วานนี้(9ก.ค.56)ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ท. หญิงสุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ครม.รับทราบคำขอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ที่ขอให้มีการขยายระยะเวลากันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีงบประมาณเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการ โดยขยายจาก ปี 2556 ไปจนถึง2558 โดยให้กระทรวงการคลังไปดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจทดแทน จำนวน 396 แห่ง ซึ่งเป็นโครงการที่ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชัดที่แล้ว
ทั้งนี้ สตช.แจ้งให้ที่ประชุมครม.ทราบถึงความต้องการของสถานีตำรวจภูธรจังหวัดต่างๆที่ยังคงต้องการ ก่อสร้าง เนื่องจากมีปัญหาว่าบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อป เม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับจ้าง ก่อสร้าง ดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจทดแทนเป็นจำนวน 396 หลัง ในวงเงิน 6พันล้านบาท ไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายใน450วัน ตามข้อกำหนดของสัญญาจ้าง เลขที่ ยธ.13/2554ลงวันที่ 25 มี.ค. 2554 และสตช.ก็ได้บอกเลิกสัญญากับบริษัทดังกล่าวแล้ว และได้มีการเบิกจ่ายให้กับผู้ว่าจ้างไปแล้ว ประมาณ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้สตช.ยังไม่ความต้องการที่จะก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนอยู่
โดยนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นว่าเพื่อความรอบคอบ รวมทั้งเพื่อประหยัดงบประมาณและรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้ได้มากที่สุด ขอให้สตช.ไปจัดทำรายละเอียดประกอบการพิจารณา และส่งกลับมาให้ครม.พิจารณาเข้ามาอีกครั้ง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายว่าขอให้สตช.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทบทวนว่างบประมาณเดิมที่ได้จ่ายให้กับบริษัทพีซีซี ได้มีการก่อสร้างอะไรไปแล้วบ้าง จำนวนเงินที่จ่ายไปได้รับงานในส่วนที่เหมาะสมหรือไม่
รท.หญิง สุณิสา กล่าวว่า นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ยังต้องการให้ทบทวนด้วยว่า เมื่อมีการติดตามค่าเสียหายและค่าชดใช้จากบริษัทพีซีซีแล้ว จะทำให้รัฐได้เงินกลับคืนมาเท่าใด และเมื่อนำมาคำนวณกับวงเงินก่อสร้างทั้งหมดแล้วจะทำให้มีวงเงินเหลือจากการก่อสร้างเท่าใด และนายกรัฐมนตรี ยังได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระมัดระวังเรื่องของการจัดทำรายละเอียดให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายโดยจะต้องมีการแสดงเหตุผลประกอบอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดว่ารัฐบาลไปกลั่นแกล้งหรือไม่ให้ความเป็นธรรมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ที่ประชุมครม.จึงได้มีความเห็นให้สตช.ได้ร่วมกับกระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ และกรมโยธาธิการ ร่วมกันพิจารณารายละเอียดประกอบโครงการนี้ และนำส่งกลับมาให้ครม.ได้พิจารณาอีกครั้ง
มีรายงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)โดย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี เสนอเรื่อง "ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) 396 แห่ง" เป็นดำเนินการโครงการ "ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 โครงการ" วงเงินรวม 7,592,019,204 บาท ให้ ครม.พิจารณา
ทั้งนี้ ในรายละเอียด สตช.ระบุว่าได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพัน จากเดิมโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) 396 แห่ง ภายในวงเงิน 6,672 พันล้านบาท โดยผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552-2557 เป็นการดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 โครงการ วงเงินรวม 7,592,019,204 บาท (เป็นวงเงินรวมกับที่จ่ายให้ผู้รับจ้างรายเดิมไปแล้ว 1,504,679,204)
