ไม่หยุดอยู่เพียงแค่การใช้ “ปัญญาฝอย” แก้ไขปัญหาเล็กๆน้อยๆ แต่หันมาสนใจเสริมสร้าง “ปัญญาแกน” แก้ปัญหาใหญ่ๆเพื่อนำไปสู่การสร้าง “อำนาจแกน” เป็นพลังแก่นแกนดึงดูดมวลชนที่เริ่มตื่นรู้ แต่อยู่กันกระจัดกระจายไร้การจัดตั้ง มารวมตัวกันเข้าเป็น “กำปั้นยักษ์” ต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณในห้วงของการทำ “สงครามมวลชน” ยกสุดท้าย ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้
1. เข้าถีงธรรม - สร้างความเป็นเอกภาพทางความคิด
คุณสนธิชี้ให้เห็นว่า ประเทศสชาติมีปัญหา ด้วยระบบการเมืองที่ผลิตนักการเมืองโกงกิน ทำให้นักฉวยโอกาสยกโขยงกันเข้าสภาฯ บัญชาการกลไกอำนาจรัฐได้ตามอำเภอใจ การขับเคลื่อนของกลไกรัฐจึงสนองตอบผลประโยชน์นักการเมือง มากกว่าสนองตอบต่อประเทศชาติประชาชน
ยังผลให้ประเทศไทย ตกอยู่ใน “ความมืดมน” คนไทย “มืดบอด” มานานร่วมศตวรรษ
เป็นการ “จุดเทียน” ส่องแสงสว่าง สลายความมืดที่ครอบคลุมสังคมไทย ให้เห็นถึง “ปม” หรือ “ต้นตอ” แห่งปัญหาอย่างจะแจ้งที่สุด ตรงจุดที่สุด อย่างไม่อ้อมค้อมที่สุด
2. เดินทางธรรม - สร้างความเป็นเอกภาพทางการเมือง
คุณสนธิยืนหยัดมั่นคงในการเดิน “แนวทางมวลชน” ถือเอาขบวนการฯประชาชนเป็นตัวตั้ง สามัคคี “ทุกฝ่าย” แบบไร้เส้นไร้สี มาร่วมกันขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้ปลอดพ้นจากสภาวะมืดมน ในการนี้ พร้อมร่วมมือกับนักการเมือง “ทุกพรรค” ที่ยินดีสลัดคราบนักการเมือง สลัดทิ้งระบบรัฐสภา มาร่วมกับประชาชน เป็น “เจ้าภาพ” กำหนดหลักการปกครองและออกแบบระบบ “รัฐสภา” ของประชาชนขึ้นมา (อีกนัยหนึ่งก็คือระบบ “สภาประชาชน”) ขับเคลื่อนประเทศไทยไปในทิศทางที่ดี มีความเจริญก้าวหน้าทั่วด้าน คนไทยส่วนใหญ่ได้รับใช้ประโยชน์สูงสุด
แนวทางสายนี้ จะโน้มนำให้ผู้เข้ามาร่วมเป็น “เจ้าภาพ” กำหนดอนาคตของประเทศไทย ยึดมั่นในผลประโยชน์ชาติและประชาชนได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ใดแสดงพฤติกรรมในทางที่ดี ยินดีเสียสละโอกาสมีโอกาสได้เฉพาะตัว แต่มุ่งสร้างสรรค์สิ่งดีที่ยังประโยชน์แก่ส่วนรวม จะได้รับการส่งเสริม สนับสนุนอย่างรอบด้านจากระบบ กลไก ต่างๆ ที่เราได้ร่วมกันประดิษฐ์คิดสร้าง (นวัตกรรม)ขึ้นมาใหม่ ส่วนผู้มีพฤติกรรมในทางตรงกันข้าม ก็จะค่อยๆถูกจำกัดบทบาท และถูกกันออกไปจากระบบโดยปริยาย
