“สุหฤท” ชี้ กทม.ต้องเป็นอิสระ ไม่ควรดึงสู่ความขัดแย้งระดับชาติ วอนประชาชนที่เอือมการเมือง และพวกที่พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ กาเบอร์ 17 มั่นใจถ้าร่วมกันลุกขึ้นมานับหนึ่งจะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ พ้อหากยังยึดติดกับพรรคการเมืองเพียงเพราะกลัวอีกฝ่ายชนะ ต่อไปคงไม่มีผู้สมัครอิสระอาสามาอีก พร้อมระบุถ้าไม่ชนะอาจไม่กลับมาลงใหม่
วันที่ 18 ก.พ. เมื่อเวลา 20.30 น. นายสุหฤท สยามวาลา ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ในนามอิสระ เบอร์ 17 กล่าวในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ถึงข้อดีของผู้ว่าฯ กทม.อิสระว่า เราไม่อยู่ในความขัดแย้ง ไม่จำเป็นต้องไปทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ใครจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไรก็เป็นไปแบบนั้น ยืนยันว่ากรุงเทพฯ ต้องเป็นอิสระ ไม่ควรเอาความขัดแย้งระดับชาติลงมาในระดับท้องถิ่น ซึ่งตนก็โดนโจมตีเยอะ
“ความขัดแย้งเป็นเรื่องสวยงาม ทุกที่มีความขัดแย้ง แล้วไม่ต้องกล่อมให้ใครมาเชื่อแบบเราด้วย แต่ไม่ต้องทะเลาะกัน ประเทศประชาธิปไตยอย่างเช่นอเมริกาขัดแย้งรุนแรงมากในช่วงเลือกตั้ง แต่พอผลเลือกตั้งออกมาก็เงียบ แล้วเดินตามผู้นำประเทศ ตนอยากให้เกิดแบบนั้นบ้าง แล้วไม่ต้องพยายามเปลี่ยนอุดมการณ์ความคิดของใคร เพราะมันสวยงามอยู่แล้ว”
นายสุหฤทกล่าวถึงนโยบายหลักๆ ว่า อันดับแรกคืนความปลอดภัยให้ทุกชีวิตบนทางเท้า อย่างหาบเร่แผงลอย ไม่ใช่จะกำจัดให้หมดสิ้น แต่จะมีจุดผ่อนผัน และไม่ผ่อนผัน และรวมไปถึงปัญหาป้ายข้างทาง ความขรุขระของทางเท้า
อันดับต่อมา แก้ปัญหาจราจรจากศูนย์ ถนนในกรุงเทพฯ สามารถรองรับรถได้ 1.5-1.6 ล้านคัน แต่เรามีรถ 6-7 ล้านคัน แล้วจะออกมาอีกเป็นแสนคัน เราแย่งกันไปจนกระทั่งลืมหยุดให้คนอื่นไป พอทุกคนแย่งกันไปมันเลยหยุดอยู่กับที่ หลายเมืองแก้ปัญหาคอขวดง่ายมาก คือ รณรงค์ให้สลับกันไปทีละคัน เป็นเรื่องเล็กๆ ที่หลายๆ คนช่วยกันบนท้องถนน การจราจรมันจะสามารถไปได้ และเป็นการแก้ไขแบบถาวร อีกอย่างพวกรถสองแถว รถตู้ จอดกินถึงสองเลน ทำแบบนี้ไม่ได้ ต้องคืนพื้นที่ผิวให้เราจราจรได้อย่างเต็มที่ การแก้ปัญหาจราจรระยะยาวต้องมี ตนขอเวลา 1 ปี แล้วจะแจงให้ทราบว่าเครือข่ายจราจรใหม่ของ กทม.จะต้องเป็นอย่างไร การทำใยแมงมุมจะเป็นอย่างไร และต้องประสานงานผู้มีอำนาจเกี่ยวข้อง และขออำนาจเพิ่มเติม
