“โฆสิต-เสรีพิศุทธ์-สุหฤท” ร่วมประชันวิสัยทัศน์ท้าชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ พูดตรงกันถึงเวลาที่ กทม.ต้องปลอดจากพรรคการเมือง วอนประชาชนอย่าปล่อยให้ความขัดแย้งระดับชาติลงมาสู่ท้องถิ่น เลิกเชื่อว่าไม่มีทางชนะพรรคได้ เพราะแค่คนที่นอนหลับทับสิทธิออกมาเลือกตั้งก็สามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ ได้แล้ว
วันที่ 21 ก.พ. ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สังกัดอิสระ ประกอบด้วย นายโฆสิต สุวินิจจิต หมายเลข 10, นายสุหฤท สยามวาลา หมายเลข 17 และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หมายเลข 11 ร่วมประชันวิสัยทัศน์ทางรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV รายละเอียดมีดังนี้
คำถาม : ทิศทางของกรุงเทพฯ ต่อจากนี้ไปในความฝันควรเป็นอย่างไร และมีวิธีทำให้เป็นจริงได้อย่างไร
นายโฆสิต : ควรเป็นมหานครที่มีความสุขจริงๆ ไม่ทะเลาะกัน เป็นเมืองแห่งเศรษฐกิจและสังคมที่ดี หมายถึงว่าอยู่ดีกินดีแล้วมีความสุข กินดีก็คืออยากเห็นกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าของอาเชียน และเป็นศูนย์กลางของศิลปวัฒนธรรมบันเทิงอาเชียน วันนี้กรุงเทพฯ ไม่ควรเป็นเมืองอุตสาหกรรมอีกแล้ว เพราะทำแล้วมีแต่มลภาวะ มีแต่ปัญหา น่าจะไปสู่การทำธุรกิจการค้า ซึ่งเห็นว่าเป็นดีเอ็นเอของคนไทยอยู่แล้ว คือ มุนษยสัมพันธ์ดี จิตใจดี เป็นผู้ต้อนรับที่ดี ฉะนั้นถ้าเราทำเรื่องการค้า 24 ชั่วโมง ตามนโยบายกรุงเทพฯ 24 ชั่วโมง ก็จะทำให้เป็นเมืองหลวงที่น่าลงทุนมากที่สุด มีศูนย์กลางราชการ กทม.ทำงาน 24 ชั่วโมง เป็นเมืองที่พร้อมทุกอย่าง 24 ชั่วโมง และจะทำให้ระบบเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำได้ไม่ยาก ถ้าจะเป็นรูปธรรมก็ต้องกำหนดโซนขึ้นมาเป็นศูนย์ธุรกิจอาเชียน และให้การส่งเสริม เช่น ยกเลิกภาษีโรงเรือน หรือดีไซน์สร้างเป็นศูนย์ออฟฟิซของอาเชียน อีกด้านศูนย์ศิลปวัฒนธรรมอาเชียน ซึ่งเราเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรม ศาสนา ส่งเสริมให้ดีๆ ทำให้เป็นฮอลลีวูดออฟเอเชีย ทำทีป็อปแข่งกับเคป็อป ถ้าส่งออกศิลปวัฒนธรรม การท่องเที่ยวจะบูมทันที แล้วศูนย์วัฒนธรรมอาเชียนจะทำให้เราเข้าใจวัฒนธรรม ภาษา ของอาเชียนมากที่สุด ทำให้เราสามารถทำธุรกิจ ธุรกิจก็จะโตขึ้น เพราะคนไทยเป็นคนที่เข้าใจอาเชียนมากกว่าใคร
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ : กรุงเทพฯ ต้องมีความสงบเรียบร้อย ปลอดภัย ปลอดอาชญากรรม ปลอดยาเสพติดและผู้มีอิทธิพล ต้องเป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าท่องเที่ยว การจราจรไม่ติดขัด และมั่นใจได้ว่าน้ำไม่ท่วม ประการต่อมากรุงเทพฯ ต้องเป็นเมืองสีเขียว สะอาด น้ำใส ปลอดขยะ ไร้มลพิษ ประการต่อมาอยากเห็นคนกรุงเทพฯมีการศึกษา มีอาชีพ มีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว พร้อมในปัจจัยสี่ โรงพยาบาล สาธารณสุข ต้องทันสมัย มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย และเพียงพอในการบริการประชาชนให้ดีที่สุด ประการสุดท้าย ผู้สูงอายุ เด็ก สตรี คนพิการ ต้องได้รับการดูแลเท่าเทียมกับบุคลทั่วไป
