ไตรมาส2 กลุ่มโบรกฯ กำไรยังโต คาดวอลุ่มเทรดพุ่งดันทั้งปีกลายเป็นปีทอง ที่กำไรสุทธิและรายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปี2555แม้กระแสโยกย้ายเงินทุน และสถานการณ์การเมือง กดดันหุ้นไทยผันผวนหนัก ประเมินครึ่งปีหลังวอลุ่มเทรดยังแตะ4.5-5 หมื่นล้าน/วัน จากทั้งปีก่อนที่ระดับ 3.2 หมื่นล้าน พบไตรมาส2 นอกจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายพุ่งกระฉูด ธุรกิจให้ยืมหุ้นยังเพิ่มขึ้นเท่าตัว อีกทั้งกำไรพอร์ตลงทุนยังสูง และรายได้จากงานวาณิชธนกิจเพิ่มขึ้น มีลุ้นเห็นยอดเงินปันผลโต
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯแจ้งว่าหุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ได้เริ่มทยอยประกาศผลดำเนินงานประจำไตรมาส 2/56 และผลดำเนินงานครึ่งปีแรกแล้วโดยรวมพบว่าทุกแห่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งสิ้น เช่น บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET เปิดเผยว่าภาพรวมธุรกิจไตรมาส2 ถือได้ว่าเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิ 350.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น88.50% จาก 164.71 ล้านบาทเมื่อไตรมาส2/55 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 186.10 ล้านบาท
เนื่องจาก รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 453.89 ล้านบาท จาก 472.74 ล้านบาท เป็น 926.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96.01% เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 5,905 ล้านบาท เป็น 11,485 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์ฯจาก 25,041 ล้านบาท เป็น 50,527 ล้านบาท
พร้อมกันนี้รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 104.46 ล้านบาท จาก 70.89 ล้านบาท เป็น 175.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147.37% จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดทุน ส่งผลให้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมียอดเงินให้กู้ยืมเฉลี่ย 5,093 ล้านบาท เป็น 12,760 ล้านบาท อีกทั้งมีรายได้ฝ่ายวาณิชธนกิจเพิ่มขึ้น
ขณะที่ บล. เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) (ASP) รายงานว่า ไตรมาสที่ 2/56 บริษัทมีกำไรสุทธิเป็นจำนวนเงิน 244.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 254% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มี 69.07 ล้านบาท จากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 471.68 ล้านบาท จาก 229.11 ล้านบาทเมื่อไตรมาส2/55 ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นแตะ 45.72 ล้านบาท จากไตรมาส2/55 ที่ระดับ 22.44 ล้านบาท ทำให้ASP มีรายได้746.83 ล้านบาท จากไตรมาส2/55 ที่ระดับ368.94 ล้านบาท
ด้วยเหตุผลบเดียวกันกับ MBKET คือ ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 102% จาก 25,041 ล้านบาทเป็น 50,527 ล้านบาท ซึ่งมีผลให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้น 118% จาก 1,976 ล้านบาท เป็น4,306 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทมีกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ จำนวน 19.08 ล้านบาท เพิ่ม183% และมีดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 104%
สำหรับผลดำเนินงานตามงบการเงินรวมงวด 6 เดือน ปี 2556 บริษัทมีกำไรสุทธิเงิน 638.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164% จาก 242.33ล้านบาทเมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม 1,773.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น90%
ส่วน บล. ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)(ZMICO) มีผลกำไรสุทธิในไตรมาส2/56 จำนวน 67.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากไตรมาส2/55 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 47.3 ล้านบาท และ บล.โนมูระ พัฒนสิน หรือ CNS มีกำไรสุทธิ 119.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/55 ที่อยู่ในระดับ 34.01 ล้านบาท และงวด6เดือนแรกปี2556 มีกำไรสุทธิ 277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนทีมีกำไรสุทธิ 72.51 ล้านบาท
