ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-คงไม่ใช่เพราะว่า “สมีคำ” หรือ “นายวิรพล สุขผล” หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ สำเร็จมรรคผล หรือได้อภิญญาแต่อย่างใดถึงได้ลอยนวลอยู่ในต่างประเทศได้จนถึงทุกวันนี้ หากเป็นเพราะเงินที่สมีคำมีอยู่ในย่าม และลูกศิษย์บางส่วนที่ยังคงงมงายราวกับบัวในโคลนตมถึงทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้น
ทั้งนี้ การไล่ล่าลากคอสมีคำอลัชชีผู้อื้อฉาวเพื่อมารับโทษทัณฑ์ที่ก่อเอาไว้โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ ของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ดำเนินไปอย่างดุดัน และเอาจริงเอาจัง เฉกเช่นเดียวกับกลุ่มลูกศิษย์ที่ปฏิบัติการตอบโต้อย่างถึงพริกถึงขิงไม่แพ้กัน
กล่าวคือทางด้านกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น ดีเอสไอได้ประสานส่งข้อมูลเรื่องทางการไทยเพิกถอนหนังสือเดินทางของสมีคำให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2556 เพื่อให้พิจารณาผลักดันสมีคำกลับ โดยขณะนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการตรวจค้นเข้าเมืองได้รับทราบการประสานในเรื่องดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกัน ดีเอสก็ได้ส่ง ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการส่วนคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ 1 ดีเอสไอเดินทางไปราชการที่สหรัฐฯ พร้อมเข้าหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ
และปฏิบัติการของดีเอสไอนี้นี่เอง ที่ทำให้มีการปล่อยข่าวออกมาว่า สมีคำ ได้ตัดสินใจงัดวิชาก้นหีบ แก้เกมด้วยการถอดผ้าเหลือง และยื่นเรื่อง “ขอลี้ภัย” อยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งหลายคนมีความเห็นว่า ไม่น่าจะใช่เรื่องจริง เพราะ
ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวได้รับการเปิดเผยเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2556 จาก พระครูสุริวิมลสารธรรม หรือพระครูตุ่น ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลห้วยทับทันเขต 2 อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ คือ ผู้ที่ออกมายืนยันว่า สมีคำ สลัดผ้าเหลืองทิ้ง และขอลี้ภัยอยู่ในสหรัฐฯ
พระครูตุ่นอ้างว่า ได้รับทราบข่าวนี้จาก ดร.ริชาร์ด ไชยสมร ผู้สื่อข่าว mv tv news ชาวไทย ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐเมริกา ซึ่งมีความสนิทสนมกับตนเองในช่วงได้รับกิจนิมนต์เดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา โดย อดีตพระวิรพล ได้ลาสิกขาที่วัดแห่งหนึ่ง แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นวัดไทย หรือว่าเป็นวัดชาวลาวในสหรัฐฯ เพราะเมื่อสึกแล้วจะทำให้นายวิรพล เดินทางไปไหนมาไหนในสหรัฐฯ ได้อย่างสะดวก มากกว่าช่วงที่ยังเป็นพระสงฆ์ เนื่องจากพระสงฆ์ไทยที่สหรัฐฯ ไม่มีใครสนใจว่า อดีตหลวงปู่เณรคำ จะไปไหน หรือเป็นอย่างไร เพียงแค่ติดตามข่าวอดีตหลวงปู่เณรคำ จากสื่อสารมวลชนเพื่อรับรู้เรื่องราวที่ประเทศไทยเท่านั้น
