ASTVผู้จัดการรายวัน- เครือข่ายเจ้าของพลังงานไทยตบเท้าเข้ายื่นหนังสือถึง “นายกฯ”วันนี้(14ส.ค.) เบรกขึ้นราคาแอลพีจีครัวเรือน 1 ก.ย.นี้เหตุจัดสรรไม่เป็นธรรมให้ยกเลิกมติครม.ปี 2551 ใหม่ พร้อมปรับวิธีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเลิกรีดจากคนใช้น้ำมัน กางตัวเลขดีเซล 30 บ./ลิตรมั่วให้ผู้ค้าทั้งที่ราคาจริงแค่ 22-23 บ./ลิตรเท่านั้น
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า วันนี้(14 ส.ค.) เครือข่ายเจ้าของพลังงานไทยซึ่งประกอบด้วย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สภาปฏิรูปพลังงานแห่งชาติ ฯลฯ จะเข้ายื่นหนังสือต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลเวลาประมาณ 10.00 น.โดยมีข้อเรียกร้องในเรื่องเกี่ยวกับพลังงานทั้งหมด 7 ข้อโดยเฉพาะการขอให้ยุติการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนวันที่ 1 ก.ย.56 นี้ รวมถึงการให้ยกเลิกเก็บเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ใช้น้ำมันแต่ให้บริหารจัดการกับภาคอุตสาหกรรมและปิโตรเคมีแทน และเสนอให้ปฏิรูปพลังงานไทยเป็นวาระแห่งชาติ เป็นต้น
ทั้งนี้ข้อเสนอการให้หยุดขึ้นราคาแอลพีจีครัวเรือน 1 ก.ย.นี้ที่รัฐจะขึ้น 0.50 บ.ต่อกิโลกรัมไปสู่ระดับ 24.82 บาทต่อกก.นั้นเห็นว่าไม่ยุติธรรมเนื่องจากพบว่าการนำเข้าแอลพีจีเกิดจากการใช้ที่เพิ่มขึ้นของภาคปิโตรเคมีและมติครม.เมื่อปี 2551 กำหนดให้การจัดสรรแอลพีจีในประเทศให้กับภาคปิโตรเคมีก่อนให้ภาคครัวเรือนและขนส่ง โดยรัฐควรเปลี่ยนมติใหม่เพื่อจัดสรรให้ภาคครัวเรือนและขนส่งเป็นลำดับแรกส่วนการนำเข้าขอให้เป็นภาระของภาคอุตสาหกรรมและปิโตเคมีเพราะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และเมื่อพิจารณารายละเอียดพบว่ามติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ไม่มีอำนาจที่จะนำเอาแอลพีจีไปจัดสรรเป็นวัตถุดิบให้ภาคปิโตรเคมีแต่อย่างใด
ส่วนกรณีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงพบว่า ปัจจุบันรัฐกำหนดให้เก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันมาดูแลเสถียรภาพราคาน้ำมันและอุดหนุนแอลพีจีนำเข้าก็พบว่า กรณีดีเซลขณะนี้รัฐบาลตรึงราคาขายปลีกไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรซึ่งเมื่อดูราคาดีเซลที่แท้จริงขณะนี้โดยไม่มีภาษีสรรพสามิตควรอยู่ที่ 22-23บาทต่อลิตรเท่านั้นเท่ากับการนำเงินไปอุดหนุนดีเซลผลประโยชน์ไปตกกับผู้ค้าน้ำมันแทน
ขณะเดียวกันกรณีการอุดหนุนแอลพีจีนั้นหากมีการกำหนดนโยบายที่เป็นธรรมก็ไม่มีความจำเป็นเนื่องจากขณะนี้พบว่ารัฐเก็บเงินเข้ากองน้ำมันฯส่วนของแอลพีจีภาคอุตสสาหกรรมสูงกว่า 12 บาทต่อกก. แต่ปิโตรเคมีเก็บแค่ 1 บาทต่อกก.ซึ่งหากรัฐเก็บภาคปิโตรเคมีให้เท่ากับอุตสาหกรรมเงินก็จะมีเข้ากองทุนฯจำนวนมากเพียงพอที่ภาระหนี้กองทุนน้ำมันฯจะไม่เป็นปัญหาและก็ไม่จำเป็นต้องมาเก็บจากผู้ใช้น้ำมัน
“ เราจะเสนอ 7 ข้อ โดยมีหลายเรื่องและอีกส่วนที่สำคัญคืออยากจะให้มีการตั้งคณะทำงานปฏิรูปพลังงานไทยที่จะดูนโยบายภาพรวมทั้งการสัมปทานปิโตรเลียมที่ควรจะยึดระบบแบ่งปันผลผลิตเหมือนกับประเทศเพื่อนบ้าน การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง การห้ามราชการมีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องพลังงาน เป็นต้น”นายอิฐบูรณ์กล่าว