หลังจาก“นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์”อำลาเก้าอี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลรัฐธรรมนูญ ยื่นใบลาออกเมื่อ 16 ก.ค. 56 แต่ให้มีผล 1 สิงหาคม ที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่น่าจะมีอะไรกระเพื่อม หรือมีผลให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมากนัก
เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะเหลือ 8 คนหลัง 1 สิงหาคม ก็ยังคงเป็นคณะตุลาการศาลรธน.ชุดเดิมที่กอดคอกันเหนียวแน่นมาร่วม 5 ปีกว่า
แม้บางช่วงอาจมีข่าวเรื่องปัญหา“คลื่นใต้น้ำ” ในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ยุคมีที่ทำการใหญ่อยู่ที่บ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ย่านพาหุรัด จนย้ายมาศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ บางเวลาก็โดนคนภายนอก แต่เป็นพวกของคนในศาลรัฐธรรมนญกันเองเล่นกันแรงถึงขั้นมีอดีตคนของตุลาการศาลรธน.บางคนไปรับงานนักการเมืองบางพรรคเข้าไปร่วมรู้เห็น แอบอัดคลิปภาพและเสียงในห้องประชุมตุลาการศาลรธน.ไปเผยแพร่ในช่วงก่อนตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จนต้องถูกอัปเปหิออกไปจากศาลรัฐธรรมนูญ
หรือที่ว่ามีช่วงหนึ่ง มีการทวงถามความสง่างามและการรักษาคำพูดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนที่ตระบัดสัตย์ที่ให้ไว้ต่อที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องการรับตำแหน่งสำคัญในศาลรัฐธรรมนูญ จนมีข่าวว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนต้องประท้วงเดินออกจากที่ประชุมกันมาแล้ว
อาจมีคลื่นใต้น้ำในศาลรัฐธรรมนูญบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับรุนแรง จนกลายเป็นความแตกแยก เพราะสุดท้ายก็ปรับความเข้าใจกันได้ในบางเรื่อง
**และหลังจากวันที่ 1 ส.ค.วันที่ไร้ วสันต์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะเหลือนั่งทำงานด้วยกัน 8 คน คือ นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายจรูญ อินทจาร, นายสุพจน์ ไข่มุกด์, นายเฉลิมพล เอกอุรุ, นายนุรักษ์ มาประณีต, นายบุญส่ง กุลบุปผา,นายชัช ชลวร, และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งสิ้น หลายคนผ่านตำแหน่งใหญ่ในบ้านเมืองกันมาก็มากแล้ว ส่วนใหญ่ก็มาจากสายศาลฎีกา จึงรู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นผู้พิพากษาศาลยุติธรรม หลายคนรู้จักกันมาร่วม 30-40 ปี เป็นลูกศิษย์อาจารย์กันเลย นั่งถกเถียงข้อกฎหมายกันแบบเป็นกันเองเลยก็ว่าได้
ต่อไป การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมี “ประมุขศาลรัฐธรรมนูญ”คนใหม่ เป็นคนที่ 3 ตามโครงสร้างศาลรธน.ชุดปัจจุบัน ที่แตกต่างจากรธน.ปี 40 ต่อจาก ชัช ชลวร –วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ที่ตามข่าวตอนนี้ หากดูจากความเป็นอาวุโสกันในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 8 คน เต็งหนึ่งก็น่าจะเป็น
**จรูญ อินทจาร
เว้นแต่เจ้าตัวที่มีบุคลิกเงียบๆ ไม่ยอมเป็นข่าวอะไรทั้งสิ้น จะขอผ่านไม่ประสงค์ลงชิงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพราะต้องการทำงานของตัวเองไป ไม่อยากมีตำแหน่งอะไร ซึ่งก็อาจมีโอกาสเป็นไปได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่แน่ ต้องรอการตัดสินใจจากนายจรูญ ซึ่งเป็นคนเก็บตัวก่อน ว่าสนใจจะลงชิงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่
หากจรูญ ไม่ขอลงชิงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ โอกาสการชิงตำแหน่งประมุขศาลรธน. ก็จะเปิดกว้างทันที เพราะเท่ากับปลดล็อกเรื่องความอาวุโสออกไป ก็อาจมีคนประสงค์จะขอลงชิงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมา ที่ไม่ใช่นายจรูญ อีก 1-2 คน ก็เป็นไปได้
