ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ในกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของความผันผวนทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางการเมือง ความล้มเหลวของรัฐและการอ่อนกำลังของสายสัมพันธ์ทางสังคม ผู้คนจำนวนมากต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในการดำรงชีวิตมากขึ้น การตกงาน การสูญตำแหน่ง การเสียรายได้ การประสบอุบัติเหตุ การตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรม สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ในทุกเวลาและสถานที่
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการขยายตัวของความเครียด อันทำให้จิตใจของมนุษย์อ่อนแอลงและอ่อนไหวง่าย ผู้คนบางส่วนที่ไม่สามารถทนกับสภาพดังกล่าวได้ อาจจะจบชีวิตตนเองด้วยการฆ่าตัวตาย บางส่วนแก้ปัญหาโดยการแยกตัวออกจากโลกความเป็นจริงหันไปเสพสุราและยาเสพติด และบางส่วนอาจเกิดภาวะจิตแตกแยกต้องเข้าไปบำบัดรักษาในโรงพยาบาลจิตเวช
แต่ผู้คนส่วนใหญ่พยายามแสวงหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิต ฝากชีวิตไว้กับโชคลางและความเชื่อเหนือธรรมชาติ หันไปพึ่งพาโหราศาสตร์ ไสยาศาสตร์ และอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากขึ้น ด้วยหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจักทำให้ให้ชีวิตของตนเองหลุดพ้นจากความไม่แน่นอนและชะตากรรมที่เลวร้ายได้ เงื่อนไขเหล่านี้เสมือนเป็นเนื้อหาอันอุดมสมบูรณ์ให้บรรดาพ่อมด แม่มด และหมอผีสมัยใหม่ทั้งหลายใช้เป็นแหล่งตักตวงผลประโยชน์อย่างไม่มีวันหมดสิ้น
ในสังคมแต่ละแห่งมักจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่อาศัยความเชื่อและความงมงายของเพื่อนร่วมสังคมเป็นแหล่งผลิตความมั่งคั่งของตนเอง กลุ่มคนพวกนี้ไม่ว่าจะปรากฏโฉมในรูปแบบใด เรียกรวมๆว่าเป็นกลุ่มพ่อมด แม่มด และหมอผี อันเป็นผู้มีกลเม็ดเด็ดพรายในการหลอกลวง สร้างสิ่งที่อยู่นอกเหนือประสบการณ์สามัญในชีวิตผู้คน หรือสิ่งที่ดูเหมือน “เป็นไปไม่ได้”ให้กลายเป็นสิ่งที่ “คล้ายกับเป็นไปได้” หรือทำให้ความเชื่อที่ดำรงอยู่ในตำนานให้กลายเป็น “สิ่งเสมือนดำรงอยู่จริง” ที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์
สังคมไทยยุคปัจจุบันมีบรรดาพ่อมด แม่มด และหมอผี ผุดขึ้นราวดอกเห็ดในช่วงต้นฤดูฝน บ้างอวดอ้างว่าติดต่อกับเทพเจ้าได้ บ้างก็อ้างว่าติดต่อสัมผัสได้กับวิญญาณบรรพบุรุษได้ บ้างก็อ้างว่าติดต่อกับวิญญาณ ภูตผี ปีศาจตามตำนานความเชื่อดั้งเดิม บ้างก็อ้างว่าเป็นร่างจุติของเทพเจ้า บ้างก็อ้างว่าเล่าเรียนทางโหราศาสตร์โบราณหรือวิธีการพิสดารโดยการใช้ไพ่ หรือ ใช้สัญลักษณ์ และบ้างก็อ้างว่าตนเองเป็นพระอรหันต์กลับชาติมาเกิด
การเชื่อโชคลาง โหราศาสตร์ และไสยาศาสตร์ในบางเรื่อง จนนำไปสู่การกระทำบางอย่างของผู้เชื่ออาจทำให้ผู้เชื่อมีความรู้สึกสบายใจ จิตผ่อนคลายความเครียด และไม่มีผลกระทบกับชีวิตมากนัก พวกเขาอาจเสียเงินและเวลาในการปฏิบัติตามความเชื่อเพียงเล็กน้อย เช่น การเดินทางไปหาหมอดู การแก้กรรมโดยการปล่อยนกปล่อยปลา หรือการปฏิบัติธรรมสงบจิตใจของตนเองด้วยสมถะกรรมฐานหรือเจริญสติสมาธิ เป็นต้น