โดยดำเนินการในลักษณะแยกสัญญาเป็นรายการ เป็นเงิน 6,087,340,000 บาท ดังนี้ 1. อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน)ก่อสร้างต่อเนื่อง (จากเดิมที่ดำเนินการแล้วบางส่วน) 221 หลัง วงเงิน 2,410,750,000 บาท 2. อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) ก่อสร้างต่อเนื่อง(จากเดิมที่ดำเนินการแล้วบางส่วน) 57 หลัง วงเงิน 1,378,290,000 บาท โดยดำเนินการในลักษณะก่อหนี้ผูกพันงบประมาณปี 2554 -2558 และ 3. อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) ก่อสร้างใหม่ทั้งหลัง 118 หลัง วงเงิน 2,298,300,000 บาท โดยดำเนินการในลักษณะก่อหนี้ผูกพันงบประมาณปี 2556-2558
นอกจากนี้ สตช.ยังรายงานด้วยว่า สำหรับเรื่องเดิม ในการดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) 396 แห่งนั้น ทาง สตช.ได้ทำสัญญาจ้างบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเมนท์ แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้ก่อสร้าง ในวงเงิน 5,848 ล้านบาท ตามสัญญาเลขที่ ยธ.13/2554 ลงวันที่ 25 มี.ค. 2554 กำหนดทำงานให้แล้วเสร็จภายใน 450 วัน แต่เนื่องจาก บริษัท พีซีซีฯ ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสัญญาจ้าง จึงเป็นเหตุให้ สตช.บอกเลิกสัญญาจ้าง
โดย สตช.ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรจังหวัดแต่ละจังหวัด ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณโครงการดังกล่าว สำรวจการก่อสร้างของอาคารแต่ละหลัง มีข้อสรุปดังนี้
1. อาคารที่ทำการสถานีตำรวจที่ก่อสร้างใหม่ทั้งหลังมี 118 หลัง และ 2.อาคารที่ทำการสถานีตำรวจที่ก่อสร้างต่อเนื่องจากเดิมที่ดำเนินการแล้วบางส่วน 278 หลัง โดย สตช.ได้ตรวจสอบงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรในปีงบประมาณ 2552-2556 พบว่า สตช.ได้รับจัดสรรทั้งสิ้น 4,260,356,100 บาท หักเงินที่เบิกจ่ายให้ผู้รับจ้างไปแล้ว 1,488,879,578 บาท รวมทั้งเงินค่างานที่อยู่ระหว่างการเบิกจ่ายเงินค่างวดงานอีก 16 งวด เป็นเงิน 15,430,692 บาท และจำนวนเงินที่ไม่ได้บันทึกในระบบ PO เนื่องจาก จำนวนเงินไม่เพียงพอกับงวดงาน 368,934 บาท คงเหลือเงิน 2,755,676,896บาท
ดังนั้น เพื่อดำเนินการตามโครงการดังกล่าว ทาง สตช.จึงขอเปลี่ยนแปลงและขอขยายเวลา กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีงบประมาณ ดังนี้ 1. เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ 2552 วงเงิน 92,092,604 บาท 2.เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ 2553 วงเงิน 175 ,343,885 บาท 3.เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ 2554 วงเงิน 1,915,049,575 บาท 4. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 วงเงิน 573,190,832 บาท รวม 2,755,676,896 บาท ไปจนถึงวันที่ 30 กย. 2557 เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) 396 โครงการ นอกจากนี้ ทาง สตช.ได้ขอตั้งงบประมาณเพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2558 มาจากวงเงินค่าก่อสร้างใหม่ 3,331,663,104 บาท (6,087,340,000 บาท-2,755,676,896 บาท)
นอกจากนี้ ทาง สตช.ได้ให้ตำรวจภูธรแต่ละจังหวัด ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณโครงการนี้ เตรียมดำเนินการจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพัสดุ พ.ศ. 2535 และแก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกว่าด้วยพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 ตลอดจนแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องตามที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.)และคณะกรรมการว่าด้วยพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพอ.)กำหนด