อย่างที่หลายคนจับตามองก็เช่น นายนุรักษ์ มาประณีต อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ขณะเดียวกันก็มีคนจับจ้องไปที่ จรัญ ภักดีธนากุล ไม่น้อย
แม้ดูลำดับอาวุโสแล้ว นายจรัญ ถือว่าอาวุโสน้อยที่สุดในบรรดาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเวลานี้ แต่ว่ากันตามจริง เรื่องหลักอาวุโสในศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ถือว่าจำเป็นมากนัก แม้ส่วนใหญ่ในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเวลานี้ จะมาจากสายตุลาการ อดีตผู้พิพากษาเกือบทั้งหมดยกเว้น สุพจน์ ไข่มุกด์ และ เฉลิมพล เอกอุรุ ที่เป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเก่า
ความจริงอันหนึ่งที่ทุกคนรู้ ก็คือ วงการศาล-แวดวงตุลาการ จะให้ความสำคัญกับเรื่องหลักอาวุโสมาเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องการข้ามหัวกันในวงการศาลมีน้อยมาก ไม่เหมือนพวกทหาร-ตำรวจ-มหาดไทย
แต่สำหรับที่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว หลักเรื่องอาวุโส ก็มีบางคนบอกว่า ก็ไม่จำเป็นเสมอไป ขึ้นอยู่กับการยอมรับระหว่างกันรวมถึงการตกลงคุยกันเองของที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าใครเหมาะสม
ซึ่งการคุยกันก็เป็นการคุยกันแบบผู้ใหญ่ หากมีคนลงสมัครเกินกว่าหนึ่งคน ก็ลงมติลับใครได้คะแนนมากกว่าก็ชนะไป ไม่มีบรรยากาศความขัดแย้งการช่วงชิงตำแหน่งอะไรอย่างองค์กรอื่น
**ก็น่าลุ้นว่าแล้วใครจะมาเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ต่อจาก วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์
ดูแล้วเรื่องนี้ ประเมินในทางข่าว หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดต้องการให้บรรยากาศทุกอย่างออกมาดี ภาพของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีความเป็นเอกภาพ ทางตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดคงต้องคุยกันนอกรอบให้สะเด็ดน้ำเสียก่อน ที่จะนำไปหารือในที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลรธน. มีข่าวว่านัดกันไว้จะประชุม 31 ก.ค.นี้ แต่เมื่อเกิดกรณีนายวสันต์ลาออกแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีการเรียกประชุมอะไรขึ้นมาเป็นวาระพิเศษหรือไม่
ประเด็นที่จะหารือที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดต้องคุยกันให้ดีก็คือ จะประชุมเลือกประธานศาลรธน.คนใหม่กันเลยหรือไม่ หลัง 1 ส.ค. หรือว่าจะรอให้มีการคัดเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ ที่จะมาแทนนายวสันต์ ให้เสร็จสิ้นก่อน เพื่อจะได้ครบ 9 คน แล้วค่อยมาเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งหากใช้วิธีการนี้ก็ไม่เสียหายอะไร เพราะระหว่างที่ยังไม่มีประธานศาลรธน.เบื้องต้นคงจะให้ นายจรูญ ที่มีอาวุโสสูงสุดทำหน้าที่รักษาการประธานในที่ประชุมไปก่อน แต่ตุลาการทั้ง 8 คน ก็ต้องประเมินด้วยว่า ระยะเวลาที่จะต้องรอตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ที่จะมาแทนนายวสันต์ ที่ก็กินเวลาพอสมควร
เพราะกว่าจะเปิดรับสมัครผู้สนใจเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แล้วก็นำชื่อ และผลการตรวจสอบคุณสมบัติ ส่งไปยังคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อกรรมการสรรหาคัดเลือกใครแล้ว กว่าจะส่งชื่อไปยังวุฒิสภาให้ลงมติให้ความเห็นชอบ แล้วต้องเสนอเรื่องไปตามขั้นตอนทางกฎหมายอีก
ต้องใช้เวลาพอสมควร น่าจะเกินกว่าสองเดือนแน่นอน ระหว่างนี้หากไม่มีประธานศาลรัฐธรรมนูญ จะมีผลอะไรต่อศาลรธน.หรือไม่ ?