วันนี้กรุงเทพฯ อายุ 231 ปี เทียบเป็นคนถือว่าแก่เต็มทีแล้ว ฉะนั้นต้องการแพทย์ที่เก่ง กล้า ดี มาแก้ไข ถ้าแค่เก่ง ดี แก้ไม่ได้ ต้องกล้าหาญด้วย ซึ่งตนมีคุณสมบัติครบ คือ เก่ง กล้า ดี มั่นใจว่าสามารถทำสิ่งที่เสนอได้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่กล้าเสนอ
นายสุหฤท : เราจะเป็นเมืองในฝัน จะเจริญแบบไหน ประชาชนในกรุงเทพฯมีส่วนสำคัญมากๆ ตนมาลงสมัครครั้งนี้ไม่ได้มาบอกว่าจะให้อะไรบ้าง แต่อยากชวนทุกๆคนมาร่วมกันเปลี่ยนแปลง เพราะผู้ว่าฯ มา 4 ปีแล้วก็ไป แต่พวกเรายังอยู่ เรื่องหลักๆ ก็คือฝันอยากให้ชีวิตของคนกรุงเทพฯ ดีขึ้น ฉะนั้นต้องมองที่พื้นฐานเป็นหลัก แล้วไม่ต้องเป็นเรื่องใหญ่โตมาก อย่างแรกอยากมีทางเท้าที่เรียบ สวย ให้กับทุกๆ ท่าน และเป็นทางเท้าที่เดินได้ ขอสัก 1 เมตร แล้วจัดทุกอย่างให้เป็นระเบียบ อย่างที่สองก็คือ การแก้ไขปัญหาจราจรจากศูนย์ แน่นอนต้องทำให้ถนน 4 เลนวิ่งได้เต็ม 4 เลน ไม่ใช่ให้รถมาจอดขวางไป 2 เลน ต้องมีการรณรงค์ หลายๆ เมืองที่เขาประสบความสำเร็จก็รถติดทั้งนั้น แต่เขามีรถสาธารณะเป็นทางเลือกทำให้สามารถบริหารได้ แต่วันนี้ถ้ายังไม่มี สั้นๆ เลยที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเราทุกคน คือต้องร่วมรณรงค์ให้เคารพกฎจราจร แล้วถ้าทำได้จะเป็นการเปลี่ยนได้ถาวร เราไม่ต้องให้จรจรมาคอยโบกเวลาเจอคอขวด แค่สลับกันไปทีละคัน แค่นี้ปัญหาก็ลดลงมาก เรื่องต่อมาตนอยากปรับวิธีการศึกษาของเด็ก เพราะเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ และ มาเลเซีย หลักสูตรที่เด็กกำลังเรียนอยู่เป็นหลักสูตรที่อาจยังไม่เอื้อมากนัก แล้วก็จะมีเรื่องของการขายขยะ เอาเงินมาทำสวนสาธารณะที่สวย สุดท้ายฝันว่าสามารถเที่ยวกรุงเทพฯ ได้ 50 เขต มีเสน่ห์ครบถ้วน เวลาทำได้สภาพเศรษฐกิจชุมชนก็จะดี เงินสะพัด
คำถาม : ให้พูดถึงคุณสมบัติที่เด่นของแต่ละท่าน ที่คิดว่าประชาชนจะไม่ผิดหวังที่เลือกให้เป็นผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ : ปัญหาที่บ้านเมืองไม่เจริญอยู่ทุกวันนี้ก็คือความขัดแย้งทางการเมือง และนักการเมืองเป็นอาชีพที่คอร์รัปชันมากที่สุด แล้วนักการเมืองพยายามมาควบคุมกรุงเทพฯ ให้ได้ เล่นการเมืองระดับชาติก็เล่นไป แต่การปกครองท้องถิ่นควรเป็นเรื่องของบุคคลมากกว่า แต่พรรคก็ต้องการเอาฐานการเมืองท้องถิ่นไปเป็นฐานการเมืองใหญ่ แล้วเขาก็ยึดได้จริงๆ คะแนนเลือกตั้งผู้ว่าฯ 3-4 ครั้งหลังนี้ ประชาธิปัตย์ 9 แสน เพื่อไทย 6 แสน อิสระ 3 แสน กลายเป็นกรุงเทพฯ ถูกพรรคการเมืองยึด ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เมื่อเป็นแบบนี้คนเก่งก็ไม่กล้าลง เพราะไม่มีโอกาสชนะ พอยึดไปหมดนักการเมืองถึงกล้าพูดว่าส่งอะไรมาคนก็ต้องเลือก พี่น้องได้ยินอย่างนี้เจ็บหรือเปล่า
เมื่อเห็นปัญหาอย่างนี้แล้วจึงประกาศลงสมัคร สุขภาพเรายังดี มีความรู้ความสามารถประสบการณ์ เคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูงานต่างประเทศมามากมาย ได้เก็บสิ่งที่ดีๆ มาเยอะแยะเพื่อจะนำมาใช้ ผมมีความพร้อมทั้งเรื่องดี เก่ง กล้า ที่จะมาแก้ไขปัญหา ไม่เคยกลัวผู้มีอิทธิพล ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น