ต่อมาคือนโยบายเปลี่ยนขยะเป็นสวนสาธารณะ เราผลิตขยะวันละหนึ่งหมื่นตัน ขยะที่นำมาหมุนเวียนได้สามารถขายได้กิโลกรัมละ 8 บาท ปีนึงจะได้รายได้ถึงพันล้านบาท แล้วตรงนี้จะเอาขึ้นมาใช้จ่ายสร้างสวนสาธารณะสวยๆ เลยไม่ใช่สักแต่ว่ามี แล้วจะมีเว็บไซต์บอกชัดเจนว่าวันนี้ขายขยะได้เท่าไหร่
และที่น่าสนใจมาก คือ นโยบายดูแลโรงเรียนด้วยหัวใจ ไม่ใช่งบประมาณ ครูสวัสดิการเป็นอย่างไร ครูเก่งพอหรือยัง ต้องทำงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนหรือเปล่า อะไรที่ไม่พัฒนาสมองนักเรียนต้องเลิก อย่างเช่นการท่องจำ และไม่เน้นข้อสอบ ซึ่งจะค่อยๆ ปรับหลักสูตร ที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นคือมีโรงเรียนทางเลือก สอนเฉพาะทาง เช่น เน้นสอนวิทยาศาสตร์ สำหรับคนที่ต้องการเป็นนักวิทยาศาสตร์ และใช้หลักสูตรนานาชาติ ซึ่งตนจะทำจนกระทั่งตัวเองยังอยากพาลูกมาเรียน ไม่ใช่ขนาดลูกตัวเองยังไม่อยากส่งมาเรียนเลย อันนี้จะเป็นต้นแบบ แล้วจะมีโรงเรียนอื่นๆ ตามมา นอกจากนี้ เราสามารถมีสาขาของมหาวิทยาลัยดังๆ ระดับโลกเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ได้ ของพวกนี้ไม่ต้องใช้งบประมาณมาก เพียงแต่ต้องยึดมั่นที่จะต้องทำ
เมื่อถามว่าต้องการปฏิวัติการศึกษาใช่หรือไม่ นายสุหฤทกล่าวว่า ตนไม่อยากใช้คำว่าปฏิวัติ แต่มันถึงเวลาแล้ว เด็กเป็นอนาคตของเราแต่เรากลับลืมเขา ครูเป็นคนสร้างอนาคตแต่เรากลับไม่ช่วยเหลือ ถ้ามันยากนักก็ต้องหัดทำอะไรยากๆ ต้องนับหนึ่ง
กรุงเทพฯ ต้องท้าทาย แต่ติดดิน ไม่ต้องเพ้อฝันเยอะ นโยบาย 12 ข้อของตนอยู่ในอำนาจผู้ว่าฯ กทม.ที่สามารถทำได้ทั้งหมด ไม่มีประชานิยม ไม่มีของฟรี และต้องประสานงานกับรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไร้ร้อยต่อได้กับนายพงศพัศ ก็ต้องไร้รอยต่อกับผู้ว่าฯ ทุกคนไม่ใช่หรือ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ถ้าคน กทม.หนุนตน เพราะตนจะเป็นกระบอกเสียงให้เขาในระดับชาติ