ขณะที่ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า เมื่อสตช.ได้ก่อสร้างอาคารใหม่ทดแทนเรียบร้อยแล้ว ควรดำเนินการรื้อถอนอาคารเดิมเพื่อความปลอดภัยในการใช้อาคารและเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ภาครัฐในการจัดสรรงบประมาณซ่อมแซมและดูแลรักษาด้วย
ทั้งนี้ สตช.แจ้งให้ที่ประชุมครม.ทราบถึงความต้องการของสถานีตำรวจภูธรจังหวัดต่างๆที่ยังคงต้องการ ก่อสร้าง เนื่องจากมีปัญหาว่าบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อป เม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับจ้าง ก่อสร้าง ดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจทดแทนเป็นจำนวน 396 หลัง ในวงเงิน 6พันล้านบาท ไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายใน450วัน ตามข้อกำหนดของสัญญาจ้าง เลขที่ ยธ.13/2554ลงวันที่ 25 มี.ค. 2554 และสตช.ก็ได้บอกเลิกสัญญากับบริษัทดังกล่าวแล้ว และได้มีการเบิกจ่ายให้กับผู้ว่าจ้างไปแล้ว ประมาณ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้สตช.ยังไม่ความต้องการที่จะก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนอยู่
โดยนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นว่าเพื่อความรอบคอบ รวมทั้งเพื่อประหยัดงบประมาณและรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้ได้มากที่สุด ขอให้สตช.ไปจัดทำรายละเอียดประกอบการพิจารณา และส่งกลับมาให้ครม.พิจารณาเข้ามาอีกครั้ง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายว่าขอให้สตช.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทบทวนว่างบประมาณเดิมที่ได้จ่ายให้กับบริษัทพีซีซี ได้มีการก่อสร้างอะไรไปแล้วบ้าง จำนวนเงินที่จ่ายไปได้รับงานในส่วนที่เหมาะสมหรือไม่
รท.หญิง สุณิสา กล่าวว่า นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ยังต้องการให้ทบทวนด้วยว่า เมื่อมีการติดตามค่าเสียหายและค่าชดใช้จากบริษัทพีซีซีแล้ว จะทำให้รัฐได้เงินกลับคืนมาเท่าใด และเมื่อนำมาคำนวณกับวงเงินก่อสร้างทั้งหมดแล้วจะทำให้มีวงเงินเหลือจากการก่อสร้างเท่าใด และนายกรัฐมนตรี ยังได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระมัดระวังเรื่องของการจัดทำรายละเอียดให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายโดยจะต้องมีการแสดงเหตุผลประกอบอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดว่ารัฐบาลไปกลั่นแกล้งหรือไม่ให้ความเป็นธรรมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ที่ประชุมครม.จึงได้มีความเห็นให้สตช.ได้ร่วมกับกระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ และกรมโยธาธิการ ร่วมกันพิจารณารายละเอียดประกอบโครงการนี้ และนำส่งกลับมาให้ครม.ได้พิจารณาอีกครั้ง
มีรายงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)โดย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี เสนอเรื่อง "ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) 396 แห่ง" เป็นดำเนินการโครงการ "ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 โครงการ" วงเงินรวม 7,592,019,204 บาท ให้ ครม.พิจารณา
ทั้งนี้ ในรายละเอียด สตช.ระบุว่าได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพัน จากเดิมโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) 396 แห่ง ภายในวงเงิน 6,672 พันล้านบาท โดยผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552-2557 เป็นการดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 โครงการ วงเงินรวม 7,592,019,204 บาท (เป็นวงเงินรวมกับที่จ่ายให้ผู้รับจ้างรายเดิมไปแล้ว 1,504,679,204)