นายสุหฤท : ตอนนี้สิ่งที่ กทม.ต้องการ คือ การคิดนอกกรอบ ตนคิดนอกกรอบได้ เราอยู่ในกรอบมานานแล้ว ตนก็ไม่รู้ว่ากรอบที่เราอยู่จะมีใครมาทำให้มันเล็กลงหรือไม่ ทางออกของกรุงเทพฯ ตอนนี้ต้องการคนคิดนอกรอบ ทีนี้ไม่ใช่ออกนอกกรอบแบบตะบี้ตะบัน แต่ต้องมีเทคนิค ต้องกล้าพอสมควรที่จะออกจากกรอบเดิมๆ ต้องสามารถโน้มน้าวคนได้ มันจะดีไม่น้อยถ้าความคิดนอกกรอบของผมสามารถนำข้าราชการประจำของ กทม.ให้มีการบริหารงานที่ทันสมัยขึ้น มีคนเป็นห่วงว่าตนจะมีอำนาจหรือ ก็ขอเรียนว่าไม่ต้องห่วงหรอก เพราะเวลาผู้ว่าฯ อิสระเข้ามา เขามีอำนาจในการบริหาร เวลาที่เราถ้าคิดนอกกรอบแล้วผมเชื่อว่า กทม.โดยเฉพาะการบริหารงาน มันจะมีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ง่าย ไม่ได้จมกับของเดิมๆ
วันนี้เราอาจต้องการผู้ว่าฯ อิสระมากกว่าทุกๆ สมัยที่ผ่านมา เพราะมีความจำเป็นเหลือเกินที่เราต้องนำกรุงเทพฯ ออกจากความขัดแย้งระดับชาติได้แล้ว แต่ก่อนเราเลือกผู้ว่าฯ จากอิสระทั้งหมด แต่เวลานี้เรากำลังกลับตาลปัตรไปเลือกผู้ว่าฯ ที่มาจากพรรคการเมือง ผมก็ไม่บังอาจไปบอกทุกท่าน ก็เคารพการตัดสินใจ แต่คิดว่าทางออกวันนี้คือเลือกผู้ว่าฯ ที่มาจากอิสระ
ขอยืนยันจุดเด่นของผมจะทำให้เกิดสิ่งเปลี่ยนแปลงในวิธีการที่แตกต่างออกไปจากเดิม เช่น เวลาเราพูดกรุงเทพฯ ต้องเขียว มีต้นไม้ก็อาจไม่พอ แต่ต้องมีและสวยมาก กล้อง ไม่ใช่แค่จำนวน แต่ต้องเห็นด้วย ทำคนให้มีความสุข คิดว่ามันต้องทำบางกอกคาร์ฟรีเดย์ แล้วไม่ใช่แค่ชวนคนมาปั่นจักรยาน แต่มีเล่นดนตรีเปิดหมวก มาขายของได้ เป็นวิถีชีวิตที่เราสามารถมีความสุขกับมันได้ และผมเน้นทำอะไรที่มันติดดินมากๆ มีความเป็นไปได้สูง เพราะว่าวันนี้อำนาจในการบริหารของผู้ว่าฯ เราไม่ได้รับการโอนอำนาจเต็มขนาดนั้น เรื่องรถสาธารณะก็ยังขึ้นอยู่กับ ขสมก. พูดไปก็อาจจะไปเป็นการพันธสัญญาโดยไม่ได้มองหลักความจริงอยู่ แต่สิ่งแวดล้อมที่จำกัดอยู่แบบนี้ ที่สำคัญที่สุดคือคิดนอกกรอบ หาวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตในแง่บวก และชวนสังคมมาร่วมกันเปลี่ยนแปลง และนั่นคือการคิดนอกกรอบที่จะทำให้เรามีความสุขอย่างถาวร
นายโฆสิต : จริงๆ แล้วจากงานวิจัยต่างๆ คนกรุงเทพฯ เบื่อการเมือง เบื่อนักการเมือง เบื่อความขัดแย้ง วันนี้อยากได้นักบริหารเมือง ต้องการคนที่ประสานงานได้กับทุกฝ่าย และไม่ใช่บริหารแบบกางตำรา เปิดกฎหมาย แต่ต้องประสานร่วมมือ มีความคิดนอกกรอบ คิดสร้างสรรค์ ต้องสื่อสารมวลชนได้ เพราะนโยบายสาธารณะต่างๆ ถ้าประชาชนไม่รู้ ไม่เข้าใจและเห็นประโยชน์ร่วม ออกกฎหมายไปก็ใช้ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเน้นย้ำว่าต้องไม่สังกัดพรรค ไม่อย่างนั้นก็กลับสู่วังวนเดิม ไม่เปลี่ยนความคิดแบบเดิมๆ ก็ได้แบบเดิมๆ ขัดแย้งเหมือนเดิม แล้วมีแต่จะขัดแย้งมากขึ้น อีก 2 ปีกว่าเราจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ถึงเวลาแล้วที่ผู้ว่าฯ ต้องไม่สังกัดพรรค โดยรวมคุณสมบัติผู้ว่าฯ ที่ กทม.ต้องการมันตรงกับตน
คำถาม : คิดว่าผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ จะเป็นสัญญาณที่ส่งถึงทิศทางของการเมืองระดับชาติในอนาคตต่อไปหรือไม่ อย่างไร
