สรุปครึ่งปีแรก มาร์เกตแคปตลาดหุ้นหดเหลือ 12.52 ล้านล้านบาท ในรอบ 3 เดือนดัชนีเปลี่ยนแปลง -6.00% สถาบันเข้าซื้อสะสมสูงสุด 7 หมื่นล้าน แต่ภายในเดือน มิ.ย. รายย่อยเทหน้าตักเข้าเก็บหุ้นเฉียด 3 หมื่นล้านบาท จากแรงขายต่างชาติตั้งแต่ต้นปี 7.6 หมื่นล้านบาท โบรกฯ มองครึ่งปีหลังเศรษฐกิจชะลอตัว จีดีพีหด กดดันกลุ่มแบงก์ ค้าปลีก สื่อ อสังหาฯ เช่าซื้อรถ ได้รับผลกระทบ แถมโครงการรัฐส่อล้าช้า ทำหุ้นไทยไร้แรงหนุน คาดสัปดาห์นี้มีโอกาสรีบาวนนด์ต่อ แต่ความผันผวนยังมีสูง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สิ้นสุด 28 มิ.ย.2556 ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,451.90 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) 12.528 ล้านล้านบาท P/E เท่ากับ 16.47 เท่า และ P/BV เท่ากับ 2.31 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน 2.93% ขณะที่การเปลี่ยนของดัชนีในรอบ 3 เดือนล่าสุด -6.00% ส่วนในรอบ 6 เดือนล่าสุด +3.16%
สรปุมูลค่าการซื้อขายสุทธิตามประเภทนักลงทุน ตั้งแต่ต้นปี 2556 พบว่า สถาบันซื้อสะสม 70,222.66 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซื้อสะสม 13,296.75 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศ ขายสะสม 76,584.55 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสะสม 6,934.86 ล้านบาท
และเฉพาะเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศ ขายสะสม 55,492.29 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสะสม 2,547.69 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซื้อสะสม 29,422.17 ล้านบาท และสถาบันซื้อสะสม 28,617.80 ล้านบาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า การที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศช.) ปรับลดเป้าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเหลือ 4.5% หรือในกรอบ 4.0-5.0% จากเดิมที่คาดไว้ 5.3% เนื่องจากการบริโภคชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี หลังการส่งมอบรถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรกครบหมดแล้ว และการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวนั้น ประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อประมาณการกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ เช่น กลุ่มธนาคาร ที่เน้นสินเชื่อส่วนบุคคล กลุ่มค้าปลีก กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ กลุ่มเช่าซื้อรถยนต์ และกลุ่มอสังหาฯ ในระดับกลางถึงล่าง
ด้าน บล.เอเซีย พลัส เผยว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ (2-5 ก.ค.) ดัชนีหุ้นไทยที่ทำจุดต่ำสุดที่ 1,350 จุด ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และสามารถดีดตัวกลับมาปิดที่ 1,451.90 จุดได้นั้น ทำให้เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะทยอยฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังโดยมีดัชนีเป้าหมายที่ 1,570 จุดสิ้นปีนี้ และคาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) งวดปีนี้จะเติบโต 23% จากปีที่ผ่านมา แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ สถานการณ์การเมืองอันเนื่องมาจากโครงการจำนำข้าว และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท
โดยเรื่องดังกล่าว บล.ธนชาต แนะนำให้นักลงทุนระยะยาวซื้อหุ้นได้ที่ดัชนีประมาณ 1,400 จุด ที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (อาร์โออี) 17% จากคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2556-2557 ที่เติบโต 18.9% และ 17% ตามลำดับ และเชื่อว่าดัชนีภายในครึ่งแรกของปี 2557 จะสามารถฟื้นตัวไปที่ 1,610 จุด เพราะหมดความกังวลต่อการยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อีกทั้งคาดว่าจะเกิดการพุ่งขึ้นระยะสั้นช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้าไปที่ 1,460-1,500 จุด
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยที่ยืนบวกได้ในช่วงปลายสัปดาห์ก่อน เป็นผลจากแรงซื้อ short term ที่เข้ามาหนุน ทำให้แนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์นี้ดัชนียังมีโอกาสที่จะผันผวนได้อยู่ ซึ่งต่อไปต้องรอดูผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก และติดตามตัวเลขเศรษฐกิจด้วย พร้อมให้แนวรับ 1,450-1,426-1,415 จุด ส่วนแนวต้าน 1,474-1,480 จุด