**ครึ่งปีหลังกำไรบล.ยังพุ่ง แม้หุ้นผันผวน
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทหลักทรัพย์ ในครึ่งปีแรกพบว่า หากเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2555 บริษัทหลักทรัพย์ สามารถทำกำไรได้เกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนตัวยังคงตั้งเป้าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาาดหลักทรัพย์ฯ ในครึ่งปีหลังไว้ที่ 4.5-5 หมื่นล้านบาทที่ถือว่าอยู่ในระดับสูง และหากมองในภาพรวมเศรษฐกิจขณะนี้ เชื่อว่ากำไรในครึ่งปีหลัง 2556 ของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ จะยังคงดีอยู่ แม้ว่าจะไม่เท่ากับครึ่งปีแรกก็ตาม
**คาดหลายโบรกฯกำไรเท่าตัว
นักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าวถึงภาพรวมกลุ่มอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ ว่า ปี2556 ถือเป็นปีที่กลุ่มบล.จะมีผลดำเนินงานสูงมาก ซึ่งอาจจะสูงกว่าทั้งปี 2555 ร่วมเท่าตัว เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหรือวอลุ่มเทรดเฉลี่ยต่อวันตัวปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.2 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 6 หมื่นล้านบาทในไตรมาส1/56 และลดลงอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาทในไตรมาส2/56 และแม้ความผันผวนจากกระแสเม็ดเงินลงทุนไหลออก รวมทั้งปัจจัยลบต่างๆเข้ามากดดันตลาดหุ้นไทย แต่เชื่อว่าภาพรวมครึ่งปีหลัง วอลุ่มเทรดต่อวันไม่น่าจะต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท
“เมื่อวอลุ่มเทรดต่อวันเพิ่มสูงขึ้น ย่อมทำให้ผลดำเนินงานโบรกเกอร์ เพิ่มขึ้นโดยเพาะรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ อย่าลืมว่าโบรกฯทำกำไรได้ทั้ง 2 ขา ทั้งซื้อและขาย จุดนี้ถือเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนรายได้กลุ่มโบรกเกอร์ ขณะเดียวกันการยืมหุ้นมาลงทุน ช่วงที่ผ่านมาก็เพิ่มขึ้นมากร่วมเท่าตัว โบรกฯย่อมมีกำไรจากจุดนี้ด้วย เมื่อรวมถึงงานวาณิชธนกิจ ที่หลายบริษัทให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นมีรายได้เพิ่มขึ้น และพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์เอง ก็เชื่อว่าจะเป็นอีก1ปีที่ธุรกิจพร็อพเทรด มีกำไรในระดับที่สูงเช่นกัน”
ทั้งนี้ ประเมินว่า โดยรวมผลดำเนินงานที่ดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนต่างๆ จะทำให้หลายบริษัทต้องปรับเพิ่มเป้าหมายคาดการณ์รายได้เพิ่มขึ้นอีก ขณะเดียวกันก็พบว่า หุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ ถือเป็น
อีกกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น แม้มูลค่าการซื้อขายของตลาดได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งต่อจากนี้ไปมูลค่าการซื้อขายมีแนวโน้มค่อยๆลดลง เพราะการไหลออกของเงินทุน
ต่างชาติก็ตาม แต่อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในหลายบริษัทมีโอกาสเพิ่มขึ้นมากกว่า 100%”
**ผลประกอบการสูง-จ่อปันผลเพิ่ม
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินภาพรวมหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ว่า ธุรกิจหลักทรัพย์ที่บริษัทติดตามทั้งหมด 6 แห่ง คือ ASP,CGS, CNS, MBKET, KGI และ FSS ซึ่งคิดเป็น
ส่วนแบ่งตลาดค่านายหน้ารวมกัน 34% ณ ไตรมาส2/56 แต่พบว่ามูลค่าการซื้อขายลดลง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส1/56 อย่างไรก็ตามยังเพิ่มถึง 97%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2555
“เนื่องจากสัดส่วนนักลงทุนในประเทศลดลง จึงส่งผลต่อส่วนแบ่งตลาดของบาง บล. ทำให้คาดว่ากำไรไตรมาส2 ของกลุ่มบล.จะลดลง34% จากไตรมาส1/56 แต่จะเพิ่มขึ้น 172% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จึงให้น้ำหนัก “ลงทุนมากกว่าปกติ” เลือก ASP MBKET เป็น Top pick ของกลุ่ม โดกำไรสุทธิไตรมาส2ที่ลดลง เป็นผลเนื่องมาจากมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงจากไตรมาส1 อย่างไรก็ตามแม้จะคาดว่าครึ่งปีหลังมูลค่าการซื้อขายจะลดต่ำลง แต่ผลประกอบการทั้งปีจะเติบโตสูง และเงินปันผลจะดีกว่าทุกปีที่ผ่านมา”
บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ตั้งแต่เดือน เม.ย. จนถึงปัจจุบัน ตลาดมีวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 5.55 หมื่นล้านบาท ลดลง 14% จากไตรมาส 1/56 แต่ยังคงเติบโตในอัตราสูงถึง 80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นผลดีต่อธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ เมื่อบวกกับ กำไรจากพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์ที่ดำเนินธุรกิจนี้ที่คาดว่ายังสดใส และรายได้ค่าที่ปรึกษาทางการเงินที่เพิ่มขึ้นในหลายบริษัท จึงนับเป็นอีกหนึ่งปีที่อุตสาหกรรมนี้ปรับตะวเพิ่มขึ้นมาก