ถ้ามองกว้างมองไกลด้วยสายตาประวัติศาสตร์ เราก็จะพบว่า การ “เดินทางธรรม” เช่นนี้ ก็คือกระบวนการ “เตรียมคน” ซึ่งก็คือ “กองทัพมวลชนตื่นรู้” อันเป็นเหตุปัจจัยสำคัญ ที่จะนำไปสู่การอุบัติขึ้นของระบบ “ปัญญาแกน” และ “อำนาจแกน” ครั้งใหญ่ของสังคมไทย ในบริบทของสังคมโลกยุคปัจจุบัน ที่เริ่มหลอมรวมกันเข้าเป็นกลุ่มประเทศใหญ่ๆบริหารจัดการตัวเอง เช่น กลุ่มประเทศอาเซียน สหภาพยุโรป สหภาพแอฟริกา และลาตินอเมริกา เป็นต้น บทบาทของประเทศไทยภายหลังการ “ปฏิรูปใหญ่” ที่นำโดยขบวนการฯประชาชน ด้วย “ปัญญาแกน” และ “อำนาจแกน” ที่ก่อตัวขึ้นมาในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองครั้งใหญ่นี้ ก็คือการฟื้นคืนความรุ่งโรจน์อีกครั้งขึ้นบนดินแดนที่เคยเป็นอู่อารยธรรมสุวรรณภูมิมาก่อนในอดีตกาล ให้เป็น “อารยธรรมแก่นแกน” ยุคใหม่ ของกลุ่มประเทศอาเซียน
“กองทัพมวลชนตื่นรู้” ที่จะพัฒนาเติบใหญ่ไปตามการขับเคลื่อนประเทศไทยนี่เอง คือหลักประกันอันดับต้นๆ ให้สังคมไทยพัฒนาก้าวหน้า เจริญรุ่งเรืองรอบด้าน คนไทยอยู่ดีมีสุข ได้ ต่อเนื่องยาวนานไปอีกนับร้อยนับพันปี และเป็น“เหตุปัจจัยภายใน” สะท้อน “ปัญญาแกน” และ “อำนาจแกน” ของคนไทยยุคใหม่ที่จะขับเคลื่อนตัวเอง ร่วมไปกันกับเพื่อนร่วมโลก บนดาวโลกดวงนี้ได้อย่างกลมกลืน
3. สร้างทางธรรม - สร้างความเป็นเอกภาพทางการจัดตั้ง
มาบัดนี้ คุณสนธิได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการ “ชูธง” นำทัพ “ขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” เชิญชวนให้
“ทุกฝ่าย”มาร่วมขบวนฯ แก้ไขปัญหาประเทศชาติ โดยถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง
“ทุกฝ่าย” ที่ว่า ก็คือผู้ที่ 1. ไม่เอา ระบอบทักษิณ 2. ไม่เอาระบบรัฐสภา “เดรัจฉาน”
“ทุกฝ่าย”ที่ว่า หมายถึงกลุ่ม องค์กร ต่างๆในขบวนการฯประชาชน นักการเมืองที่ประกาศลาออกจากความเป็น ส.ส. เข้าร่วมกับขบวนการฯประชาชน รวมไปถึงกลุ่มคนเสื้อแดงที่เกิดความ “เห็นแจ้ง” ในทางออกที่แท้จริงของประเทศไทย
------------------------
ภาคผนวก
สาระและข้อความบางตอนที่คุณสนธินำเสนอในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ประจำวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2556 เกี่ยวกับนักการเมืองและกลุ่มคนเสื้อแดง(มีการตัดต่อบ้างบางจุด เพื่อให้เกิดความกระชับ)
1. พรรคประชาธิปัตย์ต้องไม่ไปร่วมสังฆกรรมกับพรรคเพื่อไทยอีกต่อไปในระบบรัฐสภา ภายหลังแพ้มติ พ.ร.บ.นิรโทษฯในวาระแรก แล้วประกาศลาออกจากความเป็น ส.ส. มาร่วมกับขบวนการฯประชาชน
“ไปให้ความชอบธรรมเขาในกรรมาธิการอีก ประชาธิปัตย์ไม่ควรให้ เพราะว่ากรรมาธิการมันตั้งมาก็พวกมันทั้งนั้น ยกมือให้ พ.ร.บ.ผ่านก็พวกมันทั้งนั้น ทีนี้การที่จะทำเช่นนี้คนต้องคิดทะลุกรอบ และคนต้องพร้อมที่จะเสียสละ เพื่อที่จะเข้ามาเดินการเมืองทางมวลชน