เชื่อว่าตุลาการศาลรธน.ทั้ง 8 คน คงขบคิดกันหนัก แม้จะมีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะมีการเลือกประธานศาลรธน.คนใหม่เลย โดยไม่รอตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ที่จะมาแทนนายวสันต์ ซึ่งก็ต้องรอดูการหารือกันของตุลาการศาลรธน.ทั้ง 8 คนต่อจากนี้ จะว่าอย่างไร
**แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตอนต้น ถึงต่อให้ วสันต์ ไม่อยู่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็เชื่อได้ว่า ยังไง องคาพยพศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือแน่นอน
กระนั้นก็ตาม น่าจะมีใครบางคนในศาลรัฐธรรมนูญ อาจรู้สึกหน้าชาเล็กๆ ที่ วสันต์ แสดงให้เห็นถึงการรักษาคำพูดให้ปรากฏต่อสังคม เพราะมีข่าวยืนยันแล้วว่า ที่นายวสันต์ ลาออกครั้งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องเหตุผลการเมืองในศาลรัฐธรรมนูญ
หรือเพราะเบื่อเรื่องกระแสกดดันการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจากภายนอก โดยเฉพาะพวกแดงเศษสวะ ที่เคยมาปักหลักกินนอนกดดันให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออกเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ ที่หน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
แต่เป็นการลาออกเพื่อรักษาสัจจะที่เคยให้ไว้ตอนได้รับเลือกจากที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อสิงหาคม 2554 ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไม่ครบวาระ หากเข้าไปจัดองค์กรศาลรัฐธรรมนูญให้ดีขึ้นกว่าก่อนเข้ารับตำแหน่ง ก็จะลาออกจากตำแหน่ง จะได้ให้เพื่อน-พี่-น้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนอื่น ได้เข้ามาทำหน้าที่บ้าง
ดังนั้น เมื่อมาถึงช่วงจะครบสองปี หลังได้รับเลือกเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ก็เลยใช้โอกาสนี้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเสียเลยโดยไม่ได้แค่ลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังลาออกจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย ผิดกับบางคนที่เคยบอกจะลาออกจากทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลรัฐธรรมนูญแต่ถึงเวลาจริงๆ ก็ไม่ทำตามสัญญา
**การลาออกของนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ จึงมีเสียงบ่นเสียดายตามมามากมาย
เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะเหลือ 8 คนหลัง 1 สิงหาคม ก็ยังคงเป็นคณะตุลาการศาลรธน.ชุดเดิมที่กอดคอกันเหนียวแน่นมาร่วม 5 ปีกว่า
แม้บางช่วงอาจมีข่าวเรื่องปัญหา“คลื่นใต้น้ำ” ในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ยุคมีที่ทำการใหญ่อยู่ที่บ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ย่านพาหุรัด จนย้ายมาศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ บางเวลาก็โดนคนภายนอก แต่เป็นพวกของคนในศาลรัฐธรรมนญกันเองเล่นกันแรงถึงขั้นมีอดีตคนของตุลาการศาลรธน.บางคนไปรับงานนักการเมืองบางพรรคเข้าไปร่วมรู้เห็น แอบอัดคลิปภาพและเสียงในห้องประชุมตุลาการศาลรธน.ไปเผยแพร่ในช่วงก่อนตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จนต้องถูกอัปเปหิออกไปจากศาลรัฐธรรมนูญ
หรือที่ว่ามีช่วงหนึ่ง มีการทวงถามความสง่างามและการรักษาคำพูดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนที่ตระบัดสัตย์ที่ให้ไว้ต่อที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องการรับตำแหน่งสำคัญในศาลรัฐธรรมนูญ จนมีข่าวว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนต้องประท้วงเดินออกจากที่ประชุมกันมาแล้ว
อาจมีคลื่นใต้น้ำในศาลรัฐธรรมนูญบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับรุนแรง จนกลายเป็นความแตกแยก เพราะสุดท้ายก็ปรับความเข้าใจกันได้ในบางเรื่อง