อนึ่งก่อนหน้านี้ คณะกรรมการ (บอร์ด) ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติให้ปรับเพิ่มเป้าหมายของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันปี 2556 เพิ่มเป็น 49,500 ล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้น 53% จากปีก่อนขณะที่เป้าหมายเดิมอยู่ที่ 32,000 ล้านบาทต่อวัน
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯแจ้งว่าหุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ได้เริ่มทยอยประกาศผลดำเนินงานประจำไตรมาส 2/56 และผลดำเนินงานครึ่งปีแรกแล้วโดยรวมพบว่าทุกแห่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งสิ้น เช่น บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET เปิดเผยว่าภาพรวมธุรกิจไตรมาส2 ถือได้ว่าเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิ 350.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น88.50% จาก 164.71 ล้านบาทเมื่อไตรมาส2/55 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 186.10 ล้านบาท
เนื่องจาก รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 453.89 ล้านบาท จาก 472.74 ล้านบาท เป็น 926.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96.01% เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 5,905 ล้านบาท เป็น 11,485 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์ฯจาก 25,041 ล้านบาท เป็น 50,527 ล้านบาท
พร้อมกันนี้รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 104.46 ล้านบาท จาก 70.89 ล้านบาท เป็น 175.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147.37% จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดทุน ส่งผลให้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมียอดเงินให้กู้ยืมเฉลี่ย 5,093 ล้านบาท เป็น 12,760 ล้านบาท อีกทั้งมีรายได้ฝ่ายวาณิชธนกิจเพิ่มขึ้น
ขณะที่ บล. เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) (ASP) รายงานว่า ไตรมาสที่ 2/56 บริษัทมีกำไรสุทธิเป็นจำนวนเงิน 244.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 254% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มี 69.07 ล้านบาท จากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 471.68 ล้านบาท จาก 229.11 ล้านบาทเมื่อไตรมาส2/55 ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นแตะ 45.72 ล้านบาท จากไตรมาส2/55 ที่ระดับ 22.44 ล้านบาท ทำให้ASP มีรายได้746.83 ล้านบาท จากไตรมาส2/55 ที่ระดับ368.94 ล้านบาท
ด้วยเหตุผลบเดียวกันกับ MBKET คือ ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 102% จาก 25,041 ล้านบาทเป็น 50,527 ล้านบาท ซึ่งมีผลให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้น 118% จาก 1,976 ล้านบาท เป็น4,306 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทมีกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ จำนวน 19.08 ล้านบาท เพิ่ม183% และมีดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 104%
สำหรับผลดำเนินงานตามงบการเงินรวมงวด 6 เดือน ปี 2556 บริษัทมีกำไรสุทธิเงิน 638.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164% จาก 242.33ล้านบาทเมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม 1,773.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น90%
ส่วน บล. ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)(ZMICO) มีผลกำไรสุทธิในไตรมาส2/56 จำนวน 67.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากไตรมาส2/55 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 47.3 ล้านบาท และ บล.โนมูระ พัฒนสิน หรือ CNS มีกำไรสุทธิ 119.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/55 ที่อยู่ในระดับ 34.01 ล้านบาท และงวด6เดือนแรกปี2556 มีกำไรสุทธิ 277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนทีมีกำไรสุทธิ 72.51 ล้านบาท
**ครึ่งปีหลังกำไรบล.ยังพุ่ง แม้หุ้นผันผวน
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทหลักทรัพย์ ในครึ่งปีแรกพบว่า หากเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2555 บริษัทหลักทรัพย์ สามารถทำกำไรได้เกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนตัวยังคงตั้งเป้าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาาดหลักทรัพย์ฯ ในครึ่งปีหลังไว้ที่ 4.5-5 หมื่นล้านบาทที่ถือว่าอยู่ในระดับสูง และหากมองในภาพรวมเศรษฐกิจขณะนี้ เชื่อว่ากำไรในครึ่งปีหลัง 2556 ของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ จะยังคงดีอยู่ แม้ว่าจะไม่เท่ากับครึ่งปีแรกก็ตาม
