รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) แจ้งว่า ขณะนี้ ทางสำนักงานกพ. กำลังศึกษาเรื่องของการขยายการเกษียณอายุราชการ ร่วมกับ กระทรวงการคลัง ซึ่งปัจจุบัน พบว่า งบกลาง ที่ใช้จ่ายมากที่สุด คืองบประมาณที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ของข้าราชการที่เกษียณอายุ
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงบประมาณพบว่า ในงบประมาณปี57 มีวงเงินที่นำไปใช้จ่ายเป็นเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ของข้าราชการมี จำนวน 132,277 ล้านบาท จากงบกลางทั้งหมด จำนวน 345,459 ล้านบาท
"เรื่องการขยายการเกษียณอายุราชการ จะต่างจาก การต่ออายุราชการ ที่มีอยู่ในระเบียบข้าราชการพลเรือน พศ. 2551 ในมาตรา 108 คือ การต่ออายุราชการ จะต่อให้กับข้าราชการ ในตำแหน่งบางสายงาน หรือให้แก่บางข้าราชการบางคนที่ราชการต้องการ ซึ่งในมาตราดังกล่าวมุ่งไปในเรื่องของการขาดแคลนคนที่คุณภาพในบางสายงาน หรือสายงานเหล่านั้นส้รางคนไม่ทัน โดยที่ผ่านมามีการต่ออายุแล้ว อย่างเช่นสายงานแพทย์ สายงานนักกฏหมาย เช่นกฤษฏีกา สายงานด้านศิลปิน เป็นต้น"
รายงานระบุว่า การขยายการเกษียณอายุราชการ คือการขยายทั้งระบบ จากเกษียณที่อายุ 60 ปี ก็จะเกษียณที่อายุ 65 หรือ 70 ปี ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าว เกิดจาก ปัจจุบันคนอายุยืนขึ้น กว่าสมัยที่ออกที่พบว่า คนมีอายุเฉลี่ยเพียง 52 ปี เท่านั้น แต่ปัจจุบัน อายุเฉลี่ยของคนเกือบ 80 ปี ในขณะที่อายุเกษียณยัง อยู่ที่ 60ปีเหมือนเดิม ซึ่งจากแนวคิดที่ว่า ถ้าคนที่อายุเลยอายุ 60 ปี แล้วยังมีกำลังในการทำงาน ส้รางผลผลิต แต่ให้หยุดการทำงาน หรือเกษียณอายุราชการไป ก็เป็นการสูญเสียทรัพยากร ขณะเดียวกัน ถ้าเราไม่ให้คนกลุ่มนี้ทำงาน แต่รับเงินบำนาญจากภาครัฐ นั่นก็เท่ากับว่า รัฐบาลต้องจ่ายเงิน 2 ทาง คือ ต้องจ่ายทั้งบำหน็จบำนาญ และจ่ายในการจ้างคนใหม่ มาทดแทน แต่ปัญหาที่ตามมา หากนำแนวคิดการขยายการเกษียณอายุราชการ มาใช้ก็คือ จะทำให้ไม่มีตำแหน่งงานว่างให้กับเด็กจบใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 13 ส.ค.56 สำนักงานก.พ. เตรียมเสนอขอความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เรื่อง การกำชับให้ผู้บังคับบัญชาปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาวินัยของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 87 และให้ถือว่าการที่การรักษาวินัยของข้าราชการมิได้ดีขึ้น ผู้บังคับบัญชามีส่วนรับผิดชอบ
ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม และผู้ว่าราชการจังหวัด กำหนดเรื่องการเสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัยและป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำผิดวินัยไว้ในยุทธศาสตร์และแผนการพัฒนาข้าราชการพลเรือนสามัญของส่วนราชการโดยกำหนดให้มีแผนการสร้างผู้นำทุกระดับอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดีในหน่วยงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ จัดทำระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้องและสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ในองค์กรรวมทั้งจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงาน พร้อมทั้งให้มีการกำหนดเป้าหมาย กำกับดูแล ส่งเสริม สนับสนุน และติดตามผลการดำเนินการเสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัยและป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำผิดวินัยเพื่อให้เกิดสัมฤทธิผลในเชิงบูรณาการ
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ เสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัยและป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำผิดวินัย ด้วยวิธีการที่เหมาะสม นับตั้งแต่การสนับสนุนให้ได้รับการพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ เปิดโอกาสให้มีการนำองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการปฏิบัติงาน และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการส่งเสริมให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาพัฒนาตนเองเพื่อให้เป็นข้าราชการที่ดี มีวินัย และดำรงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และให้ส่วนราชการแจ้งผลการดำเนินการ ให้สำนักงาน ก.พ. ทราบภายในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
วันเดียวกีน สำนักงาน ก.พ. จะขอความเห็นชอบร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....เพื่่อให้สำนักงาน ก.พ. แก้ไขร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แล้วดำเนินการต่อไปได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาระสำคัญของร่างกฎ ก.พ. ให้เพิ่มความต่อไปนี้ เป็น 29 ของตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการและระดับชำนาญการพิเศษ ในบัญชีกำหนดสายงานที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่ง ท้ายกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2555 “29. สายงานกายอุปกรณ์”