นายสุหฤท : คำถามนี้มันกำลังแทงใจดำอะไรบางอย่างอยู่ เราควรที่จะต้องเริ่มส่งสัญญาณอย่างมากถึงมากที่สุด เราต้องบอกว่าไม่ใช่ว่าใครก็สามารถมาพูดอะไรก็ได้ให้คนกรุงเทพฯ ฟัง เห็นคนกรุงเทพฯ เป็นอะไรนั่งฟังตาปริบๆ ถึงเวลาเดี๋ยวก็เดินมาเลือก ต้องเลือกอยู่แล้ว ผมคิดว่าสำคัญมากๆ ที่เราต้องเริ่มส่งข้อความผ่านใครก็ได้ที่เป็นผู้สมัครอิสระ ผมโดนสารพัดเรื่องกลัวเสียงแตก ลองดูวันที่ 3 มี.ค. ถ้า 3 อันดับแรกเป็นผู้สมัครอิสระหมด แล้วพรรคการเมืองได้รองลงมา ลองดูพรรคการเมืองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมโหฬารขนาดไหน ไม่ได้หมายความว่าเราได้กรุงเสียกรุง หรือว่าเราจะทำให้ประเทศมันหยุด เพราะนั่นคือการบริหารระดับชาติ ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม แต่ขอกรุงเทพฯ ไว้ ผมฝากให้ทุกๆ คนคิดภาพนี้ คืออันดับ 1-3 อิสระหมด แล้วท่านจะเห็นนักการเมือง พรรคการเมืองที่ดูแลประเทศอยู่เปลี่ยนไปอย่างมาก
แต่มันมีอีกภาพ คือ ถ้าอันดับ 1-2 เป็นพรรคการเมือง และผู้สมัครอิสระคะแนนต่ำแบบขาดลอย ลองคิดภาพนี้ดู ท่านคิดว่านักการเมืองจะได้ข้อความอะไรจากคนกรุงเทพฯ ผู้สมัครอิสระทุกคนมาก็หวังจะชนะด้วยความเชื่อของตัวเอง แต่ถ้านักการเมืองจับจุดพวกเราได้ในอาทิตย์สุดท้าย ไม่มีใครเขาฟังแล้วว่านโยบายคืออะไร ผู้ว่าฯ คือใคร สบายจังเลยทำการเมืองในกรุงเทพฯ ฉะนั้นต้องคิดให้มาก ขอฝากไว้ แล้วกรุงเทพฯ จะเป็นต้นแบบในการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย แล้วจะเป็นการส่งข้อความผ่านผู้ว่าฯ กทม.ไปถึงนักการเมืองว่าพอเถอะ
นายโฆสิต : การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญ เพราะเป็นการชี้ชะตาประเทศไทย เพราะกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย ว่าประเทศจะไปสู่ความถูกต้องหรือไม่ในการแยกระดับท้องถิ่นกับระดับชาติ ว่าจะเป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่เราใช้กันอยู่หรือเปล่า วันที่ 3 มี.ค.นี้ ถ้าเราไม่ก้าวข้ามเลือกแบบเดิม เราก็เข้าสู่วังวนแบบเดิม ถ้าเลือกแบบเดิมไม่ต้องเลือกตั้งแล้ว เปลืองตังค์ แต่วันนี้ผมเชื่อว่ามีนัยสำคัญ เพราะครั้งนี้มีผู้สมัครอิสระที่น่าสนใจมากที่สุด ทุกคนเสียสละออกมาเพื่อแก้ปัญหาให้ กทม. แต่ถ้าทุกคนบ่นเบื่อๆ แต่ไม่ออกมาเลือก อะไรจะเกิดขึ้น ก็ได้แบบเดิม ถ้าออกมาเลือกตั้งกันเยอะๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน อย่ายึดติดกับความคิดเดิมๆ ว่าอย่างไรก็ไม่ชนะพรรค อยู่กับความจริงดีกว่า ผมเป็นนักการตลาด ความจริงมีอยู่ว่า คะแนนที่เลือก 2 พรรคมีรวมกันไม่เกิน 1.6 ล้าน คะแนนที่ไม่ออกมาเลือกตั้ง 2 ล้าน แล้วคะแนนที่ออกมาเลือกทุกครั้งแต่ไม่เอา 2 พรรค 5 แสนกว่า รวมกันแล้ว 2.5 ล้าน ที่ไม่เอาพรรคแน่นอน มี 1.5 ล้าน ที่เป็นพรรค แล้วใน 1.5 ล้านนี้ มีคะแนนจัดตั้งไม่เกินล้าน เหลืออีก 5 แสนเป็นสวิงโหวต ฉะนั้นมันมากกว่าอยู่แล้ว ถ้าประชาชนได้รู้ข้อมูลนี้แล้วออกมาคราวนี้ เปลี่ยนแปลงได้แน่นอน จะสามารถได้คนที่คุณอยากได้ สามารถทำให้กรุงเทพฯ เป็นอิสระได้ หลุดจากการครอบงำทางการเมือง
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ : พรรคการเมืองพยายามเข้ามายึดกรุงเทพฯ เราผู้สมัครอิสระลงหาเสียงทุกวัน แต่ไม่เคยได้ขึ้นหน้าหนึ่งกับเขาเลย มีแต่สองพรรคใหญ่ที่ได้ขึ้น คิดว่าพวกเราเป็นตัวตลกมาสมัครเล่นหรือ ทั้งที่มาลงอย่างจริงจังเพื่อทำงานให้พี่น้องประชาชน แล้วยังมีมือที่มองไม่เห็นสกัดพวกเราเพื่อให้พรรคตัวเองได้ ถ้าพี่น้องยังแยกไม่ออก ผลงานพรรคการเมืองที่ผ่านมาก็เห็นอยู่ แล้วพอใจหรือไม่ พวกเรามีความรู้ความพร้อมที่จะมาทำงาน ฉะนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าพี่น้องเข้าใจว่าต้องปลอดการเมือง แล้วออกมาให้มากๆ นักการเมืองจะต้องกลับไป แล้วพวกเราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ ซึ่งถ้าตนได้รับการเลือกตั้งจะเอานโยบายที่ดีๆ ของแต่ละท่านมาใช้ แต่ว่าถ้ายังเลือกพรรค กรุงเทพฯ ก็จะเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