“รัฐสภาทุกวันนี้เป็นรัฐสภาของการนับคะแนนเสียง ไม่ได้ฟังเหตุผล เมื่อไม่ได้ฟังเหตุผลแล้ว นี่คือเผด็จการรัฐสภา ถือว่าเสียงข้างมากจะทำอะไรก็ได้ ออกกฎหมายอะไรก็ได้ เราไม่เห็นด้วย ทีนี้ประชาธิปัตย์นอกจากตกหลุมพราง กับดักในเรื่องความคิดแล้ว ยังตกหลุมพราง กับดักในเรื่องการหลงตัวเอง ว่าตัวเองพูดเก่ง พูดแล้วคนจะฟัง เขาตกหลุมพราง 2 หลุมพราง เห็นหรือยัง เพราะฉะนั้นตรรกะที่เขาใช้อ้างว่า 1. เขาต้องเข้าไปสู้ในสภา เพื่ออย่างน้อยที่สุด คัดค้านเต็มที่ แล้วยังไง เพราะว่าในสภามันใช้หลักคณิตศาสตร์คิดกัน มันไม่ได้ใช้หลักรัฐศาสตร์ มันไม่รู้จักใช้หลักนิติศาสตร์ ไม่ได้ใช้หลักสังคมศาสตร์ ไม่ได้ใช้หลักตรรกศาสตร์ มันใช้คณิตศาสตร์ กี่เสี่ยง ... ชนะ ...
“(ต้อง)ทำอะไรที่นอกกรอบ เพราะสิ่งที่ผมจะแนะนำทางออกของประเทศ ผมก็เลยจะแนะนำให้เขาคิดนอกกรอบ จากนี้ไป ซึ่งไม่รู้จะได้หรือเปล่า แต่ถ้าเขาฉลาดและถ้าเขาคิดเป็น เอาอย่างนี้เติมศักดิ์ มนุษย์เรานี่ คุณเดินกับผมไป ไปถึงแล้วไปเจอทางตัน คำถามมีอยู่คำถามเดียว คุณจะทำยังไงต่อไป ให้คุณเลือก 2 ทาง ทางแรกคือ คุณก็โง่เอาหัวชนกำแพงไปเรื่อยๆ ชนไปอย่างนั้น มันตันก็ปึ้ง กลับมา ปึ้ง กลับมา นั่นคือทางแรก
“ทางที่ 2 คุณต้องมองซ้าย มองขวา มีทางอื่นจะไปได้มั้ย ประชาธิปัตย์เลือกชนอย่างเดียว รู้ว่าไปไม่ได้ก็เลือกชน เพราะอะไร เพราะประชาธิปัตย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบเดรัจฉานในสภา ถูกมั้ย คิดให้ดีๆ ประชาธิปัตย์ไม่กล้าแหกกรอบตรงนี้ เพราะกลัว เพราะตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ระบบนี้คือระบบอะไร ระบบคณิตศาสตร์ไง แล้วที่ประชาธิปัตย์ด่าเขาน่ะ สมัยประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ประชาธิปัตย์ทำหรือเปล่า ทำเหมือนกัน ประชาธิปัตย์ก็ทำเหมือนกัน ไอ้พรรคเพื่อไทย รัฐบาลชุดนี้มันประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ถามว่า 158 วัน มันประกาศที่เราชุมนุมอยู่ตรงนั้น เรื่องเขาพระวิหาร มันประกาศความมั่นคงกับเรามั้ย ก็ประกาศความมั่นคง ถูกมั้ย เพราะฉะนั้นอะไรที่เพื่อไทยทำ ประชาธิปัตย์ก็เคยทำ เพราะฉะนั้นแล้ว ซ.ต.พ. ทั้งประชาธิปัตย์ ทั้งเพื่อไทย คือเดรัจฉานในสภา ที่คิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน เป็นเพียงแต่งวดนี้ คณิตศาสตร์ของเพื่อไทย ตัวเลขมันมากกว่าคณิตศาสตร์ของประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง เลยต้องพึ่งมวลชน ต้องอ้างมวลชน แล้วให้พันธมิตรฯ เป็นทัพหน้า แล้วตัวเองต่อข้างหลัง แล้วคอยฉกฉวยโอกาสทีหลัง