นายสหฤทกล่าวต่อว่า ตนเอาเสน่ห์ของหลายๆ เมืองมาผสมกันให้ออกมาเป็น กทม. วันนี้เราอย่าภูมิใจว่า กทม.เป็นเมืองน่าเที่ยวที่สุด ต้องถามว่าทำไมน่าเที่ยว เพราะอยากกินที่ไหน ทิ้งที่ไหนก็ได้ แต่อันดับความน่าอยู่ของไทย จาก 140 เมืองทั่วโลก เราอยู่อันดับ 101 นี่คือสิ่งที่เราต้องปรับ แล้วกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่พร้อมมาก แต่ต้องไม่ทำลายอัตลักษณ์ อย่างอาหารริมถนนยังต้องมี แต่ต้องจัดให้เรียบร้อย มีขอบเขต
ส่วนนโยบาย 50 เขต 50 เสน่ห์ จะเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตชุมชน 50 เขตพร้อมกัน ตนจะไม่ใช่คนตัดสินว่าจุดแข็งของเขตนั้นคืออะไร แต่จะเอานักการตลาด นักผังเมือง วิศวะ ลงไปทำการสำรวจแล้วชวนคนท้องถิ่น ร่วมกับ ผอ.เขต มาตัดสินว่าตกลงเขตคุณอยากเป็นอะไร เพื่อจะได้เกิดการเจริญของท้องถิ่น ชุมชนมีรายได้ มีอาชีพใหม่ๆเกิดขึ้น
นายสุหฤทกล่าวอีกว่า ถึงตอนนี้ตนใช้เงินหาเสียงไปแล้วทั้งหมด 7 แสนบาท อย่ามองว่ากระจอกงอกง่อย แต่จะให้ลงทุนเยอะก็ได้ แล้วจะดังกว่านี้อีก แต่ที่ตนมานี่ไม่ติดหนี้บุญคุณใครเลยแม้แต่บาทเดียว นี่คือเงินเก็บลูกของตนทั้งนั้น จึงใช้ระวังที่สุด ใช้แล้วต้องให้คุ้มค่าที่สุด จากเป็นคนโนเนมไม่มีคนรู้จัก ตอนนี้โพลติดอันดับ 3
เมื่อถามถึงกลุ่มเป้าหมายที่จะเลือกเบอร์ 17 มีกลุ่มใดบ้าง นายสุหฤทกล่าวว่า 1. กลุ่มแรกคือ คนรุ่นใหม่ ไม่ใช่หมายถึงคนอายุน้อย อาจจะอายุ 40-60 ปี ที่พร้อมจะเปิดรับ กล้าเลือกในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ 2. คือกลุ่มที่กาไม่เลือกใครมาตลอด เพราะหมดศรัทธาใครแล้วแค่ออกไปรักษาสิทธิ ซึ่งวันนี้น่าจะมากาเบอร์ 17 และ 3. กลุ่มที่ไม่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ปกติมีจะมีประมาณ 2 ล้านคน ซึ่งติดธุระจริงๆ คงแค่ 1 ล้าน แต่อีก 1 ล้านคนที่ไม่ยอมออกมาใช้สิทธิส่วนใหญ่เป็นคนอายุน้อย แต่หมดความหวังในการเมืองไทย เพราะเลือกเท่าไหร่ก็เหมือนเดิม นี่คือกลุ่มของตนทั้งหมด และเชื่อว่าวันที่ 3 จะเกิดเซอร์ไพรส์ขึ้นมา แล้วคราวนี้ไม่เหมือนเดิม มันเข้มข้นมาก คนกรุงเทพควรตัดสินใจ
เมื่อถามว่าการเมืองและผลประโยชน์จะสามารถทำให้เปลี่ยนได้หรือไม่ นายสุหฤทกล่าวตอบว่า ถ้าตนจะเอาตำแหน่งจริงๆ เปลี่ยนตั้งแต่วันนี้แล้ว ปัญหาคอร์รัปชันหรือว่าอย่างอื่นไม่ใช่แค่ดีดนิ้วแล้วจะหาย แต่ตนต้องไม่เอาก่อน แล้วจากนั้นมันจะค่อยๆ เปลี่ยน