คำถาม : ถ้าได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ ปัญหาของกรุงเทพฯ เรื่องไหนที่จะลงมือแก้ไขเป็นเรื่องแรกๆ และด้วยวิธีใด
นายโฆสิต : วันนี้ต้องทำทุกอย่างตามนโยบายที่ประกาศไว้ตามกรอบกรุงเทพ 24 ชั่วโมง เพราะเราเสียโอกาสมาหลายสิบปีแล้ว ถ้าจะเร่งด่วนเรื่องแรกเลยก็คือต้องทำกรุงเทพฯ 24 ชั่วโมง กทม.ต้องเปิดบริการ 24 ชั่วโมงเกิดการจ้างงานขึ้น 3 กะ เตรียมเจ้าหน้าที่ เครืองมือ พร้อมบริการ 24 ชั่วโมง แล้วจะช่วยลดภาระในการมาติดต่อราชการ ไม่ต้องเจอรถติด ไม่ต้องลางานมา ต่อมาคือเรื่องปากท้องต้องเร่งมาก ต้องทำให้คนมีเงินได้เร็วที่สุด เรื่องรถติดต้องรีบบรรเทาอย่างรวดเร็วโดยร่วมมือกับรัฐบาลในส่วนที่เกินอำนาจผู้ว่าฯ ส่วนที่ทำได้ทันทีก็คือหลงน้อยลงรถติดน้อยลง จะต้องติดป้ายจราจรทั่วกรุงเทพฯ ให้รถไม่หลง พอไม่หลงรถก็ติดน้อยลง และขยายเวลารถไฟฟ้าเป็น 24 ชั่วโมง เรือขยายจาก 2 ทุ่ม เป็น 4 ทุ่ม และช่วยจัดระเบียบการเคลื่อนของรถให้เร็วที่สุด คงต้องเอาอาสาสมัครมาช่วยกันในช่วงเวลาเร่งรีบ หรือแม้กระทั่งผู้สูงวัยที่แข็งแรงดี มีจิตอาสาก็เอามาช่วยจัดระเบียบจราจร ในต่างประเทศทำแล้วได้ผลด้วยเพราะคนค่อนข้างเกรงใจผู้สูงวัย ด้านความปลอดภัยก็สำคัญที่ต้องรีบทำ หากเป็นภัยจากมนุษย์ก็คือมืดและเปลี่ยว แต่พอเป็น กทม.24 ชั่วโมง คึกคักตลอด ที่เปลี่ยวที่อันตรายก็จะลดลง แล้วจะมี รปภ.เอกชนดูแลทุกเขตสุ่มเสี่ยง
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ : จะทำแบบหน้ากระดาน ทำทุกเรื่องทันที แต่เรื่องไหนง่ายเรื่องไหนยากก็จะเสร็จช้าเร็วต่างกันไป ที่จะทำเร่งด่วนคือความปลอดภัย จราจร เศรษฐกิจ จะมีศูนย์ระวังภัย BKK 011 ติดตั้ง IPTV เพื่อเตือนภัย แล้วจะเอาเทศกิจมาช่วยตำรวจดูแลด้านความปลอดภัย อีกอย่างคือจะเอาคนในชุมชนมาตั้งกรรมการชุมชน มีเครื่องแบบ ให้เบี้ยเลี้ยง ร่วมมือกับตำรวจคอยดูแลความปลอดภัยในชุมชน แล้วจะมีรถเมล์แอร์ฟรีให้ ทำทุกสาย และมีอย่างเพียงพอด้วย อีกสายนึงก็จะเชื่อมต่อจากสถานีรถไฟฟ้ารับส่งถึงเป้าหมาย รวมไปถึงการสร้างที่จอดรถใต้ดิน จะได้จอดรถไว้ เป็นการแก้ปัญหาจราจร เรื่องปากท้องก็สำคัญ โดยจะสร้างตลาดลอยฟ้า ข้ามถนน คลอง ทางรถไฟ ให้พี่น้องค้าขายได้
นายสุหฤท : กทม.มีงบประมาณอยู่ 6 หมื่นล้าน สำหรับคน 5 ล้านกว่าคน แต่เรามีคนอยู่จริง 10-12 ล้านคน 6 หมื่นล้าน ใช้จ่ายประจำไปแล้วในโครงการต่างๆ 4.8 หมื่นล้าน 7 พันกว่าล้าน เป็นเรื่องของโครงการที่อนุมัติไว้สมัย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เหลือ 3 พันกว่าล้าน สิ่งที่ตนต้องการทำอย่างแรกๆ คือ 1. เปลี่ยนแปลงความรู้สึกของคน กทม.อย่างทันที สิ่งแรกเลยที่จะทำและเชื่อว่าความรู้สึกของคนจะเปลี่ยนไปเลย คือ ขอทางเดินบนทางเท้า 1 เมตร ที่ไหนผ่อนผันหรือไม่ผ่อนผัน ไม่ได้ไล่ให้ออกจากทางเท้าทั้งหมด แล้วเริ่มจัดระเบียบ ต้องมีแนวชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งชุมชน 2. จะมีการเริ่มเชิญชวนหน่วยกู้ภัย เอาเงินสนับสนุนให้เขาฝึกอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดเหตุร้าย เพื่อดูแลชุมชน ประชาชนจะได้รู้สึกว่ามีคนดูแล 3. จะรณรงค์ให้จักรยานเป็นพาหนะทางเลือก พอทำได้ก็จะสามารถจัดกิจกรรมต่างๆได้มากมาย มวลชนออกมาทำกิจกรรมร่วมกัน