“ทีนี้พอเราไม่ออก ประชาธิปัตย์ก็เลยจำเป็นต้องสร้างมวลชนของตัวเองขึ้นมา บางคนเรียกคนใต้ขึ้นมา บางคนขับปิกอัพมา นั่งรถไฟมา แค่เนี้ย! คือไปให้ความหวังเขามาก มากจนกระทั่งเขามีความรู้สึกว่าเขาผิดหวัง แค่นี้เหรอ...?? ไป .. บางคน คนใต้บางคนขับรถปิกอัพกลับแบบไม่สนใจเลยนะ เรียกมาไม่ได้อีกแล้ว เพราะประชาธิปัตย์ไปติดหลุมพรางกับดักตรงนี้
“ประชาธิปัตย์วันนี้ ผมพูดเนี่ยผมอยากจะพูดให้สาวกพรรคประชาธิปัตย์ฟัง ให้ตั้งใจฟังกันให้ดีๆ คุณอยากจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองมั้ย คำว่าเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองต้องหมายความว่า ต้องไม่ยอมรับระบบเดรัจฉานในสภานี้ หมายความว่ายังไง หมายความว่าต้องพิจารณา หาทางที่จะให้ทุกฝ่ายมานั่งคุยกัน วิธีเดียวที่จะหาทางให้ทุกฝ่ายมานั่งคุยกันได้คือ พรรคประชาธิปัตย์ทุกคนต้องลาออกหมดเลย ลาออกมาเดินเกมการเมืองนอกสภา แล้วการเดินเกมการเมืองนอกสภา ถ้าลาออกมา มีจิตใจบริสุทธิ์ เข้าใจ แล้วประกาศ เห็นชัดเจนเลยว่าระบบนี้ไม่เวิร์ก ก็มันไม่เวิร์กจริงๆ วันนี้ถ้าประชาธิปัตย์บอกระบบการเมืองปัจจุบันเวิร์กนี่นะ เขาต้องถอดรองเท้าตัวเองแล้วตบปากตัวเขาเอง เพราะเขาเป็นคนพูดเองนี่ ยกทั้งมือทั้งตีนก็ไม่ชนะ ก็เขาพูดเอง แสดงว่าเขาเชื่อแล้วว่าระบบนี้ไม่เวิร์ก ระบบคณิตศาสตร์แบบนี้ไม่เวิร์กแน่นอน ถ้าเขารู้ว่ามันไม่เวิร์ก เขาต้องออกมา ก็คือเดินไปทางตันแล้ว ต้องหาทางออกทางอื่นแล้ว ก็มาหามวลชน ถ้าอย่างนั้น ข้อแรก ผมพร้อมจะร่วม พันธมิตรฯ พร้อมจะร่วม แต่คุณต้องลาออกนะ
พันธมิตรฯ พร้อมจะร่วม ให้คุณนำ ผมไม่ต้องการนำ ผมเป็นผู้ตามคุณ ผมยินดีตามพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าคุณกล้าทำอย่างนี้ อาการเจ็บหลังของผมที่ผมโดนแทงทั้งหลัง และเจ็บหัวที่โดนยิงหัว ผมลืมได้ ผมทิ้งไว้ข้างตัวเลย เอาชาติมาก่อน ถ้าอย่างนั้นแล้ว ระดมคนทั่วประเทศไทย 7 วันต้องมีคนเป็นล้านมา วันนั้นเพื่อไทยต้องเคาะประตูแล้วขอคุยด้วย เพราะเขาต้องขอคุยด้วยทันทีเลย ขอคุยด้วยตอนนั้นล่ะ คือการที่จะมากำหนดกติกาทางการเมืองที่มีภาคประชาชนเป็นส่วนร่วม ที่ไม่ใช่พึ่งพาหลักคณิตศาสตร์ วันนั้นเป็นวันที่เจรจาได้หมดทุกอย่าง และวันนั้นอาจจะเป็นวันที่บอกว่าให้ทหารมาตั้ง หรือให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งรัฐบาลรักษาการชั่วคราว 2 ปี เพื่อมาตกลงกติกา วิธีการกันใหม่ นี่คือทางออกของประเทศไทย ... ประชาธิปัตย์ถึงเวลาต้องมาเล่นการเมืองกับภาคประชาชน ต้องลาออกเลย สละระบบการเมืองนี้ไป ผมพร้อมจะเข้ามาร่วมและผมพร้อมจะเดินตามแกนนำประชาธิปัตย์ ให้ประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ และผมไม่จำเป็นต้องมีแกนนำ ผมพร้อม จะให้ผมขึ้นเวทีพูดปราศรัยผมจะขึ้น ไม่ให้ขึ้น ผมก็ไม่ขึ้น แต่ผมจะไปแสดงความบริสุทธิ์ใจของผม ถ้าเราจะทำอย่างนี้เพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อชาติ แต่ต้องไม่มีพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าประชาธิปัตย์อยากจะปฏิรูปการเมือง อยากทำการเมืองให้ดี ประชาธิปัตย์ลาออกมาแล้วนำไปเลย จะให้ แม้กระทั่งอภิสิทธิ์อยากนำ นำไป สุเทพอยากนำ นำไปไม่เป็นไร ผมไม่ว่า แต่คุณลาออกมาได้ไหม พิสูจน์ตรงนี้ให้ผมดูหน่อย เสียสละให้ผมดูก่อน อย่าใช้นโยบายตีกินเหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นแล้วผมเชื่อ อย่างน้อยที่สุด ส่วนตัวผม และผมเชื่อว่าผมพูดกับพี่ลอง ผมพูดกับพี่พิภพ หรือ อ.สมเเกียรติ ทุกคนเอาด้วย เพราะทุกคนพวกผม และพันธมิตรฯ เป็นคนที่ไม่มีผลประโยชน์กับใคร แต่เอาชาติเป็นหลัก... วิธีนี้เท่านั้นเองที่จะทำให้ทุกอย่างกลับไปสู่ที่ศูนย์แล้วเริ่มกันใหม่ด้วยความแฟร์
“ วันนี้คุณต้องพิสูจน์จิตใต้สำนึกคุณว่า คุณไม่ใช่นักการเมืองแบบพรรคเพื่อไทย คุณไม่ใช่เดรัจฉานทางการเมือง คุณไม่ใช่เดรัจฉานในสภาฯ ออกมาชำระตัว ชะล้างเสียใหม่ ไม่ใช่คุณเป็นคนบริสุทธิ์ คุณก็ทำอะไรผิดพลาดเยอะในอดีต แต่ไม่เป็นไรพวกเราพร้อมให้อภัย ถ้าคุณพร้อมที่จะออกมา แล้วบอกว่าขอเกิดใหม่ ขอทำการเมืองให้มันสะอาด ขอทำการเมืองให้มันโปร่งใส ขอทำการเมืองให้ภาคประชาชนร่วมด้วยได้หมด คุณออกมาสิ และคุณนำเลย ผมไม่ต้องการแย่ง ผมพร้อมจะเดินตามก้นคุณ ผมพร้อมจะเป็นลูกน้องคุณ และผมพร้อมจะลืมเรื่องมีดที่แทงหลังผม และปืนที่ยิงหัวผมไม่เป็นไร ช่างมัน ทิ้งไปเลย ผมไม่สนใจเอาชาติไว้ก่อน เอาประชาชนคนไทยไว้ก่อน
“วันนี้เขาต้องยอมรับว่า ระบบการเมืองแบบคณิตศาสตร์แบบนี้มันไปไม่ได้แล้วในประเทศไทย เขาเห็นมาตั้งกี่ยุคกี่สมัยแล้วล่ะ เขาเห็นมาตั้งแต่สมัยยุคทักษิณ ปี 2544 ครั้งแรก ทักษิณ 2 ใช่ไหม สมัคร สมชาย หรือแม้กระทั่งยุคที่อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ มันก็การเมืองแบบเดียวกันเป๊ะเลย ใครมีอำนาจก็ทำแบบนี้ แต่เผอิญเพื่อไทยมันบริหารงานถึงลูกถึงคนมากกว่า
