xs
xsm
sm
md
lg

วสันต์ชี้ 2ฝ่ายตั้งแง่-ไร้คนไกล่เกลี่ย เลิกฝันปรองดอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (31ก.ค.) นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวเปิดใจก่อนพ้นจากตำแหน่งในวันนี้ ( 1 ส.ค.) ยืนยันว่า การลาออกจากตุลาการและประธานศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นตามสัญญาสุภาพบุรษที่ได้ให้ไว้กับคณะตุลาการฯ เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีเหตุผลอย่างอื่นอย่างที่ไปตีความกัน ซึ่งหากสื่อไปย้อนดูข่าวในช่วงนั้นก็จะเห็นว่า ตนได้พูดถึงความตั้งใจในการดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ จะไม่อยู่ในตำแหน่งประธานฯ จนครบวาระ จะเป็นแบบมาเร็ว เคลมเร็ว ไปเร็ว จัดแถวสำนักงานเป็นระเบียบเรียบร้อย เสร็จเมื่อไร พร้อมไปทันที และยังได้บอกต่อคณะตุลาการฯ แล้วว่า เดิมตั้งใจจะอยู่ในตำแหน่งตุลาการ เพียงแค่ต้นปี 55 แต่เมื่อเพื่อนตุลาการมอบหมายภาระนี้มาให้ ก็จะจัดแถวงานในสำนักงานให้ตรงเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเสร็จเรียบร้อยจะไปทันที จะไม่อยู่จนครบวาระ แต่เบื้องต้นมีข้อตกลงกันว่าจะอยู่ในตำแหน่งประธาน 2 ปี
“แม้ว่าตอนที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้เข้ามา และมีการเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญครั้งแรก เมื่อ พ.ค.51 ตกลงกันคือ 3 ปี ไม่ใช่ 2 ปี แต่เมื่อมันล่วงเลยจนมาถึงกลางปี 54 ซึ่งเกิน 3 ปีมามากแล้ว ก็เลยเปลี่ยนข้อตกลงกันใหม่ว่า แค่ 2 ปี และผมก็ได้ย้ำต่อที่ประชุมตุลาการฯ ด้วยว่า ผมไม่ประสงค์ที่จะอยู่เป็นประธานฯครบ 2 ปี และหากออกจากตำแหน่งประธาน ก็จะออกจากตำแหน่งตุลาการด้วย ซึ่งผมพูดประโยคนี้มาตั้งแต่การสรรหาประธานฯ ปี 51 ว่า ที่ตกลงกัน 3 ปี หากจะลาออกจากประธานฯ ควรที่จะลาออกจากตุลาการไปเลย แต่ตอนหลังมีการขออยู่ ก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล หากเป็นผม ถ้าจะไปก็ไปเลย” นายวสันต์ กล่าว และว่า ความจริง ตนได้เตรียมเอกสารไว้แล้วว่า จะออกวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่บังเอิญว่ามีม็อบมาขับไล่ จึงยังออกไม่ได้ เพราะถ้าเขาประสบความสำเร็จ เขาก็จะไปรุกรานองค์กรอื่น เพิ่มค่าตัว ซึ่งม็อบที่มา ควรจะเสียใจ เพราะถ้าอยู่เฉยๆ ตนไปตั้งแต่พ.ค.แล้ว หรือถ้าม็อบอยู่ถึงตอนนี้ ก็จะยังไม่ออก
ส่วนที่มีการมองว่า ตุลาการฯ มีการผลัดเปลี่ยนกันเป็นประธาน เนื่องจากต้องการได้เครื่องราชอิสริยภรณ์นั้น ก็ไม่จริง เพราะพวกตนได้เครื่องราชฯ ชั้นสูงสุดมาตั้งแต่ก่อนที่จะมาอยู่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยตนได้สายสะพายสูงสุด ตั้งแต่ปี 40 เพราะฉะนั้นจึงไม่เกี่ยวกับเครื่องราชฯ หรือที่มีการวิจารณ์ว่า ไปเพราะหนีงานหนัก ก็ไม่ใช่ เพราะถ้าหมายถึงกฎหมายที่กำลังอยู่ในสภา คงไม่เรียกว่างานหนัก อย่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ที่ว่าจะมา ก็ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไร และจะมาหรือไม่ ขณะที่ พ.ร.บ. นิรโทษกรรม หรือกฎหมายปรองดอง ตนปาฐกถาไว้ในงาน วันสัญญา ธรรมศักดิ์ แล้วว่า การจะเขียนกฎหมายใดขอให้ดูรัฐธรรมนูญว่ากฎหมายที่จะออกมันไปขัดหรือแย้งหรือไม่ โดยดูใน 3 เรื่อง 1. ต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม หรือหลักกฎหมายทั่วไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง 2. ถ้าไปออกกฎหมายเพื่อคนๆ เดียว ก็จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 3 . ถ้ามีลักษณะเลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรม ก็ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 ถ้าไม่ขัด 3 ข้อนี้แล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นปัญหา หรือจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร การลาออกตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่ยังไม่มีอนาคตว่ากฎหมายเหล่านี้จะมาหรือไม่ หรือมาอย่างไร