เรื่องหนักๆ ทำแน่ อย่างเรื่องจราจร ซึ่งต้องวางแผนงาน และอีกอันคือการออกแบบงบประมาณสำหรับปีที่ 2 อันนี้สำคัญที่จะเปลี่ยนโครงสร้างต่างๆ ตามนโยบาย 12 ข้อที่มีอยู่ วันนี้สิ่งที่เราทำได้คือเลือกทำพร้อมๆ กันกับเปลี่ยนความรู้สึกประชาชน ความปลอดภัยเป็นเรื่องใหญ่ แต่จะบอกตรงๆ ว่าผมขึ้นไปแล้วตังค์เหลือเท่าไหร่ ผมเสกตังค์ไม่ได้แต่หาตังค์ได้ ก็คือขยะแลกสวนสาธารณะ
คำถาม : มีหลักปฏิบัติหรือหลักการบริหารงานอย่างไรที่จะทำให้การบริหารงาน กทม.มีความโปร่งใส ปราศจากคอร์รัปชันมากที่สุด
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ : ผมยึดปรัชญาว่าจะพัฒนาต้องเตรียมประชาชน จะพัฒนาคนต้องพัฒนาที่จิตใจ จะพัฒนาใครเขาต้องพัฒนาที่ตัวเราก่อน การที่มาเป็นผู้ว่าฯต้องมาปกครองข้าราชการกรุงเทพฯ ต้องพัฒนาตัวเองให้มีความพร้อมในการเข้ามาเป็นผู้นำ ในชีวิตรับราชการของผมไม่เคยมองข้างบนเลย เพราะถือว่าคนเหนือกว่ามีความพร้อมมากกว่า แต่เน้นดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นหลัก นอกจากนี้ก็มีอุดมการณ์ในการทำงาน คือ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ เสียสละ พึ่งตนเอง ร่วมมือร่วมใจกัน จากอุดมกาณ์ต่างๆ เหล่านี้ สามารถใช้งบให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ นอกจากเราไม่โกงกินงบประมาณ เรายังเสียสละให้อีกด้วย ต่อมาคือยกย่องคนดีให้ได้มีอำนาจ และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ พิจารณาผู้ใต้บังคับบัญชาตามผลงาน อย่าแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งสถาบัน
นายสุหฤท : ขอเริ่มที่เรื่องประสิทธิภาพ ความจริงแล้วการตั้งสำนักตรวจสอบเพื่อวัดผลงานของแต่ละหน่วยงานมีความสำคัญมากในการที่เราจะต้องดูประสิทธิภาพของแต่ละหน่วยงาน วันนี้คน กทม.อาจยังไม่ไว้ใจข้าราชการ กทม.อยู่ อย่างการไปใช้บริการที่สำนักงานเขตยังมีหลายอย่างที่ควรปรับปรุง จะดีมากถ้าประชาชนเข้าใช้บริการที่สำนักเขตแล้วเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน เราจะขอความร่วมมือ ผอ.เขต และโน้มน้าวกันว่าให้นำการบริหารแบบเอกชนเข้ามาใช้ แต่ละเขตจะมีเป้าหมายชัดเจน ที่ดีกว่านั้นการใช้เทคโนโลยีวัดประสิทธิภาพ สามารถส่งข้อมูลตรงถึงผู้ว่าฯ ได้ผ่านทางมือถือ ในการวัดประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการกรุงเทพฯ และวัดประสิทธิภาพของการทำงานของกรุงเทพฯ เอง
เรื่องธรรมาภิบาล ตนปกครองลูกน้องอยู่ ทุกคนมีชีวิตของเขา ถ้าเขาอยากเจริญเติบโต ต้องแสดงฝีมือ แล้วถ้าได้ลูกน้องเก่งดูแลสุดใจขาดดิ้น แล้วข้าราชการ กทม.ที่มีประสิทธิภาพก็มีเยอะ ส่วนเรื่องคอร์รัปชั่นต้องดูแต่ละคนมีต้นทุนมาเป็นผู้ว่าฯ เท่าไหร่ ผมพยายามใช้เงินให้น้อยที่สุด เพราะไม่ได้มาลงทุน แล้วมีคนอย่างผมอยู่จริง วันนี้เกิดองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน มันเป็นนิมิตหมายใหม่ที่ดีที่เข้ามาตรวจสอบได้ ผมจะเป็นคนชวนเขาเข้ามาตรวจสอบไม่ว่าโครงการเล็กหรือใหญ่ ถ้าทำสำเร็จเราจะมีงบประมาณที่เพิ่มขึ้น นั่นคือตัวชี้วัด