โดยดำเนินการในลักษณะแยกสัญญาเป็นรายการ เป็นเงิน 6,087,340,000 บาท ดังนี้ 1. อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน)ก่อสร้างต่อเนื่อง (จากเดิมที่ดำเนินการแล้วบางส่วน) 221 หลัง วงเงิน 2,410,750,000 บาท 2. อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) ก่อสร้างต่อเนื่อง(จากเดิมที่ดำเนินการแล้วบางส่วน) 57 หลัง วงเงิน 1,378,290,000 บาท โดยดำเนินการในลักษณะก่อหนี้ผูกพันงบประมาณปี 2554 -2558 และ 3. อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) ก่อสร้างใหม่ทั้งหลัง 118 หลัง วงเงิน 2,298,300,000 บาท โดยดำเนินการในลักษณะก่อหนี้ผูกพันงบประมาณปี 2556-2558
นอกจากนี้ สตช.ยังรายงานด้วยว่า สำหรับเรื่องเดิม ในการดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) 396 แห่งนั้น ทาง สตช.ได้ทำสัญญาจ้างบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเมนท์ แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้ก่อสร้าง ในวงเงิน 5,848 ล้านบาท ตามสัญญาเลขที่ ยธ.13/2554 ลงวันที่ 25 มี.ค. 2554 กำหนดทำงานให้แล้วเสร็จภายใน 450 วัน แต่เนื่องจาก บริษัท พีซีซีฯ ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสัญญาจ้าง จึงเป็นเหตุให้ สตช.บอกเลิกสัญญาจ้าง
โดย สตช.ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรจังหวัดแต่ละจังหวัด ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณโครงการดังกล่าว สำรวจการก่อสร้างของอาคารแต่ละหลัง มีข้อสรุปดังนี้
1. อาคารที่ทำการสถานีตำรวจที่ก่อสร้างใหม่ทั้งหลังมี 118 หลัง และ 2.อาคารที่ทำการสถานีตำรวจที่ก่อสร้างต่อเนื่องจากเดิมที่ดำเนินการแล้วบางส่วน 278 หลัง โดย สตช.ได้ตรวจสอบงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรในปีงบประมาณ 2552-2556 พบว่า สตช.ได้รับจัดสรรทั้งสิ้น 4,260,356,100 บาท หักเงินที่เบิกจ่ายให้ผู้รับจ้างไปแล้ว 1,488,879,578 บาท รวมทั้งเงินค่างานที่อยู่ระหว่างการเบิกจ่ายเงินค่างวดงานอีก 16 งวด เป็นเงิน 15,430,692 บาท และจำนวนเงินที่ไม่ได้บันทึกในระบบ PO เนื่องจาก จำนวนเงินไม่เพียงพอกับงวดงาน 368,934 บาท คงเหลือเงิน 2,755,676,896บาท
ดังนั้น เพื่อดำเนินการตามโครงการดังกล่าว ทาง สตช.จึงขอเปลี่ยนแปลงและขอขยายเวลา กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีงบประมาณ ดังนี้ 1. เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ 2552 วงเงิน 92,092,604 บาท 2.เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ 2553 วงเงิน 175 ,343,885 บาท 3.เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ 2554 วงเงิน 1,915,049,575 บาท 4. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 วงเงิน 573,190,832 บาท รวม 2,755,676,896 บาท ไปจนถึงวันที่ 30 กย. 2557 เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) 396 โครงการ นอกจากนี้ ทาง สตช.ได้ขอตั้งงบประมาณเพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2558 มาจากวงเงินค่าก่อสร้างใหม่ 3,331,663,104 บาท (6,087,340,000 บาท-2,755,676,896 บาท)
นอกจากนี้ ทาง สตช.ได้ให้ตำรวจภูธรแต่ละจังหวัด ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณโครงการนี้ เตรียมดำเนินการจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพัสดุ พ.ศ. 2535 และแก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกว่าด้วยพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 ตลอดจนแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องตามที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.)และคณะกรรมการว่าด้วยพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพอ.)กำหนด
ขณะที่ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า เมื่อสตช.ได้ก่อสร้างอาคารใหม่ทดแทนเรียบร้อยแล้ว ควรดำเนินการรื้อถอนอาคารเดิมเพื่อความปลอดภัยในการใช้อาคารและเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ภาครัฐในการจัดสรรงบประมาณซ่อมแซมและดูแลรักษาด้วย