(เมื่อประชาธิปัตย์ลาออกจากสภาฯแล้วมาร่วมกับประชาชน) “ มวลชนจะเยอะมากเป็นล้าน อย่างน้อยที่สุดผมเชื่อว่า พันธมิตรฯ ไปแน่ ล้านนึงไม่ใช่ว่าขั้นต่ำนะ เผลอ 2-3 ล้านคนเลยนะ ปักหลักกันเลย และคุณจะเห็นยิ่งกว่าอียิปต์ คุณจะเห็นถนนราชดำเนินนี่นะ คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ตั้งเต็นท์กันวางกันเต็มไปหมดเลย ยาวไปจนถึงโน่น สนามหลวง...และผมพร้อมนะ ผมลืมความแค้นเก่าได้ และผมพร้อมจะเป็นลูกน้องคุณให้คุณนำ
“...ผมพร้อมจะเข้าร่วมในการต่อสู้ทางการเมือง ให้การเมืองมันดีขึ้น โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ต้องการเป็นแกนนำ ให้คุณเป็นแกนนำเลย”
2. หากพรรคประชาธิปัตย์ทำได้เช่นนั้น การเมืองนอกสภาฯ ก็จะมีพลังมาก
“มันจะมีพลัง และจะทำให้ทุกคนเข้ามานั่งคุยกันแล้ว ทุกคนจะนั่งคุย คือหน้าที่ของเราต้องทำการเมืองไม่ให้มีคนอย่างเช่น บรรหาร ศิลปอาชา เข้ามา สุวัจน์ ลิปตพัลลภเข้ามา เสนาะ เทียนทอง เข้ามา มันหมดยุคแล้ว พวกนี้เป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ เป็นขยะทางการเมืองที่ไม่ควรจะเอ่ยถึง ควรจะเป็นคนหนุ่ม คนมีอุดมการณ์ คนมีความโปร่งใส คนที่มีความจริงใจต่อชาติบ้านเมือง และสิ่งที่ผมพูดทุกอย่างต้องกลับไปสู่ความยุติธรรมในสังคมหมด ความยุติธรรมที่เราเรียกไม่ได้จาก ปตท. ความยุติธรรมที่เราเรียกไม่ได้กับชนชั้นอภิสิทธิ์ ความยุติธรรมที่เราเรียกไม่ได้กับกลุ่มทุน พวกนี้จะต้องถูกจัดการหมด และสิ่งที่ผมพูดมันเป็นสิ่งที่พวกเสื้อแดงที่มีปัญญาก็ต้องการไม่ใช่เหรอ ถูกมั้ย เหมือนกันเลย และการสู้ครั้งนี้เราไม่ได้สู้เพื่ออภิสิทธิ์ ไม่ได้สู้เพื่อผม ไม่ได้สู้เพื่อทักษิณ ชินวัตร แต่เรารู้เพื่อประเทศไทยทั้งประเทศ เรารู้เพื่อสถาบันกษัตริย์ให้ยั่งยืน”
3. เปิดใจกับคนเสื้อแดง
“วันนี้ผมไม่ได้พูดเฉพาะเพื่อพรรคประชาธิปัตย์นะ เพื่อสมาชิกสีฟ้านะ คนเสื้อแดงที่มีปัญญาคิดด้วย ผมคิดว่าถ้าคุณก้าวข้ามทักษิณได้ สิ่งที่คุณ ถ้าคุณตัดทักษิณทิ้งไป และคุณยอมรับในสถาบันกษัตริย์ ผมคิดว่าการต่อสู้เพื่อความอยุติธรรม คุณกับผมเหมือนกันไม่ได้ต่างอะไรกันหรอก
(กับกลุ่มคนเสื้อแดง)“ผมยังติดอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกผมคิดว่า คุณต้องก้าวข้ามทักษิณให้ได้ เพราะถ้าไม่งั้นแล้ว คุณทำทุกอย่างในชีวิตเพื่อทักษิณคนเดียว เรื่องที่ 2 ผมเอาสถาบันกษัตริย์ ถ้าคุณไม่เอาก็ช่วยไม่ได้ เราอยู่คนละฟากกัน แต่ถ้าคุณคิดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสถาบันกษัตริย์ยังมีความจำเป็นต่อสังคมไทยอยู่ และคุณก้าวข้ามทักษิณได้ คุณกับผมไม่ได้ต่างอะไรกัน ต่างกันแค่สีเสื้อเท่านั้นเอง และถ้าคุณพร้อมจะไม่เอาการเมืองน้ำเน่าแบบนี้ เราก็คิดเหมือนกัน”