นายโฆสิต : วันนี้ กทม.ต้องบริหารแบบเอกชน การบริหารที่มีประสิทธิภาพต้องมีการประเมินผล และประสิทธิภาพที่ดีอยู่ที่ตัวคน มุ่งพัฒนาคน ส่งเสริมให้มีฝีมือ มีโอกาส พอคนมีประสิทธิภาพ อย่างอื่นก็เคลื่อนอย่างรวดเร็ว แล้วต้องกระจายคนออกไปดูแล ตนจะมีที่ปรึกษาประจำทุกเขต โดยคัดมาจากคนที่เป็นคนดีมีความสามารถ เป็นที่ยอมรับ มาร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายให้มีประสิทธิภาพ และต้องมีการประเมินกันทุกเดือนเพื่อให้เกิดความท้าทาย มีเป้าหมาย และให้รางวัลด้วยการให้โบนัส ทุกคนก็จะเร่งพัฒนาตัวเองขึ้นมา
ส่วนธรรมาภิบาลนี่ผู้นำเป็นตัวอย่างผู้ตามก็จะดีตาม และต้องดูแลสวัสดิการอย่างดี ถ้าดูแลดีคนก็ไม่จำเป็นต้องคอร์รัปชัน ทำให้คนดีมีฝีมือ มีโอกาส และได้รับการเติบโต
คำถาม : นโยบายที่ประกาศไว้จะมีอุปสรรคหรือข้อจำกัดทางกฎหมายหรืองบประมาณหรือไม่ ถ้ามีจะมีวิธีกำจัดอุปสรรคนั้นอย่างไร
นายสุหฤท : นโยบาย 12 ข้อของผม ผู้ว่าฯ มีอำนาจเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ มีข้อเดียวคือการสร้างเครือข่ายรถยนต์สาธารณะ เราจำเป็นต้องมีเรื่องนี้แล้ว แต่ต้องวางแผนชัดเจน เพื่อดูกรอบอำนาจในแต่ละส่วนเป็นอย่างไร ถ้าไม่เริ่มจริงจังมันจะหนักขึ้นมากๆ เพราะเราไม่มีการวางโครงสร้างไว้เลย ยกตัวอย่างถนนสาทร 30 ปีก่อนติดยังไง วันนี้ขยายถนนแล้วก็ยังติดอยู่เหมือนเดิม เพราะเราไม่มีทางเลือกในรถสาธารณะ
ทุกอย่างวิ่งใน กทม.หมดแต่ผู้ว่าฯ ไม่มีอำนาจเลย แน่นอนเราลงทุนส่วนตัวได้ แต่ ขสมก.ก็ต้องยินยอม มีหลายอย่างที่ประชาชนเข้าใจว่าพ่อเมืองทำได้ แล้วปัญหาหนักๆ ที่ กทม.เจออยู่พ่อเมืองมีอำนาจน้อยมาก เช่น การบริหารจัดการน้ำอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เครือข่ายสาธารณะทั้งหลายแหล่ และรถแท็กซี่ไม่รับคน ยกตัวอย่างอีกอย่างที่มักกะสันที่ต้องเปลี่ยนไปเป็นคอมเพล็กซ์ หลายคนอยากให้อนุรักษ์ไว้ เมื่อเกิดแบบนี้ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน และพาประชาชนกลุ่มต่างๆ ร่วมกับฝ่ายรับผิดชอบมาคุยกัน เราต้องมีการประสานกัน แล้วทำอย่างเปิดเผยให้เห็นว่าแต่ละฝ่ายคิดอย่างไร และติดตามให้เกิดผลตามนั้น เช่น ถ้าจะปรับรถสาธารณะต้องไปขอความร่วมมือ ขสมก. แต่ก็ไม่ต้องห่วงกทม.ทำอิสระทำได้อยู่บ้าง แต่ถ้าทำแล้วเกิดผลต่อคนหมู่มากใน กทม.หนีไม่พ้นจะต้องประสานงานกับกระทรวงต่างๆ ของรัฐบาล แล้วหวังว่ารัฐบาลจะไร้รอยต่อกับทุกคน ฉะนั้นนโยบายทั้งหมดของผมทำได้ และอยู่ในอำนาจเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ติดแค่เรื่องรถสาธารณะ ถ้าร่างออกมาได้ 1 ปี แล้วเชื่อมกับโครงการใหญ่ของรัฐบาล สามารถทำให้ชีวิตคน กทม.ดีขึ้นทันที
นายโฆสิต : นโยบายของผมไม่มีอะไรทำไม่ได้เลย มันมี พ.ร.บ.ถ่ายโอนอำนาจอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาถ่ายโอนไม่ได้เพราะปัญหาการเมือง ตนพร้อมรับโอนรถเมล์มาดูแล ส่วนเรื่องผังเมือง กรุงเทพฯ 24 ชั่วโมง 50 เขต 50 ยุทธศาสตร์ ก็ทำได้จริง และทำได้เอง แต่ละเขตจะมีความพร้อมเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การประสานงานก็เป็นเอกลักษณ์พิเศษของตนอยู่แล้ว เป็นผู้ประสานสิบทิศ เป็นที่ปรึกษามาแล้วทุกรัฐบาล เรื่องงบประมาณตนไม่เห็นเป็นปัญหา เพราะถ้าไม่โกงเหลือเยอะ อันที่สองผมมีวิธีได้งบเพิ่มขึ้น คือ รณรงค์ให้คนที่อยู่ใน กทม.ย้ายทะเบียนบ้านเข้ามาในกรุงเทพฯ ก็จะได้งบประมาณต่อหัวเพิ่มขึ้น