แต่ทว่าการกระทำตามความเชื่อบางอย่างแทนที่จะทำให้ความทุกข์บรรเทาผ่อนคลายลงไป สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามคือทำให้ชีวิตมีความยากลำบากมากขึ้น ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแตกร้าว หรือไปสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตตนเองและผู้อื่น และพัฒนาจนกลายเป็นปัญหาสังคมขึ้นมา เช่น การใช้เงินสะสมของตนเองและครอบครัวไปให้แก่พ่อมด หมอผี จนสิ้นเนื้อประดาตัว ลูกหลานต้องเดือดร้อนไปตามๆกัน การลุ่มหลงงมงายในการพนันซื้อหวยจนหมดตัว การทำให้ตนเองต้องได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และการไปทำร้ายผู้อื่นในรูปแบบต่างๆ
ความเชื่อโชคลางที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของตนเอง เช่น ความเชื่อของชาวตะวันตกเกี่ยวกับวันศุกร์ที่ 13 ว่าเป็นวันอัปมงคล ซิโม แนอูแฮ นักวิจัยชาวฟินแลนด์ได้ศึกษาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในวันศุกร์ที่ 13 ของประเทศฟินแลนด์ โดยเก็บข้อมูลระหว่าง ค.ศ.1971 – 1997 พบว่า มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในวันศุกร์ที่ 13 มากกว่าวันอื่นๆ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงมีผู้เสียชีวิตสูงกว่าวันอื่นๆถึง 38 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้ชายสูงกว่าวันอื่นๆเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ เหตุผลก็คือผู้ที่เชื่อว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันอัปมงคล เมื่อขับขี่รถยนต์ในวันดังกล่าวจะมีความรู้สึกกระวนกระวายมากเป็นพิเศษ จนกระทั่งสติและสมาธิในการขับรถลดลง อันเป็นเหตุที่ทำให้ประสบอุบัติเหตุได้ง่าย งานวิจัยชิ้นนี้บ่งบอกเราว่า ความเชื่อโชคลางทำให้เราเสียชีวิตได้
ในสังคมไทยความเชื่อเรื่องภูตผี ปีศาจสร้างผลกระทบกับชีวิตผู้คนอย่างมหาศาล เช่น หากชาวบ้านเชื่อว่าใครเป็นผีปอบ พวกเขาก็จะกีดกัน ไม่คบหา ขับไล่ หรืออาจทำร้ายบุคคลดังกล่าว หรือความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณเทพเจ้าหรือกษัตริย์ในตำนานที่เป็นกระแสช่วงหนึ่งในสังคมไทย ได้สร้างความร่ำรวยมหาศาลแก่ผู้เกาะกระแสสร้างวัตถุมงคลในช่วงเริ่มต้น แต่ก็สร้างความหายนะและล้มละลาย กลายเป็นปัญหาสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันแก่คนจำนวนมากที่เข้าไปร่วมในช่วงปลายกระแส ดังที่เกิดขึ้นกับผู้บริหารการศึกษาของมหาวิทยาลัยบางจังหวัดในภาคใต้ที่สร้างวัตถุมงคลประเภทมหาเทพขาย ก่อนสร้างคาดว่าจะได้กำไร แต่เมื่อสร้างเสร็จกระแสความเชื่อเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์จางหายไปมากแล้ว จึงประสบกับการขาดทุนอย่างมหาศาลจนกลายเป็นปัญหากระทบกับการบริหารของสถานศึกษานั้นในปัจจุบันอย่างรุนแรง
สิ่งที่น่าห่วงอีกประการสำหรับสังคมไทยในยุคสมัยปัจจุบันคือ การแพร่ขยายของพ่อมด หมอผี บางจำพวกที่แอบแฝง เร้นกายในคราบของพระสงฆ์ ซึ่งผมบัญญัติคำศัพท์สำหรับเรียกขานกลุ่มบุคคลประเภทนี้ว่า “ไสยสงฆ์” พวกกลุ่มไสยสงฆ์นี้อาศัยคราบของพระสงฆ์ ใช้คำสวด คำสอนของศาสนาพุทธเสมือนเป็นคาถามนตราของพ่อมดหมอผี ใช้พิธีกรรมทางศาสนาเป็นเครื่องมือในการเป่าเสกวัตถุธรรมดาสามัญให้กลายเป็นวัตถุศักดิ์มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เพื่อเอาไว้ขายสร้างความมั่งคั่งแก่กลุ่มของตนเอง
ไสยสงฆ์บางจำพวกก็อวดอ้างอิทธิฤทธิ์รู้อดีต ทำนายอนาคต สอนวิธีแก้กรรมแบบที่ไม่เคยดำรงอยู่ในศาสนาพุทธ บูชาพระราหูบ้าง เจ้ากรรมนายเวรบ้าง สารพัดแล้วแต่จะเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาตามจินตนาการที่อิงกับตำนานความเชื่อโบราณหรืออาจจะสร้างขึ้นมาใหม่ก็ได้
