“เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 350 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 88 จากวอลุ่มเทรดลูกค้าเพิ่ม ดันรับรู้รายได้ค่านายหน้าซื้อขาย และกำไรจากการให้ยืมซื้อหุ้นขยายตัว “มนตรี” ประเมินหากครึ่งปีหลังไม่มีปัจจัยทั้งใน และต่างประเทศขนานใหญ่ มั่นใจปี 56 เป็นปีทองของบริษัท
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET เปิดเผยว่า ภาพพรวมธุรกิจของเมย์แบงก์ กิมเอ็ง Q2/56 ถือได้ว่าเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 350.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164.71 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 88.50 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 186.10 ล้านบาท
โดยรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 453.89 ล้านบาท จาก 472.74 ล้านบาท เป็น 926.63 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 96.01 เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 5,905 ล้านบาท เป็น 11,485 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จาก 25,041 ล้านบาท เป็น 50,527 ล้านบาท
ขณะที่รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 10.34 ล้านบาท จาก 85.56 ล้านบาท เป็น 75.22 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 12.09 เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯ ลดลงจาก 13,329 สัญญา เป็น 9,980 สัญญา ซึ่งเป็นไปตามการลดลงของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดอนุพันธ์ซึ่งลดลงจาก 83,971 สัญญา เป็น 80,272 สัญญา
พร้อมกันนี้ รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 104.46 ล้านบาท จาก 70.89 ล้านบาท เป็น 175.35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 147.37 เนื่องมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดทุน ส่งผลให้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เฉลี่ยสำหรับงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมียอดเงินให้กู้ยืมเฉลี่ย 5,093 ล้านบาท เป็น 12,760 ล้านบาท ส่วนรายได้ฝ่ายวาณิชธนกิจเพิ่มขึ้น 30.62 ล้านบาท จาก 10.74 ล้านบาท เป็น 41.36 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 285.10%
สำหรับค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 358.11 ล้านบาท จาก 494.06 ล้านบาท เป็น 852.17 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 72.48 ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ต้นทุนทางการเงิน ซึ่งเพิ่มขึ้น 82.19 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 157.74 เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยที่จ่ายให้แก่เงินวางหลักประกันของลูกค้า และเงินกู้ยืมระยะสั้น ค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย ซึ่งเพิ่มขึ้น 26.45 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53.06 และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ซึ่งเพิ่มขึ้น 226.57 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 84.44 เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งเป็นผลให้ผลตอบแทนของเจ้าหน้าที่การตลาดเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก หรืองวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 889.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 514.13 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 136.85 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 375.68 ล้านบาท ทำให้ผลการดำเนินงานตามงบกำไรขาดทุนดังกล่าวแสดงผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 20
“หากประเมินภาพรวมจากปริมาณการซื้อขายต่อวันที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยวันละ 25,041 ล้านบาท ในปี 2555 เป็น 50,527 ล้านบาทใน 6 เดือนแรกปี 2556 ในขณะที่ตัวเลขผลการดำเนินงานในรอบเดียวกันออกมาเป็นที่น่าพอใจ หากในครึ่งปีหลังไม่มีปัจจัยเสี่ยงทั้งใน และต่างประเทศเข้ามา ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน ผมเชื่อว่าปี 2556 จะเป็นปีที่ดีมากของบริษัท” นายมนตรีกล่าว