อีกอย่างสามารถหารายได้เพิ่มง่ายๆ นักท่องเที่ยวมี 20 ล้านคน แค่ขายของที่ระลึกก็รวยแล้ว และหลายๆ อย่างที่เอกชนอยากเข้ามาช่วยทำ เป็นการทำ CSR ถ้าเข้าไปประสานเขาพร้อมให้ความร่วมมือ ตนไม่เห็นปัญหาในเรื่องกฎหมายและอำนาจ ทุกนโยบายทำได้แน่ และเร็วด้วย เพราะบริหารแบบเอกชน
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ : ผมเป็นตำรวจมาก่อน คิดว่าการปกครองต้องอยู่ที่กฎหมายมากกว่าบุคคล กทม.ที่เลอะเทอะทุกวันนี้เพราะหย่อนยานการบังคับใช้กฎหมาย แต่ถ้าเป็นผู้ว่าฯ จะบังคับใช้กฎหมายลงไปตูมตามคงไม่ได้ ต้องบริหารจัดการแต่ละประเด็น เมื่อมีอุดมการณ์ที่จะประหยัดงบก็มีเงินใช้มากขึ้น แล้วตนมีปัญญาหาเงินให้คน กทม.ได้เงินเยอะแยะ อีกส่วนการประสานกับรัฐบาล เราอิสระไม่สังกัดพรรค คิดว่ารัฐบาลไม่กล้าขัดขวาง เพราะประชาชนเฝ้าดูอยู่
คำถาม : บอกถึงเหตุผลที่คนต้องเลือกให้เป็นผู้ว่าฯ
นายโฆสิต : วันนี้ต้องเลือกผู้สมัครอิสระเพราะประชาชนผ่านประสบการณ์มาเยอะแล้ว และขอให้ออกมาเยอะๆ ถ้าออกมาไม่เยอะจะพลาดพลั้งได้ คราวนี้ต้องก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมืองเพื่อแก้ปัญหาที่เสียโอกาสมาหลายสิบปี จากประสบการณ์ทั้งชีวิตผมตั้งใจเข้ามารับใช้สังคมเป็นครั้งแรก ตั้งใจทำงานก่อนเกษียณอายุ ผมรู้ปัญหา รู้วิธีแก้ ถ้าให้โอกาสไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ : ที่เข้ามาเพราะต้องการเสียสละทำงานให้พี่น้อง กทม.อย่างแท้จริง เพราะเห็นว่าผู้สมัครพรรคไม่มีทางทำงานให้ได้อย่างแท้จริง เพราะต้องทำตามคำสั่งพรรค พรรคไม่มีทางแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้เลย แต่ผู้สมัครอิสระไม่ต้องฟังพรรค ไม่ต้องสนใจการเลือกตั้ง ส.ก.-ส.ข. ผมมีความตั้งใจอย่างแท้จริง แล้วจะเป็นแค่สมัยเดียว อีก 4 ปีข้างหน้าผมจะอายุ 68 แม้ยังแข็งแรงอยู่มาก แต่ต้องการให้รุ่นหลังเข้ามาสานต่อ ผมมารับใช้ชาติ ไม่รับใช้พรรค ถ้าได้โอกาส นโยบายของใครที่ดีจะนำมาใช้ ถ้าเลือกผมสามารถยุติศึกพรรคชิงเมืองได้แน่นอน
นายสุหฤท : ขอโอกาสนี้ประกาศตามหาคน 2 ล้านคนที่หายไป รู้ไหม 2 ล้านคนกำลังเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของกรุงเทพมหานครได้ เพราะเป็นครึ่งหนึ่งที่น่าสนใจมาก จากข้อมูลคือเป็นคนรุ่นใหม่ และเบื่อการเมือง หมดความเชื่อว่าเลือกตั้งแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ ครั้งนี้ถึงเวลาจริงๆ ที่ท่านต้องออกมาเลือกตั้งผู้ว่าฯ ของท่าน ยิ่งออกมาเยอะเท่าไหร่กรุงเทพฯ ก็จะมีประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการบริหารราชการท้องถิ่น ขอยืนอีกครั้งว่าความขัดแย้งระดับชาติ พี่น้องอย่าให้ลงมาเป็นความขัดแย้งระดับท้องถิ่นแบบเราเลย เขาอุตส่าห์ให้อำนาจมาบริหารอิสระแล้ว แต่กลับไปเลือกแบบเดิม เราต้องเชื่อแบบใหม่ เลือกแบบใหม่ ได้กรุงเทพฯ ความรู้สึกใหม่ วันนี้ กทม.อาจต้องการคนมีความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบ อยู่กับเทคโนโลยีได้ บ้างครั้งอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมจะได้ผลลัพธ์ที่ดีมากๆ ด้วย ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนความเชื่อทางการเมือง