“ถ้าบอกว่าไม่มีทาง การเมืองไทยมันจะแก้ได้อย่างไร จริงหรือ เราไม่มีทางแล้วใช่ไหม ไม่มีใครลุกขึ้นมาแล้วปฏิเสธมันแล้วใช่ไหม เราร่วมกันลุกขึ้นมานับหนึ่งไหม ผมจะพูดคำนี้เสมอ ผมโดนว่านโยบายเปลี่ยนพฤติกรรม-ความเชื่อคนได้ยังไง ต้องเปลี่ยนก่อนแล้วมันจะยั่งยืน แล้วผมจะทำงานใกล้ชิดกับองค์กรตรวจสอบคอร์รัปชันเลย โปรดตรวจสอบทุกโครงการ ทำงานด้วยกันเลย แล้วเงินมันจะเหลือขึ้นเยอะ” นายสุหฤทกล่าว
ต่อข้อถามที่ว่าจะสามารถเปลี่ยนวัฒนธรรมการเมืองได้หรือไม่ นายสุหฤทกล่าวว่า ตนคนเดียวทำไม่ได้ประชาชนต้องแบ็กอัพตน คิดดูถ้าตนชนะได้โดยใช้เงินไม่ถึงล้าน พรรคใหญ่จะคิดอย่างไร นั่นแปลว่าต่อไปจะทำอะไรต้องเกรงใจคน กทม.บ้าง แต่ถ้าคน กทม.คิดว่าไม่เป็นไร ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะทำเต็มที่แล้ว ลุกออกมาแล้ว
มีคนบอกว่าถ้าไม่สำเร็จ ให้คราวหน้ามาอีก ตนขอดูคะแนนเสียงก่อน แต่ถ้าถามตอนนี้ตนไม่มาอีก เพราะผ่านมาเยอะ จะให้มาเดินล้านก้าวอีก จะต้องมาใช้เงินอีก ขอความเห็นใจบ้าง ไม่ใช่มาสบาย มาให้โดนต่อว่า ถ้าคะแนนเสียงได้แค่ 5-6 แสน ตนก็จะไม่ขับเคลื่อนการเมืองระดับชาติ แต่อาจจะเคลื่อนไหวด้วยการรณรงค์กิจกรรมต่างๆ ชวนกลุ่มต่างๆ มาร่วมกันทำ แต่จะดีไม่น้อยถ้ามีอำนาจ
ถ้าตนได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.ขอท้าคนกรุงเทพฯ ทุกคนให้เก็บนโยบายตนไว้เลย แล้วมาทวงทุกปี อย่าให้นโยบายหายไป คน กทม.ต้องเขี้ยว เพราะไม่เช่นนั้นคนมาสมัครสบายเลย หาเสียงไว้เดี๋ยวคนกรุงเทพฯ ก็ลืม ตนจะมีแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนให้คน กทม.สามารถวางแผนชีวิตได้ สามารถร้องเรียนผู้ว่าฯ ได้โดยตรง ประเมินผู้ว่าฯได้ แล้วต่อให้ใครก็ตามชนะได้เป็นผู้ว่าฯ คน กทม. และสื่อ ต้องทวงถามนโยบายที่เคยสัญญาไว้
เมื่อถามว่าหากไม่สามารถทำตามนโยบายที่ประกาศไว้ได้จะทำอย่างไร นายสุหฤทกล่าวว่า ตนก็จะยอมรับความจริง แล้วขอโทษ และจะปรับปรุง พยายามต่อไป นักการเมืองขอโทษไม่ได้หรือ ไม่ได้เพอร์เฟกต์อะไรนักหนา คำว่าขอโทษนั้นมีค่า
ส่วนเรื่องทีมรองผู้ว่าฯ นั้น ตนกำลังติดต่ออยู่แต่ยังไม่สามารถบอกชื่อได้ แต่ปัญหาคืออยากได้คนอายุน้อยที่มีหัวคิดนอกกรอบ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ตอบกลับตนว่า ไปเอาตัวให้รอดก่อน แต่ละคนไม่เชื่อเรื่องการเมือง ไม่อยากเกลือกกลั้ว ไม่เชื่อว่าจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ถ้าตนผ่านไปได้ จากนั้นจะเอารองผู้ว่าฯแบบไหน ที่สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงได้มีเต็มเลย