“มีคนคาดหมายเยอะว่า ผมออกแล้วจะไปเป็น กกต. หรือกรรมการในองค์กรอิสระ องค์กรรัฐอื่น บอกเลยว่าถ้าเป็นภาครัฐคงยุติแล้ว เว้นแต่งานวิทยากรบรรยายให้ความรู้ ซึ่งก็คงทำต่อเพราะยังเป็นวิทยากรของสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการ ของศาลยุติธรรม มาตั้งแต่ปี 39 จนถึงปัจจุบัน อาจเป็นงานภาคเอกชน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ขอเขียนต้นฉบับพ็อกเก็ตบุ๊ก ชีวิตการเป็นตุลาการให้เสร็จก่อน ”
นายวสันต์ ยังได้ชี้แจงถึงกรณีมีกระแสข่าวที่ระบุว่า นายวสันต์ ยอมรับสารภาพว่า ตัดสินคดีชิมไปบ่นไป ของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯผิดพลาดว่า คดีนี้ไม่ว่าจะตัดสินอีกกี่ร้อยพันครั้งก็ไม่เปลี่ยน เพราะเป็นมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ที่ตนว่าผิดพลาดก็คือ รูปแบบการเขียนคำวินิจฉัยเท่านั้นที่หัวหางสลับกัน ทำประชาชนไม่เข้าใจ เช่นเดียวกับคดียุบ 3 พรรค กรรมการบริหารพรรคโกงเลือกตั้ง ศาลฎีกามีคำพิพากษามาแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในข้อกฎหมายเท่านั้น ซึ่งคำวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นไมได้ และตนไม่เคยพูดว่า ที่ศาลต้องวินิจฉัยเช่นนี้ เพื่อความสงบเรียบร้อย หรือเรื่องเขตอำนาจศาล ที่มีการพูดกันมากว่ารัฐบาลทำผิดรัฐธรรมนูญ ทำไมศาลจึงไม่รับวินิจฉัย เช่น กรณีรับจำนำข้าว รัฐไปแย่งพ่อค้าทำมาหากิน หรือการที่รัฐไม่แถลงผลการดำเนินงานในรอบ 1 ปี แม้จะผิดรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่มีข้อใดในกฎหมายให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัย ขนาดที่เป็นอำนาจ เขายังงอแงเลย
เมื่อถามว่า มองอย่างไรกับการที่ศาลรัฐธรรมนูญถูกลากเข้าไปเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง นายวสันต์ กล่าวว่า ก็มันขัดแย้งกันไม่เลิก ศาลก็พยายามทำตัวให้เป็นกลาง แต่ถ้าสังเกตจะเห็นว่าต่างฝ่ายก็อยากจะชนะ ซึ่งการจะชนะนั้น ก็ควรต้องคิดก่อนว่า ตัวเองทำตามกฎหมายแค่ไหน และการสู้คดีทำเป็นแค่ไหน โดยในส่วนของตุลาการ ยืนยันได้ว่าแต่ละคนมีความเป็นอิสระต่อกัน ควบคุมกันไม่ได้ เราเพียงแต่ระวังปัญหาเรื่องการลงมติ ที่เสียงอาจออกมาเท่านั้น เพราะตามกฎหมายไม่ให้ประธานทำหน้าที่ชี้ขาดได้ จึงต้องคุยและประนีประนอมกันจนกระทั่งออกตรงกลางให้ได้ แต่ตุลาการทุกคนจะปลอดจากการเมืองหรือไม่ ตนไม่ทราบ ส่วนตัวไม่มีใครมาสั่งได้ และทุกคนรู้ดีว่า ถ้ามาสั่งตน จะถูกด่า
“ศาลมีหน้าที่ตัดสินคดีเราไม่ได้มีหน้าที่ไปช่วยคลี่คลายสถานการณ์การเมือง บางครั้งอยากทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ ศาลก็ต้องเป็นศาล คนเป็นตุลาการศาล มีรัก มีชอบ มีเกลียดกันทุกคน แต่เมื่อเวลาตัดสินคดี สิ่งเหล่านั้นต้องทิ้งไปทั้งหมด”นายวสันต์ กล่าว
นายวสันต์ ยังมองด้วยว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีความจำเป็นที่ต้องคงอยู่ แม้จะมีความพยายามแก้ไขยุบเลิก เพราะถ้าประเทศใช้หลักกฎหมายในการปกครองบ้านเมือง ก็ต้องมีคนคุมกฎกติกา ซึ่งนักการเมืองหากจะทำอะไร ควรดูกฎหมายให้รอบคอบ อย่าทำสุ่มเสี่ยง แต่ปัจจุบันกลายเป็นว่า ฉันทำอะไรก็ถูกหมด นักกฎหมายที่เป็นลูกสมุนก็บอกว่าถูก ฝ่ายตรงข้ามวิจารณ์ก็บอกว่าผิด สภาพเป็นอย่างนี้เพราะความยุติเขาไม่ได้อยู่ที่ความถูกต้อง แต่อยู่ที่ความถูกใจ
ส่วนหนทางสร้างความปรองดอง ยังมองว่าเกิดได้ยาก เพราะต่างฝ่ายหันไปคนละทาง อย่างที่ได้เคยบอกชาติหน้าก็ไม่มีทางปรองดองได้ การจะปรองดองต้องหันหน้ามาคุยกัน หรือมีคนกลางที่ 2 ฝ่ายเคารพ มาช่วยไกล่เกลี่ย แต่ขณะนี้มีหรือไม่ มีฝ่ายไหนฟังใครกันบ้าง
นายวสันต์ ยังทิ้งทายด้วยว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการที่ให้ฝ่ายตุลาการมีหน้าที่ไปเป็นคณะกรรมการสรรหา ส.ว. เพราะไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายตุลาการ แต่ก็ต้องไปทำเพราะกฎหมายบังคับ เป็นการทำแบบไม่เต็มใจ ไม่อยากเข้าไปยุ่ง แม้จะเข้าใจว่าผู้ร่างกฎหมายให้เครดิตเนื่องจากมองว่าฝ่ายตุลาการ เป็นคน มีความซื่อสัตย์สุจริต แต่พอมีการสรรหาที ก็มีการวิ่งมาหาจากสายโน่นสายนี้ น่ารำคาญที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น