ทั้งนี้ หลังจากสึกแล้ว นายวิรพล ได้หลบไปพักอยู่กับคนที่รู้จักกัน และกำลังทำเรื่องขอลี้ภัยอยู่ที่สหรัฐฯ แต่ยังไม่ทราบว่าจะได้รับการอนุมัติให้ลี้ภัยได้หรือไม่ เพราะสหรัฐฯ มีกฎระเบียบในเรื่องนี้ค่อนข้างเข้มงวดมาก อีกทั้ง นายวิรพล ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาจึงคาดว่าจะไม่สามารถขอลี้ภัยอยู่ที่สหรัฐฯได้ ขณะเดียวกัน ทราบว่า ทางการสหรัฐฯ กำลังตามล่าตัว นายวิรพล ตามที่ทางการของไทยขอความร่วมมือไปด้วย แต่ยังไม่ทราบว่า นายวิรพล หลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด เนื่องจากเมื่อ นายวิรพล เป็นฆราวาสแล้วทำให้การเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ได้โดยสะดวก
“อาตมากำลังประสานงานกับ ดร.ริชาร์ด เพื่อขอให้ส่งหลักฐานที่เป็นรูปภาพเพื่อเป็นการยืนยันว่า อดีตพระวิรพล ได้สึกจากความเป็นพระแล้ว เพื่อจะได้ยืนยันต่อประชาชนชาวไทยทั่วประเทศให้ได้รับทราบข้อเท็จจริงต่อไป” พระครูสุริวิมลสารธรรม ให้ข้อมูล
อย่างไรก็ตาม หลังจากข่าวออกมาก็มีการตรวจสอบข้อมูลใน 2 กรณีคือ หนึ่ง - สมีคำสลัดผ้าเหลืองที่คุ้มกะลาหัวออกจริงหรือไม่ และสอง - โอกาสที่สมีคำจะประสบความสำเร็จในการขอลี้ภัยในสหรัฐฯ มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
สำหรับในกรณีการสึกของสมีคำ ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พระครูสุริวิมลสารธรรม หรือพระครูตุ่น ทออกมายืนยันอีกครั้งหลังติดต่อกับพระไทยที่เป็นหมู่คณะอยู่ที่สหรัฐอเมริกาทางอีเมลว่า อดีตพระวิรพล สึกจากความเป็นพระเรียบร้อยแล้วที่วัดลาวแห่งหนึ่ง ในเขตมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
“ในช่วงปี 2551 ถึงต้นปี 2556 ระหว่างที่อาตมาภาพไปปฏิบัติภารกิจช่วยหมู่คณะเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และเพิ่งเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา ได้ทราบว่า เมื่อช่วงประมาณ ปี 2553-2554 อดีตหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก และคณะ ได้วางแผนไปสร้างวัดอยู่ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยไปซื้อบ้านพร้อมที่ดินไว้ พร้อมซื้อรถยนต์ไปถวายพระผู้ใหญ่หลายรูปที่แคลิฟอร์เนียด้วย เพื่อวางรากฐานขอความเมตตาจากพระผู้ใหญ่ในการที่จะไปสร้างวัด ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนจากพระผู้ใหญ่ด้วย” พระครูตุ่น แจกแจงแผนการของสมีคำ พร้อมเปิดเผยด้วยว่า มีพุทธศาสนิกชนพากันนำเอาเงิน และทองคำมาถวายอดีตหลวงปู่เณรคำ เป็นจำนวนมาก ซึ่งพระไทยที่อยู่สหรัฐอเมริกาต่างพากันประหลาดใจที่อดีตหลวงปู่เณรคำ มีเงินทองมากมาย และพกเงินติดตัวเป็นจำนวนมาก และเมื่อมีเรื่องราวนี้เกิดขึ้นมาจึงเป็นการยืนยันชัดเจนว่า อดีตหลวงปู่เณรคำ วางแผนที่จะไปอยู่สหรัฐอเมริกามานานแล้ว
ส่วนเรื่องการขอลี้ภัย พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้บัญชาการสำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ดีเอสไอ ให้ความเห็นว่า ถือเป็นสิทธิของนายวิรพล ที่จะยื่นคำร้อง แต่การพิจารณาว่าจะเข้าหลักเกณฑ์ในประเทศที่ขอลี้ภัยหรือไม่ เป็นอำนาจการตัดสินใจของประเทศนั้นๆ แต่โดยปกติแล้ว การขอลี้ภัยในต่างประเทศจะเป็นเรื่องทางการเมือง เชื้อชาติ หรือศาสนาที่เกิดปัญหาขึ้นในประเทศนั้นๆ กรณีของนายวิรพล เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศ และการฉ้อโกงในคดีอาญา จึงไม่เห็นว่าจะเข้าเงื่อนไขการของลี้ภัยแต่อย่างใด