ไสยสงฆ์บางจำพวกก็อวดอ้างว่าเป็นพระอรหันต์กลับชาติมาเกิด อุตริเรียกตัวเองว่า “หลวงปู่” ทั้งที่อายุสามสิบปีเศษเท่านั้นเอง ใช้มายาเล่ห์กล แต่งประวัติตัวเองพิสดารพันลึกเอาไว้หลอกผู้คน จากนั้นก็อ้างว่าจะสร้างพระพุทธรูป สร้างวัด ระดมเงินบริจาคจากชาวบ้าน จนกระทั่งร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีเป็นเจ้าของรถยนต์ราคาแพงและเครื่องบินส่วนตัวก็มี
ไสยสงฆ์บางจำพวกก็ขาย “นิพพาน” สะสมความมั่งคั่งทางวัตถุ ฉ้อโกงเงินบริจาค ขยายอำนาจ ขยายอาณาจักร โดยด้านหนึ่งเข้าไปสนับสนุนกลุ่มอำนาจทางการเมืองบางกลุ่มเพื่อเอาไว้ปกป้องตนเองจากกฎหมายบ้านเมือง และอีกด้านหนึ่งจัดกิจกรรมทางการตลาด เช่น เดินธุดงค์กลางกรุงเทพมหานคร และทำกิจกรรมทางสังคมอื่นบังหน้าในลักษณะประชานิยม โดยเอาเศษเงินเล็กๆน้อยไปให้วัดในต่างจังหวัดบ้าง ให้ทุนการศึกษาเด็กบ้าง จากนั้นก็นำกิจกรรมเหล่านั้นเอาไปหลอกระดมเงินบริจาคเพิ่มขึ้นอีก
ไสยสงฆ์บางจำพวกก็มัวเมาในวัตถุอย่างบ้าคลั่ง สั่งสมสารพัดสิ่งของ เครื่องไม้เครื่องมือ เทคโนโลยีทันสมัย มีทั้งโทรศัพท์มือถือราคาแพง บางคนสะสมรถยนต์ราคาแพง ปฏิบัติตัวไม่สำรวม ไปท่องเที่ยวต่างประเทศ กิน อยู่ เสพกามและใช้ชีวิตอย่างสำราญราวบุรุษผู้เสเพลทั้งหลาย
ไสยสงฆ์หรือพ่อมดหมอผีในคราบของพระสงฆ์เหล่านี้เป็นกลุ่มที่บั่นทอน บ่อนทำลายหลักธรรมคำสอนที่ดีงามของศาสนาพุทธ และสร้างความเสื่อมเสียแก่พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีทั้งหลาย ชาวพุทธที่เข้าใจแก่นศาสนาพุทธและมีสติปัญญาแยกแยะความจริงและความเท็จได้ นอกจากจะไม่เข้าใกล้ ไม่ร่วมมือแล้ว ยังต้องตำหนิติเตียนพฤติกรรมของกลุ่ม “ไสยสงฆ์” เหล่านี้ด้วย
แต่นั่นแหละการที่กลุ่มไสยสงฆ์เกิดขึ้น ดำรงอยู่และเติบโตได้รวดเร็วเช่นนี้ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้คนในสังคมไทยจำนวนมากมีภาวะทางจิตใจไม่มั่นคง และหลงใหลงมงายต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ อันเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ถูกบรรดาไสยสงฆ์หลอกลวงได้ง่าย
ใครจะรับผิดชอบต่อการเข้าไปจัดการกลุ่มไสยสงฆ์เหล่านี้ องค์การที่มีหน้าที่โดยตรงอย่างสำนักพุทธศาสนา หรือมหาเถรสมาคมคงหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ แต่ทว่าเท่าที่ผ่านมาดูเหมือนองค์กรเหล่านี้จะหลับใหลเสียสนิท จึงทำให้กลุ่มไสยสงฆ์ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว กว่าจะรู้เรื่องก็กลายเป็นเรื่องใหญ่จนสร้างความเสียหายแก่สังคมและศาสนาอย่างรุนแรง และสร้างผลกระทบต่อชีวิตผู้คนจำนวนมากแล้ว
หากถามว่ามีสังคมใดบ้างที่สามารถขจัดความเชื่อทีงมงายทั้งหลายให้หมดไปได้ ก็ยากที่จะควานหามาได้ เพราะการขจัดเรื่องเหล่านี้ให้หมดไปจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ทุกคนในสังคมมีเหตุผล มีสิติปัญญา และสามารถควบคุมความไม่แน่นอนของชีวิตได้ ซึ่งยังไม่มีสังคมของประเทศใดในโลกที่บรรลุถึงสภาวะดังกล่าว
สิ่งที่พอจะทำได้คือการทำให้ความเชื่องมงายทั้งหลายค่อยๆ ลดลง โดยการสนับสนุนและฝึกฝนให้มีผู้คนมีความคิดเชิงระบบ การใช้ความคิดเชิงวิเคราะห์และวิพากษ์ที่มีความสมเหตุสมผลทางตรรกะ และความสมจริงเชิงประสบการณ์หรือเชิงประจักษ์ให้มากขึ้น ทั้งยังต้องมีการตรวจสอบการวิเคราะห์และวิพากษ์ความคิดและความเชื่อของตนเองอย่างสม่ำเสมออีกด้วย
สักวันหนึ่งเมื่อความเชื่องมงายของผู้คนลดลงและมีสิติปัญญามากขึ้น กลุ่มไสยสงฆ์ทั้งหลายก็คงจะสลายไปด้วยเช่นเดียวกัน และสังคมไทยก็อาจจะมีอริยะสงฆ์เพิ่มขึ้น