xs
xsm
sm
md
lg

เชื่อพ.ร.บ.เงินกู้ฉลุยโบรกฯคาดฟื้นวอลุ่มเทรด-เชื่อมั่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - โบรกเกอร์เชื่อพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทผ่านสภาฉลุย กระตุ้นความเชื่อมั่นนักลงทุนไทย และต่างประเทศฟื้นคืน หลังวอลุ่มเทรดเบาบางลงไป โดยคาดหุ้นกลุ่มรับเหมากลับมาเคลื่อนไหวมากสุด แต่เตือนอย่าชะล่าใจ ให้จับตา การยื่นพ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระ2 ช่วงปลายเดือนนี้ และสัญญาณการปรับลดหรือยุติQE ของธนาคารกลางสหรัฐฯที่ยังคอยกดดันด้วย หลังมูดี้ส์ประเมินยากระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐหมดน้ำยา จากในประเทศชะลอตัวทดแทนภายนอกที่แย่อยู่ไม่ได้

ตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 9ส.ค. ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยปิดที่ระดับ 1,432.25 จุด ลดลง 14.91จุด หรือ -1.03% มูลค่าการซื้อขาย 31,244.35 ล้านบาท นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า เป็นการขายทำกำไรของนักลงทุนนหลังงจากวันก่อนหน้า (8ส.ค.) ดัชนีปรับตัวขึ้นมามากรับข่าวการเมืองในประเทศที่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรง อย่างไรก็ตามมีนักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนเนื่องจากวันหยุดยาวติดต่อกัน 3 วัน ทำให้มูลค่าการซื้อขายไม่สูงมาก และการที่หุ้นMAKRO ปรับตัวลดลงมามาก ก็มีผลฉุดให้ดัชนีกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลดลงตามมาด้วย

ทั้งนี้ ในสัปดาห์นี้ (14-17 ส.ค.) คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนอยู่ โดยอาจเคลื่อนตัวขึ้นลงทั้งแดนบวกและแดนลบสลับกัน โดยนักลงทุนอาจจะเข้ามาเก็งกำไรจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาในไตรมาสที่ 2 และอาจจะมีการเก็งกำไรในส่วนร่าง พรบ.กู้เงิน 2.2ล้านล้านบาทที่จะถูกพิจารณา โดยคาดว่า พรบ.กู้เงินดังกล่าวไม่มีปัญหาอะไร ทำให้เชื่อว่าหุ้นกลุ่มรับเหมายังคงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ

"ร่างพ.ร.บ.เงินกู้2ล้านล้านบาท ที่ยื่นเข้าสภาน่าจะผ่านออกมมาได้ไม่น่ามีปัญหา ส่วน พ.ร,บ.นิรโทษกรรมที่คาดว่าจะรีบเสนอต่อเนื่องภายใน 7 วันหลังจากผ่านวาระแรกมาแล้วนั้น อาจจะต้องเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากสภาจะพิจารณางบประมาณประจำปี 2557 ทั้งนี้คาดว่าจะเป็นสัปดาห์ที่ 3-4 ของสิงหาคม ที่จะเสนอยื่นพรบ.นิรโทษกรรม เข้าสภาในวาระที่ 2 จุดนี้ ทำให้นักลงทุนต้องจับตาการยื่นเสนอ พรบ. นิรโทษกรรม ในวาระที่ 2 อย่างใกล้ชิด อีกทั้งช่วงนี้จะอยู่ในช่วงการเก็งกำไรจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 และการที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟด จะยกเลิกหรือชะลอมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน หรือ QE ในเดือนกันยายนออกไป
ก่อน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้คาดว่า อาจจะทำให้นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้น"

ทั้งนี้ประเมินแนวแนวรับช่วงนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,410-1,430 จุด ส่วนดัชนีแนวต้านอยู่ที่ 1,455-1,465จุด อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า มูดี้ส์อินเวสเตอร์เซอร์วิส บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ออกบทวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยล่าสุด โดยใช้ชื่อว่า "A Bump in the Road" โดยมีประเด็นที่เกิดขึ้นสำคัญคือ ความต้องการหรืออุปสงค์ภายในชะลอลงไม่สามารถชดเชยเศรษฐกิจโลกชะลดลง ทำให้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่ำกว่าแนวโน้มในปี 2556 แต่ยังอยู่ในกรอบที่ประเมินไว้ในปี 2557 อีกทั้งจากการประเมินเศรษฐกิจจีนชะลออย่างรุนแรงนั้น จะกระทบต่อภาคส่งออกของไทยอย่างมาก จนมีผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอลงอย่างรวดเร็ว

มูดีส์ มองว่า การแก้ปัญหาของรัฐบาลและการฟื้นฟูน้ำท่วมที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2555 ได้หมดไปแล้ว และการบริโภคภาคครัวเรือน การส่งออกและการผลิตชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัว 4.1% ในไตรมาส2 ลดลงจาก 5.3% ในไตรมาสแรก เนื่องจากการลงทุนและการใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ การกู้ยืมเพื่อการบริโภคที่อ่อนลง แม้ค่าจ้างขั้นต่ำจะช่วยหนุนการบริโภค ซึ่งสัญญาณเหล่านี้บ่งบอกว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.3 ในปี 2556 ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริงที่ระดับ 4.5%

ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ระหว่างวันที่ 13-16 มองว่า ดัชนียังคงแกว่งตัว โดยมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น ขณะเดียวกันต้องจับตารายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ เครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้บริโภค และความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Mich. Confidence Index) ซึ่งคาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,430 จุดและ 1,414 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,464 จุดและ 1,519 จุด ส่วนทิศทางค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 31.00-31.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยคงต้องจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดสาขาแอตแลนตาและสาขาเซนต์หลุยส์ ซึ่งอาจสะท้อนสัญญาณเกี่ยวกับมาตรการ QE

ก่อนหน้านี้ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังอาจจะซบเซาลงบ้าง แต่เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง หากเทียบกับเศรษฐกิจของทางฝั่งยุโรป และอเมริกาจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาบ้างแล้ว ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะชะลอมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน หรือ QE ในเดือนหน้าออกไปก่อนโดยอาจจะทยอยต่อไปเรื่อยๆ และไปปรับดอกเบี้ยขึ้นในปี 2015

ขณะเดียวกัน ปัจจัยทางการเมืองถือว่าเป็นนัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งทำให้นักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จึงจะยังไม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะนี้ เพราะรัฐบาลยังไม่มีมาตรการรองรับอะไรที่ชัดเจน ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนได้ ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังมองเสถียรภาพทางการเมืองเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท ว่าอาจจะชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนดหรือไม่ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนอย่างมากเพราะเป็นการลงทุนระยะยาว และต่อยอดเศรษฐกิจไทยที่จะเชื่อมโยงต่อไปยังภูมิภาคอาเซียน หรือ AEC ได้อีก

ทั้งนี้ ถ้าหากการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น คาดว่าตัวเลขการส่งออกในครึ่งปีหลังจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น ส่วนที่ยังเป็นกังวลคือ ตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างเช่นประเทศจีน ว่าจะฟื้นตัวช้านั้น คาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่นานจะกลับสู่ภาวะปกติ แต่สิ่งที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามคือ อัตราแลกเปลี่ยน เพราะมีความผันผวนสูง ซึ่งถ้าหากแกว่งตัวรุนแรงก็จะกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศไทยซึ่งทาง ธปท.จึงจำเป็นที่จะต้องวางนโยบาย หรือกำหนดมาตรการควบคุมไม่ให้กระทบต่อผู้ส่งออก
กำลังโหลดความคิดเห็น