นอกเหนือจากประเด็นดังกล่าวแล้ว กลุ่มลูกศิษย์สมีคำ ก็ปฏิบัติการตอบโต้ และเอาคืนดีเอสไอเช่นกัน โดย 2 ศิษย์เอกคือ นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม และนายเริงศักดิ์ กำธร ได้เดินทางมาที่ สภ.บางใหญ่ เพื่อแจ้งความเพื่อดำเนินคดีต่อ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง พ.ต.ท.วิชิต อุปะลา รองผู้บัญชาการสำนักความมั่นคง ดีเอสไอ และ นายชูเกียรติ ยิ้มประเสริฐ บรรณาธิการ นสพ.ไทยโพสต์ ที่ได้กระทำความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ทำให้เกิดการดูหมิ่น เหยียดหยาม ทำให้เกิดความเสียหาย
ส่วนทางด้านดีเอสไอเองก็ปฏิบัติการย้อนศรเล่นงานลูกศิษย์สมีคำด้วยการอนุมัติให้กองกฎหมายและนายมหิธร กลั่นนุรักษ์ ผอ.ศูนย์ช่วยเหลือกฎหมายประชาชน ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อนายสุขุม วงประสิทธิ์ ข้อหาแจ้งความเท็จ และดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม
นายมหิธร กล่าวว่า แม้ว่าประชาชนทั่วไปจะมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน แต่คดีนี้พนักงานสอบสวนเห็นว่า นายสุขุม มีพฤติกรรมล้ำเส้นเข้ามาในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง และยังได้แจ้งความดำเนินคดีต่ออธิบดีดีเอสไอ และพนักงานสอบสวน จึงถือเป็นการใช้สิทธิเกินกว่าบุคคลปกติ เนื่องจากขณะนี้สำนวนการสอบสวนยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า นายสุขุม เกี่ยวข้องอะไรกับนายวิรพล สุขผล ดังนั้น การออกมาเคลื่อนไหวของนายสุขุม จึงเป็นการรบกวนการปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวน
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน อีกประเด็นของสมีคำ ที่สังคมให้ความสนใจก็คือ การที่ พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่าอดีตลูกศิษย์คนสนิทคนหนึ่งของนายวิรพล เป็นนายหน้าไปซื้อประกันตามแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะใน จ.อุบลราชธานี มีการซื้อประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นการทยอยซื้อจากหลายๆ คน คนละหลายๆ ครั้ง ตั้งแต่ครั้งละ 10-20 และ 50 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมถึง 500 ล้านบาท
“ดีเอสไอจะต้องตรวจสอบหาความเชื่อมโยงของเครือข่ายลูกศิษย์นายวิรพลว่ามีใครเข้าไปเกี่ยวข้อง และมีการยักย้ายถ่ายเทไปอยู่ที่ใครบ้าง และอยากตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะการซื้อประกันภัยแบบออมทรัพย์ถือเป็นการหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นการวางแผนที่ดีของกุนซือ และมีการทำอย่างเป็นขบวนการ” พ.ต.อ.ญาณพลกล่าว
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าข่าวสมีคำสึกจะเป็นจริงหรือไม่ เพราะยังไม่มีภาพถ่ายมายืนยัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ สมีคำไม่ได้เดินทางกลับมาต่อสู้คดีในประเทศไทย หลังจากพ้นกำหนดเส้นตายในวันที่ 31 กรกฎาคม ดังที่ ดร.สุขุม วงประสิทธิ ประกาศไว้