**คาดหลายโบรกฯกำไรเท่าตัว
นักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าวถึงภาพรวมกลุ่มอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ ว่า ปี2556 ถือเป็นปีที่กลุ่มบล.จะมีผลดำเนินงานสูงมาก ซึ่งอาจจะสูงกว่าทั้งปี 2555 ร่วมเท่าตัว เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหรือวอลุ่มเทรดเฉลี่ยต่อวันตัวปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.2 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 6 หมื่นล้านบาทในไตรมาส1/56 และลดลงอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาทในไตรมาส2/56 และแม้ความผันผวนจากกระแสเม็ดเงินลงทุนไหลออก รวมทั้งปัจจัยลบต่างๆเข้ามากดดันตลาดหุ้นไทย แต่เชื่อว่าภาพรวมครึ่งปีหลัง วอลุ่มเทรดต่อวันไม่น่าจะต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท
“เมื่อวอลุ่มเทรดต่อวันเพิ่มสูงขึ้น ย่อมทำให้ผลดำเนินงานโบรกเกอร์ เพิ่มขึ้นโดยเพาะรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ อย่าลืมว่าโบรกฯทำกำไรได้ทั้ง 2 ขา ทั้งซื้อและขาย จุดนี้ถือเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนรายได้กลุ่มโบรกเกอร์ ขณะเดียวกันการยืมหุ้นมาลงทุน ช่วงที่ผ่านมาก็เพิ่มขึ้นมากร่วมเท่าตัว โบรกฯย่อมมีกำไรจากจุดนี้ด้วย เมื่อรวมถึงงานวาณิชธนกิจ ที่หลายบริษัทให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นมีรายได้เพิ่มขึ้น และพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์เอง ก็เชื่อว่าจะเป็นอีก1ปีที่ธุรกิจพร็อพเทรด มีกำไรในระดับที่สูงเช่นกัน”
ทั้งนี้ ประเมินว่า โดยรวมผลดำเนินงานที่ดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนต่างๆ จะทำให้หลายบริษัทต้องปรับเพิ่มเป้าหมายคาดการณ์รายได้เพิ่มขึ้นอีก ขณะเดียวกันก็พบว่า หุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ ถือเป็น
อีกกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น แม้มูลค่าการซื้อขายของตลาดได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งต่อจากนี้ไปมูลค่าการซื้อขายมีแนวโน้มค่อยๆลดลง เพราะการไหลออกของเงินทุน
ต่างชาติก็ตาม แต่อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในหลายบริษัทมีโอกาสเพิ่มขึ้นมากกว่า 100%”
**ผลประกอบการสูง-จ่อปันผลเพิ่ม
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินภาพรวมหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ว่า ธุรกิจหลักทรัพย์ที่บริษัทติดตามทั้งหมด 6 แห่ง คือ ASP,CGS, CNS, MBKET, KGI และ FSS ซึ่งคิดเป็น
ส่วนแบ่งตลาดค่านายหน้ารวมกัน 34% ณ ไตรมาส2/56 แต่พบว่ามูลค่าการซื้อขายลดลง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส1/56 อย่างไรก็ตามยังเพิ่มถึง 97%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2555
“เนื่องจากสัดส่วนนักลงทุนในประเทศลดลง จึงส่งผลต่อส่วนแบ่งตลาดของบาง บล. ทำให้คาดว่ากำไรไตรมาส2 ของกลุ่มบล.จะลดลง34% จากไตรมาส1/56 แต่จะเพิ่มขึ้น 172% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จึงให้น้ำหนัก “ลงทุนมากกว่าปกติ” เลือก ASP MBKET เป็น Top pick ของกลุ่ม โดกำไรสุทธิไตรมาส2ที่ลดลง เป็นผลเนื่องมาจากมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงจากไตรมาส1 อย่างไรก็ตามแม้จะคาดว่าครึ่งปีหลังมูลค่าการซื้อขายจะลดต่ำลง แต่ผลประกอบการทั้งปีจะเติบโตสูง และเงินปันผลจะดีกว่าทุกปีที่ผ่านมา”
บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ตั้งแต่เดือน เม.ย. จนถึงปัจจุบัน ตลาดมีวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 5.55 หมื่นล้านบาท ลดลง 14% จากไตรมาส 1/56 แต่ยังคงเติบโตในอัตราสูงถึง 80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นผลดีต่อธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ เมื่อบวกกับ กำไรจากพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์ที่ดำเนินธุรกิจนี้ที่คาดว่ายังสดใส และรายได้ค่าที่ปรึกษาทางการเงินที่เพิ่มขึ้นในหลายบริษัท จึงนับเป็นอีกหนึ่งปีที่อุตสาหกรรมนี้ปรับตะวเพิ่มขึ้นมาก
อนึ่งก่อนหน้านี้ คณะกรรมการ (บอร์ด) ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติให้ปรับเพิ่มเป้าหมายของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันปี 2556 เพิ่มเป็น 49,500 ล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้น 53% จากปีก่อนขณะที่เป้าหมายเดิมอยู่ที่ 32,000 ล้านบาทต่อวัน