นายสุหฤทกล่าวด้วยว่า อาทิตย์สุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง คน กทม.จะลืมเลือกผู้ว่าฯ ด้วยเหตุผล ด้วยนโยบาย แต่จะเป็นเรื่องอารมณ์ล้วนๆ ขนาดวันนี้ตนยังโดนขนาดนี้เลย อาทิตย์สุดท้ายยิ่งหนักกว่านี้ ซึ่งทุกท่านเป็นคนตัดสิน ตนมิบังอาจชักชวนใดๆ แต่จะสู้ยิบตา ถ้ากลุ่มของตน 2 ล้านคน ไม่ยอมออกมา คนรุ่นใหม่ คนโหวตโน ถ้าไม่ออกมาก็ไม่เป็นไร แต่มีภาพว่าถ้าอย่างนั้นสมัยหน้าก็เรียกร้องให้เหลือ 2 พรรคพอ ผู้สมัครอิสระอย่ามาให้เสียเวลาเลย ให้เลือกกัน 2 พรรค ถ้าต้องการแบบนั้น
ถ้าสนาม กทม.กลายเป็นเรื่องของสองพรรค ซึ่งคนกทม.เป็นคนเลือกเอง เราก็จะอยู่บนความขัดแย้ง ลองคิดถึงวันก่อนประกาศรับเลือกตั้ง ความรู้สึกของทุกท่านเป็นอย่างไร ความรู้สึกนั้นที่ทำให้ตนออกมา แต่พอ 2 อาทิตย์ก่อนเลือกตั้ง ความรู้สึกกลับเปลี่ยน มันเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงอย่างไรตนก็ต้องยึดในสิ่งที่เชื่อต่อไป
เรื่องกลัวเสียงแตก พูดตรงๆ การเปลี่ยนความรู้สึกคนเรื่องนี้มันยากมาก แต่สำหรับคนที่รู้สึกตัวเองเป็นอิสระ ลองเชื่อแบบใหม่ดูไหม ถ้าทุกคนเชื่ออะไรแบบใหม่ ลองเลือกอะไรแบบใหม่ บางทีอาจได้กรุงเทพที่เป็นความรู้สึกแบบใหม่
“จริงๆ แล้วไม่มีเรื่องเสียงแตก เราเลือกผู้ว่าฯ มีอำนาจอิสระ ไม่ทราบว่าคำนี้มาจากไหน แปลว่าคุณกำลังบังคับให้คนไม่อยากเลือกเบอร์นั้นไปเลือกหรือ แล้วไม่มีใครบอกบ้างหรือที่ไปเลือกคนนั้นทำเสียงผมแตก ตกลงใครที่เสียงแตก” นายสุหฤทระบุ
นายสุหฤทยังกล่าวอีกว่า ตนเชื่อในเรื่องการเมืองภาคประชาชนมากที่สุดในโลก นโยบายของตนเน้นที่การเปลี่ยนแปลงทางภาคสังคม ผู้ว่าฯ อยู่ 4 ปีเดี๋ยวก็ไป สังคมอยู่ได้ด้วยนโยบายผู้ว่าฯ ไม่ได้ แต่ต้องเปลี่ยนด้วยแก่นแท้ของสังคม จะให้คนมาถือไม้เรียวคอยคุมให้การจราจรหายหรือ แต่ถ้าภาคสังคมไม่ยอมให้คนมาเอาเปรียบ กดดันด้วยภาคสังคม สังคมจะเปลี่ยนอย่างยั่งยืน
ส่วนที่ถามว่าตนเป็นนอมินีใครหรือเปล่า ถ้าเป็นคงใช้ตังค์เยอะกว่านี้ แล้วจะดังกว่านี้อีก เผลอๆ ชนะคนที่จ้างตนด้วยซ้ำ