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงบประมาณพบว่า ในงบประมาณปี57 มีวงเงินที่นำไปใช้จ่ายเป็นเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ของข้าราชการมี จำนวน 132,277 ล้านบาท จากงบกลางทั้งหมด จำนวน 345,459 ล้านบาท
"เรื่องการขยายการเกษียณอายุราชการ จะต่างจาก การต่ออายุราชการ ที่มีอยู่ในระเบียบข้าราชการพลเรือน พศ. 2551 ในมาตรา 108 คือ การต่ออายุราชการ จะต่อให้กับข้าราชการ ในตำแหน่งบางสายงาน หรือให้แก่บางข้าราชการบางคนที่ราชการต้องการ ซึ่งในมาตราดังกล่าวมุ่งไปในเรื่องของการขาดแคลนคนที่คุณภาพในบางสายงาน หรือสายงานเหล่านั้นส้รางคนไม่ทัน โดยที่ผ่านมามีการต่ออายุแล้ว อย่างเช่นสายงานแพทย์ สายงานนักกฏหมาย เช่นกฤษฏีกา สายงานด้านศิลปิน เป็นต้น"
รายงานระบุว่า การขยายการเกษียณอายุราชการ คือการขยายทั้งระบบ จากเกษียณที่อายุ 60 ปี ก็จะเกษียณที่อายุ 65 หรือ 70 ปี ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าว เกิดจาก ปัจจุบันคนอายุยืนขึ้น กว่าสมัยที่ออกที่พบว่า คนมีอายุเฉลี่ยเพียง 52 ปี เท่านั้น แต่ปัจจุบัน อายุเฉลี่ยของคนเกือบ 80 ปี ในขณะที่อายุเกษียณยัง อยู่ที่ 60ปีเหมือนเดิม ซึ่งจากแนวคิดที่ว่า ถ้าคนที่อายุเลยอายุ 60 ปี แล้วยังมีกำลังในการทำงาน ส้รางผลผลิต แต่ให้หยุดการทำงาน หรือเกษียณอายุราชการไป ก็เป็นการสูญเสียทรัพยากร ขณะเดียวกัน ถ้าเราไม่ให้คนกลุ่มนี้ทำงาน แต่รับเงินบำนาญจากภาครัฐ นั่นก็เท่ากับว่า รัฐบาลต้องจ่ายเงิน 2 ทาง คือ ต้องจ่ายทั้งบำหน็จบำนาญ และจ่ายในการจ้างคนใหม่ มาทดแทน แต่ปัญหาที่ตามมา หากนำแนวคิดการขยายการเกษียณอายุราชการ มาใช้ก็คือ จะทำให้ไม่มีตำแหน่งงานว่างให้กับเด็กจบใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 13 ส.ค.56 สำนักงานก.พ. เตรียมเสนอขอความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เรื่อง การกำชับให้ผู้บังคับบัญชาปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาวินัยของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 87 และให้ถือว่าการที่การรักษาวินัยของข้าราชการมิได้ดีขึ้น ผู้บังคับบัญชามีส่วนรับผิดชอบ
ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม และผู้ว่าราชการจังหวัด กำหนดเรื่องการเสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัยและป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำผิดวินัยไว้ในยุทธศาสตร์และแผนการพัฒนาข้าราชการพลเรือนสามัญของส่วนราชการโดยกำหนดให้มีแผนการสร้างผู้นำทุกระดับอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดีในหน่วยงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ จัดทำระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้องและสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ในองค์กรรวมทั้งจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงาน พร้อมทั้งให้มีการกำหนดเป้าหมาย กำกับดูแล ส่งเสริม สนับสนุน และติดตามผลการดำเนินการเสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัยและป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำผิดวินัยเพื่อให้เกิดสัมฤทธิผลในเชิงบูรณาการ
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ เสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัยและป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำผิดวินัย ด้วยวิธีการที่เหมาะสม นับตั้งแต่การสนับสนุนให้ได้รับการพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ เปิดโอกาสให้มีการนำองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการปฏิบัติงาน และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการส่งเสริมให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาพัฒนาตนเองเพื่อให้เป็นข้าราชการที่ดี มีวินัย และดำรงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และให้ส่วนราชการแจ้งผลการดำเนินการ ให้สำนักงาน ก.พ. ทราบภายในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
วันเดียวกีน สำนักงาน ก.พ. จะขอความเห็นชอบร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....เพื่่อให้สำนักงาน ก.พ. แก้ไขร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แล้วดำเนินการต่อไปได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาระสำคัญของร่างกฎ ก.พ. ให้เพิ่มความต่อไปนี้ เป็น 29 ของตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการและระดับชำนาญการพิเศษ ในบัญชีกำหนดสายงานที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่ง ท้ายกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2555 “29. สายงานกายอุปกรณ์”