**และหลังจากวันที่ 1 ส.ค.วันที่ไร้ วสันต์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะเหลือนั่งทำงานด้วยกัน 8 คน คือ นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายจรูญ อินทจาร, นายสุพจน์ ไข่มุกด์, นายเฉลิมพล เอกอุรุ, นายนุรักษ์ มาประณีต, นายบุญส่ง กุลบุปผา,นายชัช ชลวร, และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งสิ้น หลายคนผ่านตำแหน่งใหญ่ในบ้านเมืองกันมาก็มากแล้ว ส่วนใหญ่ก็มาจากสายศาลฎีกา จึงรู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นผู้พิพากษาศาลยุติธรรม หลายคนรู้จักกันมาร่วม 30-40 ปี เป็นลูกศิษย์อาจารย์กันเลย นั่งถกเถียงข้อกฎหมายกันแบบเป็นกันเองเลยก็ว่าได้
ต่อไป การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมี “ประมุขศาลรัฐธรรมนูญ”คนใหม่ เป็นคนที่ 3 ตามโครงสร้างศาลรธน.ชุดปัจจุบัน ที่แตกต่างจากรธน.ปี 40 ต่อจาก ชัช ชลวร –วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ที่ตามข่าวตอนนี้ หากดูจากความเป็นอาวุโสกันในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 8 คน เต็งหนึ่งก็น่าจะเป็น
**จรูญ อินทจาร
เว้นแต่เจ้าตัวที่มีบุคลิกเงียบๆ ไม่ยอมเป็นข่าวอะไรทั้งสิ้น จะขอผ่านไม่ประสงค์ลงชิงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพราะต้องการทำงานของตัวเองไป ไม่อยากมีตำแหน่งอะไร ซึ่งก็อาจมีโอกาสเป็นไปได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่แน่ ต้องรอการตัดสินใจจากนายจรูญ ซึ่งเป็นคนเก็บตัวก่อน ว่าสนใจจะลงชิงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่
หากจรูญ ไม่ขอลงชิงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ โอกาสการชิงตำแหน่งประมุขศาลรธน. ก็จะเปิดกว้างทันที เพราะเท่ากับปลดล็อกเรื่องความอาวุโสออกไป ก็อาจมีคนประสงค์จะขอลงชิงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมา ที่ไม่ใช่นายจรูญ อีก 1-2 คน ก็เป็นไปได้
อย่างที่หลายคนจับตามองก็เช่น นายนุรักษ์ มาประณีต อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ขณะเดียวกันก็มีคนจับจ้องไปที่ จรัญ ภักดีธนากุล ไม่น้อย
แม้ดูลำดับอาวุโสแล้ว นายจรัญ ถือว่าอาวุโสน้อยที่สุดในบรรดาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเวลานี้ แต่ว่ากันตามจริง เรื่องหลักอาวุโสในศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ถือว่าจำเป็นมากนัก แม้ส่วนใหญ่ในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเวลานี้ จะมาจากสายตุลาการ อดีตผู้พิพากษาเกือบทั้งหมดยกเว้น สุพจน์ ไข่มุกด์ และ เฉลิมพล เอกอุรุ ที่เป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเก่า
ความจริงอันหนึ่งที่ทุกคนรู้ ก็คือ วงการศาล-แวดวงตุลาการ จะให้ความสำคัญกับเรื่องหลักอาวุโสมาเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องการข้ามหัวกันในวงการศาลมีน้อยมาก ไม่เหมือนพวกทหาร-ตำรวจ-มหาดไทย
แต่สำหรับที่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว หลักเรื่องอาวุโส ก็มีบางคนบอกว่า ก็ไม่จำเป็นเสมอไป ขึ้นอยู่กับการยอมรับระหว่างกันรวมถึงการตกลงคุยกันเองของที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าใครเหมาะสม
ซึ่งการคุยกันก็เป็นการคุยกันแบบผู้ใหญ่ หากมีคนลงสมัครเกินกว่าหนึ่งคน ก็ลงมติลับใครได้คะแนนมากกว่าก็ชนะไป ไม่มีบรรยากาศความขัดแย้งการช่วงชิงตำแหน่งอะไรอย่างองค์กรอื่น
**ก็น่าลุ้นว่าแล้วใครจะมาเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ต่อจาก วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์
ดูแล้วเรื่องนี้ ประเมินในทางข่าว หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดต้องการให้บรรยากาศทุกอย่างออกมาดี ภาพของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีความเป็นเอกภาพ ทางตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดคงต้องคุยกันนอกรอบให้สะเด็ดน้ำเสียก่อน ที่จะนำไปหารือในที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลรธน. มีข่าวว่านัดกันไว้จะประชุม 31 ก.ค.นี้ แต่เมื่อเกิดกรณีนายวสันต์ลาออกแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีการเรียกประชุมอะไรขึ้นมาเป็นวาระพิเศษหรือไม่
ประเด็นที่จะหารือที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดต้องคุยกันให้ดีก็คือ จะประชุมเลือกประธานศาลรธน.คนใหม่กันเลยหรือไม่ หลัง 1 ส.ค. หรือว่าจะรอให้มีการคัดเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ ที่จะมาแทนนายวสันต์ ให้เสร็จสิ้นก่อน เพื่อจะได้ครบ 9 คน แล้วค่อยมาเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งหากใช้วิธีการนี้ก็ไม่เสียหายอะไร เพราะระหว่างที่ยังไม่มีประธานศาลรธน.เบื้องต้นคงจะให้ นายจรูญ ที่มีอาวุโสสูงสุดทำหน้าที่รักษาการประธานในที่ประชุมไปก่อน แต่ตุลาการทั้ง 8 คน ก็ต้องประเมินด้วยว่า ระยะเวลาที่จะต้องรอตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ที่จะมาแทนนายวสันต์ ที่ก็กินเวลาพอสมควร
เพราะกว่าจะเปิดรับสมัครผู้สนใจเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แล้วก็นำชื่อ และผลการตรวจสอบคุณสมบัติ ส่งไปยังคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อกรรมการสรรหาคัดเลือกใครแล้ว กว่าจะส่งชื่อไปยังวุฒิสภาให้ลงมติให้ความเห็นชอบ แล้วต้องเสนอเรื่องไปตามขั้นตอนทางกฎหมายอีก
ต้องใช้เวลาพอสมควร น่าจะเกินกว่าสองเดือนแน่นอน ระหว่างนี้หากไม่มีประธานศาลรัฐธรรมนูญ จะมีผลอะไรต่อศาลรธน.หรือไม่ ?
เชื่อว่าตุลาการศาลรธน.ทั้ง 8 คน คงขบคิดกันหนัก แม้จะมีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะมีการเลือกประธานศาลรธน.คนใหม่เลย โดยไม่รอตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ที่จะมาแทนนายวสันต์ ซึ่งก็ต้องรอดูการหารือกันของตุลาการศาลรธน.ทั้ง 8 คนต่อจากนี้ จะว่าอย่างไร
**แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตอนต้น ถึงต่อให้ วสันต์ ไม่อยู่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็เชื่อได้ว่า ยังไง องคาพยพศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือแน่นอน
กระนั้นก็ตาม น่าจะมีใครบางคนในศาลรัฐธรรมนูญ อาจรู้สึกหน้าชาเล็กๆ ที่ วสันต์ แสดงให้เห็นถึงการรักษาคำพูดให้ปรากฏต่อสังคม เพราะมีข่าวยืนยันแล้วว่า ที่นายวสันต์ ลาออกครั้งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องเหตุผลการเมืองในศาลรัฐธรรมนูญ
หรือเพราะเบื่อเรื่องกระแสกดดันการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจากภายนอก โดยเฉพาะพวกแดงเศษสวะ ที่เคยมาปักหลักกินนอนกดดันให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออกเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ ที่หน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
แต่เป็นการลาออกเพื่อรักษาสัจจะที่เคยให้ไว้ตอนได้รับเลือกจากที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อสิงหาคม 2554 ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไม่ครบวาระ หากเข้าไปจัดองค์กรศาลรัฐธรรมนูญให้ดีขึ้นกว่าก่อนเข้ารับตำแหน่ง ก็จะลาออกจากตำแหน่ง จะได้ให้เพื่อน-พี่-น้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนอื่น ได้เข้ามาทำหน้าที่บ้าง
ดังนั้น เมื่อมาถึงช่วงจะครบสองปี หลังได้รับเลือกเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ก็เลยใช้โอกาสนี้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเสียเลยโดยไม่ได้แค่ลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังลาออกจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย ผิดกับบางคนที่เคยบอกจะลาออกจากทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลรัฐธรรมนูญแต่ถึงเวลาจริงๆ ก็ไม่ทำตามสัญญา
**การลาออกของนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ จึงมีเสียงบ่นเสียดายตามมามากมาย